ฉบับนี้เป็นตอนต่อจากฉบับที่แล้ว
ดังนั้นเพื่อไม่ให้สับสนจะขอใช้หลายเลขรูปต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว
ข้อ
2
) 1. ข้อย่อย
II
(รูปที่
๕ ในหน้าที่ ๒)
กล่าวว่าถ้าโครงสร้างรองรับตัว
reactor
(คือ
support)
สูงกว่าระดับ
"bottom
tangent line" และมีการถ่ายตัวเร่งปฏิกิริยาจากทางด้านล่าง
ก็ให้ตรวจสอบด้วยว่าไม่มีสิ่งกีดขวางในการถ่ายตัวเร่งปฏิกิริยาออกมา
"bottom
tangent line"
คือเส้นตรงแนวรอยต่อระหว่างส่วนลำตัวทรงกระบอกกับส่วนฝาที่เป็นรูปทรงคล้ายครึ่งทรงรีที่เรียกว่า
torispherical
head (ดูรูปที่
๖ ข้างล่าง)
รูปที่
๖ ตัวอย่างการถ่ายน้ำหนัก
vessel
ลงไปยังโครงสร้างรับน้ำหนัก
ในกรณีที่คาดว่าจะมีการถ่ายตัวเร่งปฏิกิริยาออกทางด้านล่างของ
reactor
ใส่รถบรรทุกที่มารอรับ
ก็ควรต้องเผื่อระดับความสูงของ
reactor
จากพื้น
และระยะห่างจากโครงสร้างและระบบท่อต่าง
ๆ ทั้งทางด้านข้างและด้านบนเอาไว้ด้วย
ข้อ
2
) 1. ข้อย่อย
III
กล่าวถึงจำนวนและขนาดของ
"reactor
bracket" (ขารับน้ำหนักสีเขียวในรูปที่
๖)
ที่ไม่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ในการออกแบบโรงงาน
(plant
design) สิ่งที่ทราบในขั้นตอนนี้ก็คือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ
reactor
ดังนั้นตำแหน่งของ
reactor
bracket จะอยู่ถัดออกมาจากผนังด้านนอกของ
reactor
ดังนั้นเมื่อทราบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ
reactor
ก็จะสามารถกำหนดได้ว่าตำแหน่งที่ตั้งของ
reactor
bracket นั้นควรจะต้องห่างออกมาจากผนังด้านนอกของ
reactor
เป็นระยะเท่าใด
แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมเผื่อความหนาของฉนวน
(ถ้ามี)
ที่ต้องห่อหุ้ม
reactor
เอาไว้ด้วย
(รูปที่
๗)
นอกจากนี้ส่วนขาที่เป็นเหล็กนั้นยังต้องได้รับการป้องกันความร้อนจากไฟไหม้
ด้วยการหุ้มคอนกรีตทบไฟไว้รอบส่วนขาด้วย
และควรต้องมี nozzle
(หน้าแปลนสำหรับเป็นจุดต่อท่อ)
ไว้ใต้โครงเหล็กรับน้ำหนักด้วย
(เอกสารไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรไว้
บอกแต่เพียงว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีราคาแพง)
รูปที่
๗ Reactor
layout and piping arrangement (๖)
มาต่อกันในหัวข้อ
"Piping
considerations" ในรูปที่
๗
ข้อ
1.
