"การอ่านผล
NH3-TPD
ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการแปลผล
ในเรื่องการอ่านผล NH3-TPD
ที่เคยเล่าไว้ในบันทึกหลายฉบับก่อนหน้านี้
ผมได้เคยย้ำเอาไว้ว่าควรที่จะวัดปริมาณ
NH3
ที่ตัวอย่างสามารถดูดซับเอาไว้
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสัญญาณที่ได้จากขั้นตอน
desorption
ว่าส่วนไหนของสัญญาณที่เป็นพีค
ส่วนไหนที่เป็น base
line"
ย่อหน้าข้างบนเป็นประโยคที่ผมเคยกล่าวเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๔๓ วันพุธที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เรื่อง
"NH3-TPD ตอน ตัวอย่างผลการวิเคราะห์ ๑"
เมื่อต้นเดือนที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปนั่งฟังบรรยายการประชุมวิชาการระดับนานาชาติแห่งหนึ่ง
หลังจากเสร็จสิ้นการนำเสนอก็เป็นช่วงให้ถามคำถาม
ผมเองก็ขอให้ผู้บรรยายแสดงสไลด์หน้าที่เกี่ยวข้องกับผลการวัดปริมาณความเป็นกรดบนพื้นผิวของ
Al2O3
ให้ดูหน่อยด้วยเกรงว่าจะอ่านผิด
แต่ก็ไม่ได้ถามคำถามอะไรเพราะไม่มีเวลาให้ถาม
พอสิ้นสุดการบรรยายผู้บรรยายก็มาถามผมว่ามีข้อแนะนำอะไรเกี่ยวกับผลดังกล่าว
ผมก็อธิบายให้เขาฟัง
แต่ก่อนอื่นคุณลองพิจารณาผลของเขาในรูปข้างล่างที่ผมลอกมาจากบทความของเขาดูก่อนไหมครับ
แล้วค่อยมาดูว่าคุณเห็นเหมือนกับที่ผมเห็นหรือไม่
สำหรับของแข็งเปล่า
ๆ ที่ไม่ได้มีการดูดซับสารละลายกรดเอาไว้ในรูพรุน
"ปริมาณ
-
amount"
ตำแหน่งที่มีฤทธิ์เป็นกรดบนพื้นผิวจะขึ้นอยู่กับจำนวนของไอออนบวก
(ก็คือตัวไอออนบวกของโลหะ)
ที่ทำหน้าที่เป็นกรดลิวอิส
(Lewis
acid) และจำนวนของหมู่ไฮดรอกซิล
(hydroxyl
group หรือ
-OH)
ที่ทำหน้าที่เป็นกรดเบรินเสตด
(Brönsted
acid) แต่หมู่ไฮดรอกซิลนี้ตัวอะตอม
O
ก็ยังต้องยึดเกาะอยู่กับไอออนบวกของโลหะอยู่ดี
ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ปริมาณตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวเป็นตัวบ่งบอก
"จำนวน"
ของไอออนบวกที่ปรากฏอยู่บนพื้นผิวของแข็ง
วิธีการหนึ่งที่สามารถนำมาใช้วัด
"ปริมาณ"
ตำแหน่งที่มีฤทธิ์เป็นกรดบนพื้นผิวก็คือการวัดปริมาณเบส
(ปรกติจะเป็นแก๊ส)
ที่พื้นผิวของแข็งนั้นดูดซับเอาไว้ได้
(ณ
อุณหภูมิที่สูงกว่าจุดเดือดของแก๊สที่เป็นเบสตัวนั้น
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการควบแน่น)
การวัดปริมาณเบสที่ของแข็งดูดซับได้นี้อาจทำได้ด้วยการค่อย
ๆ เติมเบสให้กับของแข็งจนกระทั่งของแข็งนั้นไม่สามารถดูดซับเบสได้อีก
หรือให้ของแข็งดูดซับเบสเอาไว้จนอิ่มตัวก่อน
จากนั้นใช้อุณหภูมิในการไล่เบสออกจากพื้นผิว
แล้วดูว่าพื้นผิวคายเบสออกมาในปริมาณเท่าใด
งานวิจัยส่วนใหญ่ที่เห็นทำกันและมีการเผยแพร่นั้นนิยมใช้การวัดปริมาณเบสที่ของแข็ง
"คายออกมา"
เมื่อเพิ่มอุณหภูมิด้วยเทคนิคที่เรียกกันว่า
Temperature
programmed desorption หรือที่เรียกกันย่อย
ๆ ในวงการว่า TPD
ทั้งนี้เพราะในทางทฤษฏีแล้วเทคนิคมันสามารถบอกได้ทั้งค่า
"ปริมาณ"
และ
"ความแรง
-
strength" ได้พร้อมกัน
แต่ในทางปฏิบัตินั้น
การใช้เทคนิค TPD
มีข้อควรระวังคือ
๑.
อุณหภูมิที่ใช้นั้นต้อง
"สูงพอ"
ที่จะสามารถไล่เบสที่ของแข็งดังกล่าวดูดซับเอาไว้ได้หมด
และต้องไม่สูงจนทำให้ของแข็งที่ดูดซับเบสไว้นั้นเกิดการสลายตัว
และต้องไม่ทำให้เบสที่ถูกของแข็งดูดซับเอาไว้นั้นเกิดการสลายตัวด้วย
๒.
