เมื่อช่วงต้นปี
๒๕๖๑ ผมให้นิสิตส่งตัวอย่างตัวเร่งปฏิกิริยา
MoO3-MgO/TiO2
(10 wt% MoO3 1 wt% MgO) และ
WO3-MgO/TiO2
(7 wt% WO3 1 wt% MgO) ไปวิเคราะห์ด้วยเทคนิค
XPS
(x-ray photoelectron spectroscopy) เพื่อที่จะตรวจสอบการตกค้างของอะตอม
N
เพราะตัวเร่งปฏิกิริยาทั้งสองเตรียมด้วยวิธี
wet
impregnation ที่ใช้เกลือโลหะที่มี
N
เป็นองค์ประกอบ
((NH4)6Mo7O24
ในกรณีของโลหะ
Mo
และ
(NH4)10H2(WO7)6.xH2O
ในกรณีของโลหะ
W)
และทำการปรับค่า
pH
ของสารละลาย
(ถ้าจำเป็น)
ด้วยสารละลาย
HNO3
หรือ
NH4OH
ในระหว่างกระบวนการเตรียม
โดยมีการนำตัวเร่งปฏิกิริยาไปเผาในอากาศที่อุณหภูมิ
500ºC
เป็นเวลาอย่างน้อย
2
ชั่วโมงเพื่อให้เหลือแต่โครงสร้างโลหะออกไซด์บนพื้นผิว
(พวกแอมโมเนียมหรือไนเทรตควรที่จะสลายตัวไปหมด)
การวิเคราะห์กระทำในภาวะสุญญากาศยวดยิ่ง
(Ultra
High Vacuum หรือ
UHV)
ที่ระดับประมาณ
10-6
Pa โดยในการวิเคราะห์นั้นหลังจากที่ได้ทำ
survey
scan ก็จะทำการวัดละเอียดตรงบริเวณค่าพลังงานยึดเหนี่ยว
(หรือ
binding
energy ที่มีหน่วยเป็นอิเล็กตรอนโวลต์
eV)
สำหรับธาตุ
N
นั้นจะอยู่ที่บริเวณ
400
eV โดยในการวัดละเอียดนั้นทางผู้ทำการวิเคราะห์ทำการสแกนค่าทีละ
0.1
eV โดยวัดที่แต่ละตำแหน่งนาน
0.2985
วินาทีก่อนย้ายไปวัดที่ตำแหน่งถัดไป
และทำการสแกนซ้ำทั้งหมด "3
รอบ"
(คือผมมารู้ทีหลังว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างเขาตั้งค่า
default
ไว้ที่นี่
ถ้าไม่มีการระบุอะไรเขาก็จะสแกนเพียงแค่
3
รอบ)
ข้อมูลดิบที่ได้มานั้นเคยนำมาแสดงไว้ใน
Memoir
ปีที่
๑๐ ฉบับที่ ๑๕๒๕ วันอังคารที่
๖ มีนาคม พ.ศ.
๒๕๖๑
เรื่อง "รู้ทันนักวิจัย (๙) อยากให้มีพีคก็จัดให้ได้"
ตอนที่เห็นข้อมูลดิบและผลการวิเคราะห์ที่ซอฟแวร์ของเครื่องแปลผลให้นั้น
ผมก็ไม่คิดว่ามันจะใช้ได้
ก็เลยบอกให้ส่งตัวอย่างเดิมไปวิเคราะห์ใหม่
แต่ครั้งนี้ขอเพิ่มรอบการสแกนขึ้นเป็น
"20
รอบ"
แต่กว่าจะได้ส่งตัวอย่างไปอีกครั้งก็ผ่านไปตั้งร่วมปี
เมื่อวานเพิ่งจะได้ผมการวิเคราะห์มาก็เลยขอนำมาเปรียบเทียบกัน
(แต่ละตัวอย่างใช้เวลาตั้งแต่ใส่ตัวอย่างเข้าเครื่อง
รอจนความดันลดต่ำมากพอ
และวิเคราะห์เสร็จ ก็ใช้หมดเวลาไป
๒ ชั่วโมง)
ในเว็บ
https://xpssimplified.com/elements/nitrogen.php
(ข้อมูล
ณ วันศุกร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๒)
ให้ข้อมูลค่า
Binding
energy (พลังงานยึดเหนี่ยว)
ของ
N1s
(เมื่อใช้รังสีเอกซ์
Mg1s)
เมื่อยู่ในรูปสารประกอบต่าง
ๆ ไว้ดังนี้คือ Metal
nitrides ~397 eV, NSi3 (Si3N4) 398.0
eV, NSi2O 399.9 eV, NSiO2 402.5 eV, C-NH2
~400 eV และ
Nitrate
> 405 eV กล่าวโดยหลักการก็คือ
ค่าพลังงานยึดเหนี่ยวของ
N1s
จะเพิ่มมากขึ้นถ้าหากอะตอม
N
ถูกดึงอิเล็กตรอนออก