กล่าวถึงคุณลักษณะทั่วไปของ
reactor
ที่มีทั้งของเหลว
แก๊ส และของผสมไหลผ่าน
เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุล
ในกรณีของ
reactor
ที่ทำงานที่อุณหภูมิและความดันสูง
ให้คำนึงถึงความยืดหยุ่นของระบบท่อเมื่อทำการออกแบบระบบท่อ
ทั้งนี้เป็นเพราะท่อที่รับความดันสูงนั้นจำเป็นต้องมีผนังหนา
ทำให้ความยืดหยุ่นลดลง
แต่ความร้อนทำให้ท่อขยายตัวในทิศทางความยาว
และท่อที่รองรับของเหลวและ/หรือแก๊สที่อัตราการไหลสูงก็จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางท่อมากตามไปด้วย
จึงทำให้ความยืดหยุ่นลดลง
ในบรรทัดสุดท้ายของรูปที่
๗ กล่าวว่าท่อดังกล่าวอาจต่อตรงมาจาก
"heater"
คำว่า
"heater"
ในที่นี้หมายถึงเตาเผาให้ความร้อนแก่สารที่ไหลอยู่ในท่อ
โดยมีเปลวไฟให้ความร้อนอยู่ภายนอกท่อ
(ดูภาพตัวอย่างได้ในบทความชุด
"ทำความรู้จัก
Process
Fired Heater") เฟสที่ออกมาจาก
heater
นั้นอาจเป็นเฟสของเหลวหรือไอเพียงอย่างเดียวหรือเฟสของเหลวปนกับไอก็ได้
การที่ต้องไม่มี "pocket"
คงเป็นเพราะเป็นกรณีของท่อที่มีเฟสไอเป็นหลัก
และไม่ต้องการให้มีตำแหน่งที่ของเหลวที่ควบแน่นนั้นสะสมในเส้นท่อได้
รูปที่
๘ ท่อที่เชื่อมต่อระหว่าง
vessel
สองใบ
เมื่อท่อร้อนท่อก็จะเกิดการขยายตัวในทิศทางความยาว
(รูปซ้าย)
ถ้าท่อนั้นเป็นท่อขนาดใหญ่และระยะหว่างระหว่าง
vessel
ไม่มาก
แรงที่เกิดจากการขยายตัวในทิศทางความยาวท่อจะไม่ทำให้ท่อโก่ง
แต่จะไปเพิ่มความเค้นให้กับท่อ
แต่ถ้าเป็นท่อขนาดเล็ก
แรงที่เกิดจะทำให้ท่อโก่ง
(เป็นการลดความเค้นในทิศทางความยาว)
อีกวิธีการหนึ่งที่สามารถลดความเค้นที่เกิดจากการขยายตัวคือการเดินท่อให้มีการหักเลี้ยวหรือมี
loop
ให้ขยายตัว
(รูปขวา)
การทำ
loop
มักจะใช้กับการวางท่อเป็นระยะทางยาว
แต่ในระยะทางที่ไม่มากก็สามารถใช้การออกแบบที่มีการหักเลี้ยวช่วยได้
แต่ทั้งนี้ช่วงระยะ
รูปที่
๙ Reactor
layout and piping arrangement (๗)
มาต่อกันในรูปที่
๙
ข้อ
2.
กล่าวถึงการบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาเข้า
reactor
ที่ปรกติจะบรรจุเข้าจากทางด้านบน
ด้วยการถอดท่อที่ต่อเข้า
reactor
ออก
ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบว่าท่อที่ต่อเข้า
reactor
นั้นมีชิ้นส่วนท่อ
(ที่เรียกว่า
spool
pieces) ที่สามารถถอดออกได้
และถ้าหากท่อที่ต่อเข้า
reactor
นั้นมีขนาดเล็ก
ก็อาจทำการขยายขนาดท่อให้ใหญ่ขึ้น
(เช่นเพิ่มเป็นท่อขนาด
16
นิ้วหรือ
20
นิ้ว)
ก่อนต่อเข้า
reactor
ทั้งนี้เพื่อทำให้การบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาเข้า
reactor
นั้นทำได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ช่องทางดังกล่าวยังสามารถใช้เป็นช่องทางให้พนักงานมุดเข้าไปทำงานข้างใน
(ช่อง
manhole
หรือ
manway)
เมื่อทำการซ่อมบำรุง
ข้อ
3.