ต้องมั่นใจว่าสัญญาณการคายซับที่เห็นนั้นเป็นผลที่เกิดจากเบสที่ของแข็งคายซับออกมาเท่านั้น
ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยอื่น
เช่น การสลายตัวของของแข็ง
การสลายตัวของเบส
หรือการที่แก๊สที่ไหลผ่านตัวตรวจวัดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ
(เช่น
อุณหภูมิเปลี่ยน ความเร็วในการไหลเปลี่ยน
การไหลของแก๊สในระบบถูกรบกวน)
อุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่ใช้วัดปริมาณเบสที่ของแข็งคายออกมานั้นนิยมใช้
Thermal
conductivity detector (ที่เรียกกันย่อย
ๆ ว่า TCD)
เป็นตัวตรวจวัด
แต่ตัวตรวจวัดชนิดนี้มันให้สัญญาณออกมาเหมือนกับว่าเกิดพีคได้ถ้าหากแก๊สที่ไหลผ่านนั้นมีอัตราการไหลหรืออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยที่องค์ประกอบทางเคมีของแก๊สนั้นยังเหมือนเดิม
และสิ่งที่พบกันเป็นเรื่องปรกติเวลาใช้ตัวตรวจวัดชนิดนี้คือ
เวลาที่แก๊สก่อนเข้าตัวตรวจวัดมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
(อัตราการไหลจะเปลี่ยนตามไปด้วยถ้าหากไม่มีการปรับความดัน
เพราะเมื่อแก๊สมีอุณภูมิสูงขึ้น
แก๊สจะหนืดมากขึ้น
อัตราการไหลจะตกลง)
เช่นในขณะที่ทำการวิเคราะห์แบบมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
(temperature
programmed) ตัวตรวจวัดจะสัญญาณออกมา
แต่สัญญาณดังกล่าวต้องถือเป็น
base
line
จะนำมาพิจารณาว่าเป็นผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของแก๊สไม่ได้
ตรงนี้ขอแนะนำให้อ่านเพิ่มเติมจาก
Memoir
เหล่านี้
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๒๕ วันพฤหัสบดีที่
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง
"การวัด
NH3
adsorption" (ฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน)
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๖๔ วันอาทิตย์ที่
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง
"NH3-TPD การไล่น้ำและการวาดกราฟข้อมูล"
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๖๗ วันจันทร์ที่
๗ มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง "NH3-TPD การลาก base line"
ที่นี้ลองกลับไปพิจารณาปริมาณความเป็นกรดบนพื้นผิว
Al2O3
ในรูปดูกันอีกทีนะครับ
ตรงค่าที่เขาบอกว่าวัดได้
"74.5
mmol/g.cat" (มิลลิโมลต่อกรัมตัวเร่งปฏิกิริยา)
การดูดซับ
NH3
บนตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวนั้นเป็นการดูดซับแบบ
1:1
กล่าวคือตำแหน่งที่เป็นกรด
1
ตำแหน่งจะจับ
NH3
ได้เพียง
1
โมเลกุล
ดังนั้นตัวเลข 74.5
mmol/g.cat ดังกล่าวจึงเป็นตัวเลขที่บ่งบอกจำนวนตำแหน่งที่เป็นกรด
"บนพื้นผิว"
ของตัวเร่งปฏิกิริยา
ซึ่งจะบ่งบอกถึงจำนวนของไอออน
Al3+
ที่อยู่บนพื้นผิวของแข็ง
ดังนั้นถ้าเราเอาน้ำหนักอะตอมของ
Al
(คือ
26.98)
คูณเข้ากับจำนวนโมลของไอออน
Al3+
ที่อยู่บนพื้นผิวของแข็ง
เราก็จะได้ค่าน้ำหนักของไอออน
Al3+
ที่อยู่บนพื้นผิวของแข็ง
ซึ่งในกรณีนี้ออกมาเท่ากับ
"2.01
g"
ซึ่งมากกว่าน้ำหนักของตัวเร่งปฏิกิริยาที่นำมาวัดเสียอีก
อีกประเด็นที่ต้องระมัดระวังในการแปลผลหรือการนำเสนอคือปฏิกิริยาที่ใช้กรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยานั้น
ปฏิกิริยาจะเกิด "ได้หรือไม่"
นั้นขึ้นอยู่กับ
"ความแรง
-
strength" และถ้าปฏิกิริยาสามารถเกิดได้แล้ว
จะเกิดได้ "มากหรือน้อย"
เท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับ
"ปริมาณ
-
amount"
เพราะถ้าตำแหน่งที่เป็นกรดนั้นมีความแรงไม่เพียงพอ
ปฏิกิริยาก็จะไม่เกิด
ไม่ว่าจะมีปริมาณตำแหน่งที่เป็นกรดนั้นมากน้อยเท่าใด
ดังนั้นการใช้คำว่า
"มีความเป็นกรด"
เพิ่มมากขึ้นจึงเป็นการใช้คำที่ไม่ชัดเจน
เว้นแต่ว่าปฏิกิริยาดังกล่าวนั้นไม่ต้องการตำแหน่งกรดที่มีความแรงสูงมาก
(เรียกว่าตำแหน่งที่เป็นกรดมีความแรงมากน้อยเท่าใดก็สามารถทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้ทั้งนั้น)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น