(เช่นในกรณีของหมู่
nitrate
ที่มันถูกอะตอม
O
ดึงอิเล็กตรอนออก)
และจะลดลงถ้าอะตอมอื่นจ่ายอิเล็กตรอนให้อะตอม
N
(เช่นในกรณีของสารประกอบ
metal
nitride) ดังนั้นถ้าพิจารณากันตามหลักการนี้
กรณีของอะตอม N
ที่ไม่ถูกดึงอิเล็กตรอนออกหรือได้รับอิเล็กตรอนนั้น
อิเล็กตรอน N1s
ก็น่าจะมีค่าพลังงานยึดเหนี่ยวอยู่ที่ประมาณ
400
eV
ตัวอย่างที่เป็นของแข็งมีรูพรุนนั้นมันจะมีอากาศอยู่ในรูพรุน
การดึงอากาศออกจากรูพรุนขนาดเล็กเหล่านี้ให้หมดทำได้ยาก
ในกรณีของการวัด XPS
นั้นแม้ว่าเราจะใส่ตัวอย่างไว้ในสุญญากาศเป็นเวลาที่คิดว่านานพอ
แต่เอาเข้าจริง ๆ
พอเริ่มฉายรังสีเอ็กซ์ลงไปก็จะเห็นความดันในห้องวิเคราะห์เพิ่มสูงขึ้น
อันเป็นผลจากการที่มีความร้อนทำให้อากาศที่ค้างอยู่นั้นหลุดออกมาจากรูพรุน
ดังนั้นถ้าต้องการวัด N
ที่อาจมีอยู่ในปริมาณต่ำ
ๆ
แล้วจึงเห็นว่าควรที่จะทำสุญญากาศให้นานพอและวัดด้วยจำนวนรอบการสแกนที่มากพอ
เพื่อเป็นการลด noise
ของการวัด
และตัดสัญญาณแก๊ส N2
ที่ค้างอยู่บนตัวอย่าง
รูปที่
๑ ผลการวัด XPS
ของตัวอย่างตัวเร่งปฏิกิริยา
WO3-MgO/TiO2
ช่วงบริเวณ
N1s
แกนนอนคือ
Binding
energy (B.E. - eV) แกนตั้งคือสัญญาณ
(count)
รูปบนเป็นค่าที่ได้จากการสแกน
3
รอบ
ส่วนรูปล่างได้จากการสแกน
20
รอบ
ผลการวัดไม่แสดงการมีพีคไนโตรเจน
ความดันของการวัดอยู่ในช่วง
5-6
x 10-6 Pa
รูปที่นำมาแสดงในที่นี้ใช้สเกลแกนตั้งขนาดเดียวกัน
(คือ
450
หน่วย)
เพื่อให้ง่ายในการเปรียบเทียบ
โดยรูปที่ ๑ เป็นตัวอย่าง
WO3-MgO/TiO2
ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อเพิ่มจำนวนรอบการสแกนเป็น
20
รอบนั้น
สัญญาณที่วัดได้เรียบลงมาก
ระดับ noise
ที่ระดับปริมาณ
100
หน่วยเมื่อสแกนเพียงแค่
3
รอบ
ลดลงเหลือประมาณ 25
หน่วยเมื่อเพิ่มรอบการสแกนเป็น
20
รอบ
ซึ่งทำให้สามารถยืนยันได้ว่าตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมนั้นไม่มีอะตอม
N
ตกค้างอยู่บนพื้นผิว
รูปที่
๒ เป็นของตัวอย่าง MoO3-MgO/TiO2
ซึ่งถ้าเปรียบเทียบความเรียบของสัญญาณก็จะเห็นชัดเช่นกันว่าการเพิ่มรอบการสแกนจาก
3
รอบเป็น
20
รอบนั้นช่วยลด
noise
ลงได้มาก
ทำให้การแปลผลทำได้ง่ายขึ้นและถูกต้องมากขึ้น
ส่วนที่ว่าควรสแกนกี่รอบดีนั้นตัวที่เป็นตัวกำหนดคือค่า
Singal
to Noise (S/N) ratio กล่าวคือควรต้องทดลองทำการสแกนซ้ำไปเรื่อย
ๆ จนกว่าจะพบว่าค่า noise
ที่เห็นนั้นไม่ลดลงแล้ว
ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวอย่าง
รูปที่
๒ ผลการวัด XPS
ของตัวอย่างตัวเร่งปฏิกิริยา
MoO3-MgO/TiO2
ช่วงบริเวณ
N1s
แกนนอนคือ
Binding
energy (B.E. - eV) แกนตั้งคือสัญญาณ
(count)
รูปบนเป็นค่าที่ได้จากการสแกน
3
รอบ
ส่วนรูปล่างได้จากการสแกน
20
รอบ
ที่ปรากฏพีคที่ค่า B.E.