กล่าวถึงปัญหาการขยายตัวที่ไม่เท่าในกรณีที่มี
reactor
หลายตัวเชื่อมต่อกันและต่างมีอุณหภูมิไม่เท่ากัน
เช่นตัวหนึ่งมีอุณหภูมิสูงในขณะที่อีกตัวหนึ่งมีอุณหภูมิต่ำ
ให้คำนึงถึงการขยายตัวที่แตกต่างกันของชิ้นส่วนต่าง
ๆ (เช่น
ท่อ หรือ platform
ที่ใช้เป็นที่ทำงาน)
ที่เชื่อมต่อระหว่าง
reactor
ทั้งสองตัว
(ดูรูปที่
๑๐ เพิ่มเติม)
รูปที่
๑๐ กรณีที่มี reactor
มากกว่าหนึ่งตัวทำงานร่วมกัน
เช่นมีสองตัวที่ตัวหนึ่งเป็นตัวที่กำลังทำงาน
(ตัวสีแดงซึ่งมีอุณหภูมิสูง)
ในขณะที่อีกตัวหนึ่งเป็นตัวสำรอง
(ตัวสีน้ำเงินซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ)
ในการนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงการขยายตัวที่ไม่เท่ากันของตัว
reactor
ทั้งสองและระบบท่อ
(ทั้งด้านขาเข้าและขาออก)
ที่เชื่อมต่อกับ
reactor
ทั้งสองตัวด้วย
และการติดตั้งวาล์วควรเลือกตำแหน่งที่ไม่ทำให้เกิด
"pocket"
ที่ทำให้ของเหลวค้างสะสมได้
ข้อ
4.
กล่าวถึงการให้ตรวจสอบช่องทางที่จะใช้สำหรับการบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาเข้า
reactor
และการนำตัวเร่งปฏิกิริยาออกจาก
reactor
และเส้นทางที่จะใช้ในการยกภาชนะบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาขึ้นไปยังด้านบนของ
reactor
ด้วย
ว่าต้องไม่มีสิ่งกีดขวางใดในการทำงาน
ข้อ
5.
ให้หลีกเลี่ยงการทำให้เกิด
"pocket"
หรือบริเวณที่เป็นกระเปาะหรือ
dead
end ที่ทำให้ของเหลวค้างสะสมอยู่ได้
และการติดตั้งวาล์วควรติดตั้งในช่วงเส้นท่อนอน
(และควรเป็นที่ตำแหน่งสูงสุด)
เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด
dead
end (ดูรูปที่
๑๐ ประกอบ)
รูปที่
๑๑ Reactor
layout and piping arrangement (๘)
ข้อ
6.
กล่าวถึงการตรวจสอบระบบท่อสาธารณูปโภคต่าง
ๆ เช่นจุดต่อสายยาง (สำหรับท่อน้ำ
อากาศ ไอน้ำ)
จุดเก็บตัวอย่าง
ระบบน้ำล้างตาและล้างตัว
และในกรณีที่มีการติดตั้ง
probe
สำหรับวัดอุณหภูมิภายใน
reactor
ซึ่งถ้าเส้นผ่านศูนย์กลาง
reactor
มีขนาดใหญ่
ความยาว probe
ที่ใช้วัดอุณหภูมิตอนกลางของ
reactor
ก็จะมากตามไปด้วย
ดังนั้นให้ตรวจสอบบริเวณรอบข้างตำแหน่งติดตั้ง
probe
ด้วย
ว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับการทำงาน
ต่อไปเป็นรูปที่
๑๑
ข้อ
7.
กล่าวถึงการตรวจสอบตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์วัดต่าง
ๆ
ที่ควรจะมีเส้นทางเข้าถึงได้ไม่ว่าจะเป็นการใชับันไดปีนหรือมีขั้นบันไดเดินถึงได้
ข้อ
8.
เป็นกรณีของระบบ
piping
ที่เชื่อมต่อเข้ากับ
reactor
โดยระบบวาล์วที่ใช้ในการ
isolate
(ตัดการเชื่อมต่อ)
reactor ออกจากระบบนั้นควรเป็นชนิด
"double
block และ
bleed
valve" และในบางกรณีเพื่อความปลอดภัย
อาจต้องใช้ "swing
elbow" (ใช้ข้องอแทนการใช้ข้อต่อสามทางและระบบวาล์ว
ในการเลือกชนิดแก๊สที่จะให้ไหลเข้าระบบ
ตรงประเด็นนี้ขอยกตัวอย่างเพิ่มเติมจากประสบการณ์หนึ่งที่เคยเห็น
ในกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นโลหะ
(หมายถึงมีเลขออกซิเดชันเป็น
0)
นั้นทางผู้ผลิตจะเตรียมในรูปของสารประกอบโลหะออกไซด์ก่อน
หรือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะที่ทำการออกซิไดซ์ให้เกิดเป็นสารประกอบโลหะออกไซด์บาง
ๆ ไว้บนพื้นผิว เพื่อความปลอดภัยในการทำงาน
ทั้งนี้เพราะตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นโลหะจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศได้อย่างรุนแรง
(เกิดไฟลุกไหม้ได้)
ดังนั้นเมื่อบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าใน
reactor
เรียบร้อยแล้วก็ต้องทำการรีดิวซ์ตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อเปลี่ยนจากรูปสารประกอบโลหะออกไซด์ให้กลายเป็นโลหะก่อนการใช้งาน
แก๊สที่ใช้กันทั่วไปในการรีดิวซ์นี้ก็ได้แก่แก๊สไฮโดรเจน
และเมื่อต้องการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยา
ก็ต้องทำลายตัวเร่งปฏิกิริยาของเดิมก่อนด้วยการป้อนแก๊สที่มีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบเข้าสู่
reactor
เพื่อให้ออกซิเจนนั้นเข้าไปออกซิไดซ์โลหะบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาให้กลายเป็นสารประกอบออกไซด์ก่อน
ในระหว่างการทำลายนี้จะมีความร้อนเกิดขึ้น
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยก็จะเริ่มจากการใช้ออกซิเจนความเข้มนต่ำก่อนเพื่อไม่ให้อุณหภูมิใน
reactor
เพิ่มมากเกินไป
จากนั้นจึงค่อยเพิ่มความเข้มข้นออกซิเจนให้สูงขึ้น
จนกระทั่งพบว่าไม่มีความร้อนเกิดขึ้นใน
reactor
ก็แสดงว่าส่วนที่เป็นโลหะถูกเปลี่ยนเป็นโลหะออกไซด์หมดแล้ว
จากที่เคยเห็นนั้นการเดินท่อไฮโดรเจนและออกซิเจนเข้าระบบนั้นเขาใช้ระบบ
swing
elbow เพื่อป้องกันไม่ให้ไฮโดรเจนพบกับออกซิเจนได้
(รูปที่
๑๒)
ข้อ
9.
กล่าวถึงกรณีที่ใช้
swing
elbow ต่อเข้ากับ
nozzle
ของ
reactor
โดยตรง
ให้ตรวจสอบว่ามีจุดต่อสำหรับ
thermowell
ด้วยหรือไม่
ข้อ
10.
เป็นกรณีของ
ring
type joint flange
ให้ตรวจสอบว่ามีพื้นที่ว่างสำหรับการถอดเอาชิ้นส่วนท่อออกมาด้วย
ข้อ
11.
เกี่ยวข้องกับข้อต่อของท่อที่ใช้กับแก๊สไฮโดรเจน
เนื่องจากแก๊สไฮโดรเจนมีโมเลกุลที่เล็กมาก
ในทางปฏิบัติจึงถือว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันการรั่วไหลตรงหน้าแปลน
ด้วยเหตุนี้สำหรับท่อที่มีขนาดใหญ่ตั้งแต่
8
นิ้ว
หรือ 12
นิ้วขึ้นไป
จึงควรมีการติดตั้งระบบฉีดไอน้ำ
เพื่อให้ไอน้ำร้อนทำให้แก๊สไฮโดรเจนฟุ้งกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ป้องกันการเกิดการสะสมจนเกิดการระเบิดได้
รูปที่
๑๒ รูปซ้ายคือระบบ double
block และ
bleed
valve ในการ