ประมาณ
398
eV ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เป็นไปได้ทั้งพีค
N1s
ของไนโตรเจน
(oxidation
state 0) หรือ
Mo3p
ของโมลิบดีนัม
ความดันของการวัดอยู่ในช่วง
5-6
x 10-6 Pa
แต่สิ่งหนึ่งที่พบในกรณีของตัวอย่าง
MoO3-MgO/TiO2
คือการมีพีคหนึ่งที่เด่นชัดที่ตำแหน่งประมาณ
398
eV ซึ่งตำแหน่งนี้จะว่าไปแล้วไม่ใช่ตำแหน่งของสารประกอบ
nitrate
แต่เป็นตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับอะตอม
N
ที่มี
oxidation
state เป็นศูนย์หรือลบเล็กน้อย
แต่พอลองค้นคว้าดูก็พบว่ามีคำเตือนเอาไว้ในเว็บที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า
ตำแหน่ง N1s
นี้อาจซ้อนทับกับพีคจากธาตุ
Ta,
Mo หรือ
Cd
ได้
โดยเฉพาะในกรณีของธาตุ Mo
ที่พีค
Mo3p3/2
และ
Mo3p1/2
อยู่ในช่วง
370–455
eV แถมตัวอย่างนี้ก็ยังมี
Mo
เป็นองค์ประกอบในปริมาณมากซะด้วย
ซึ่งหลังจากที่พิจารณาแล้วเห็นว่าพีคนี้ควรเป็นพีคของ
Mo
(ที่อยู่ในรูป
Mo6+
ที่จะกล่าวถึงในตอนต่อไป)
ไม่ใช่ของ
N
ข้อมูลในเว็บเดียวกันนี้ยังกล่าวเอาไว้ว่า
ในกรณีที่ตัวอย่างมีธาตุ
Ta
เป็นองค์ประกอบ
ก็ให้ทำการวัดค่าพลังงานยึดเหนี่ยวของ
Ta4p3/2
ในช่วง
370–450eV
เอาไว้ด้วย
นอกจากนี้ยังได้กล่าวเอาไว้ว่าในกรณีที่มีการทำ
supttering
พื้นผิว
(การใช้ไอออน
Ar
ยิงไปบนพื้นผิวเพื่อสกัดเอาอะตอมบนผิวหน้าพื้นผิวออก)
ถ้ามีการตรวจพบ
N
ทั้ง
ๆ ที่มันไม่ควรจะมี
นั่นอาจเป็นเพราะว่ามีการรั่วไหลของอากาศเข้าไปในระบบจ่ายแก๊ส
Ar
นั่นแสดงว่าแม้อะตอม
N
จะอยู่ในรูปของโมเลกุลแก๊ส
ก็ยังสามารถให้สัญญาณ xps
ได้
ดังนั้นการแปลผล xps
ของ
N
จึงควรต้องใช้ความระมัดระวัง
รูปที่
๓ พีคเล็ก ๆ ที่อยู่ข้าง
ๆ พีคใหญ่ไม่ได้แปลว่ามันต้องมี
oxidation
state ต่างจากพีคใหญ่เสมอ
เพราะมันมีสิทธิเป็น "satellite
peak" ได้เช่นกัน
อย่างเช่นตัวอย่างนี้
(ภาพจากเว็บ
https://xpssimplified.com/elements/nitrogen.php
ข้อมูล
ณ วันศุกร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์
พ.ศ.
๒๕๖๒)
ที่เป็นการวัดตัวอย่าง
(ซ้าย)
TiN พึงสังเกตว่าขนาดของ
satellite
peak นี้ไม่ได้ใหญ่มากและซ้อนทับกับส่วนฐานของพีคหลักอยู่
และ (ขวา)
กรณีของ
N-containing
aromatic polymers (เช่น
polyimide)
ที่อาจมี
-*
satellite peak อยู่ห่างจากพีคหลักหลาย
eV
เรื่องหนึ่งที่มีโอกาสได้พบเห็นอยู่บ่อยครั้งตอนสอนสัมมนานิสิตก็คือการแปลผลพีคเล็ก
ๆ ที่อยู่ข้างพีคใหญ่
โดยมักจะสรุปทันทีที่เห็นว่ามันเป็นพีคของอะตอมที่มี
oxidation
state ต่างไปจากของพีคใหญ่เสมอ
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นตลอด
(ดังตัวอย่างในรูปที่
๓ ข้างบน)
เพราะพอถามว่าแน่ใจหรือเปล่าว่ามันไม่ใช่
"satellite
peak" ก็ปรากฏว่าคนถูกถามงงว่า
satellite
peak คืออะไร
เพราะไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
แสดงว่าการที่พูดจานำเสนอได้คล่อง
กับการรู้จริงว่ากำลังพูดอะไรออกมานั้น
มันคนละเรื่องกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น