isolate
อุปกรณ์นั้นจะปิด
block
valve ทั้งสองตัวและเปิด
bleed
valve เอาไว้
ถ้ามีการรั่วไหลผ่านวาล์วจากด้าน
process
(ด้านมีความดัน)
เข้ามา
ของเหลวหรือแก๊สที่รั่วผ่านวาล์วมาได้จะระบายออกทาง
bleed
valve (ตัว
bleed
valve มักเป็นวาล์วตัวเล็กเช่น
3/4
นิ้วหรือใหญ่กว่า)
ส่วนเมื่อแก๊สหรือของเหลวที่รั่วออกมานั้นเมื่อผ่าน
bleed
valve แล้วจะส่งไปไหนต่อ
ก็ขึ้นอยู่กับอันตรายของแก๊สหรือของเหลวนั้น
ส่วนรูปขวาเป็น swing
elbow (คือข้องอนั่นแหละ)
ที่บังคับให้เลือกต่อท่อเข้ากับแก๊สตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น
อย่างเช่นในรูปที่ต่ออยู่กับท่อไฮโดรเจน
ถ้าต้องการต่อเข้ากับท่ออากาศก็ปลดปลายด้านไฮโดรเจนออกแล้วหมุนไปต่อกับท่อออกซิเจนแทน
ระบบนี้เคยเห็นกับ reactor
ตัวหนึ่งที่ต้องใช้ไฮโดรเจนในการรีดิวซ์ตัวเร่งปฏิกิริยาก่อนการใช้งาน
และใช้อากาศ (อันที่จริงเป็นอากาศ
+
ไนโตรเจน
เพื่อปรับระดับความเข้มข้นออกซิเจนในแก๊สผสม)
ในการทำลายตัวเร่งปฏิกิริยาก่อนทำการเปลี่ยน
ระบบนี้ปลอดภัยกว่าการใช้ข้อต่อสามทางติดตั้งถาวรร่วมกับวาล์ว
เพราะการใช้วาล์วนั้นอาจมีการรั่วไหลผ่านวาล์ได้
(โดยเฉพาะไฮโดรเจนที่รั่วซึมได้ง่าย)
ต่อไปเป็นรูปที่
๑๓ ซึ่งเป็นรูปสุดท้ายแล้ว
ข้อ
12.
กล่าวถึงความต้องการพิเศษต่าง
ๆ เช่น
ข้อย่อย
I
กล่าวถึงการติดตั้ง
vibrator
(อุปกรณ์สั่น
นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าเขาต้องการสื่อถึง
vibrator
แบบไหน
ที่เคยเห็นกับงานโยธาก็มีหน้าตาแบบหนึ่ง
พวกที่ใช้กับตะแกรงร่อนก็เป็นอีกแบบหนึ่ง)
ข้อย่อย
II
กล่าวถึง
stiffening
ring
ที่มีลักษณะเหมือนกับเป็นแหวนหรือเข็มขัดรัดรอบส่วนลำตัวทรงกระบอกของ
pressure
vessel ที่รับความดันสูง
(อาจอยู่ภายนอกหรือภายในตัว
pressure
vessel ก็ได้)
โดยเฉพาะกับ
pressure
vessel
ที่มีส่วนลำตัวทรงกระบอกที่ยาวเมื่อเทียบกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของมัน
หน้าที่ของ stiffening
ring คือป้องกันไม่ให้ส่วนลำตัวเกิดการสูญเสียรูปร่างที่ความดันสูง
โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผนัง
vessel
ที่หนา
ตรงนี้คงต้องขอหมายเหตุไว้นิดนึง
คือในอินเทอร์เน็ต (เว็บต่างประเทศ)
นั้นมีหลายรายอธิบายว่าการติดตั้ง
stiffening
ring ก็เพื่อป้องกันการเกิด
"buckle"
ที่แปลเป็นไทยว่าการ
"โก่ง"
หรือการงอออกทางด้านข้างของวัสดุที่มีควายยาวและรับ
"แรงกด"
ซึ่งตรงนี้ก็มีคนให้ความเห็นแย้งเหมือนกันว่าในกรณีของ
pressure
vessel ที่มีความดันภายในนั้น
ผนังของ vessel
มันรับ
"แรงดึง"
ที่ทำให้ตัวมันยืดออกหรือโป่งออกทางด้านข้าง
ดังนั้นมันจึงไม่เกิดปัญหาเกิดการโก่ง
แต่น่าจะเป็นการช่วยกระจายการรับความเค้นและป้องกันการโป่งพองมากกว่า
ข้อย่อย
III
กล่าวถึงการติดตั้ง
weight
cell หรือ
load
cell ที่เป็นอุปกรณ์วัดน้ำหนักตัว
reactor
เพื่อตรวจสอบว่ามีการหลุดร่อนหายไปของตัวเร่งปฏิกิริยาหรือไม่
(น้ำหนักลดลง)
หรือมีสารมาสะสมอยู่ใน
reactor
(น้ำหนักเพิ่มขึ้น)
รูปที่
๑๓ Reactor
layout and piping arrangement (๙)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น