วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ถังน้ำมันเตาโรงงานผลิตปูนซิเมนต์ระเบิด (ตอนที่ ๓) MO Memoir : Sunday 10 May 2558

ใน Memoir ฉบับที่แล้ว (ตอนที่ ๒) ได้นำเรื่องการฉีกขาดของถังเก็บน้ำมันเตาที่เกิดขึ้นที่ตะเข็บรอยเชื่อมที่ก้นถังขึ้นมาพิจารณา โดยได้ตั้งข้อสมมุติก่อนว่าถ้าเรามีข้อมูลเพียงแค่นั้น (ในขณะเกิดเหตุ ถังใบนั้นบรรจุอะไร และหลังเกิดเหตุแล้ว ถังใบนั้นเกิดความเสียหายอย่างไร) เราสามารถที่จะตั้งสมมุติฐานใดขึ้นมาได้บ้างเพื่อทำการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง
  
มาฉบับนี้จะมาลองพิจารณาเรื่องการระเบิดที่เกิดขึ้นภายในถังดูบ้าง
  
สำหรับสารเคมีที่ไม่สามารถหรือยากที่จะสลายตัวได้ด้วยตนเองนั้น การที่มันจะเกิดการระเบิดขึ้นมาได้จะประกอบด้วยองค์ประกอบ ๓ ส่วนด้วยกันคือ เชื้อเพลิง สารออกซิไดซ์ (ที่พบมากที่สุดคือออกซิเจนในอากาศ) และแหล่งพลังงาน (ซึ่งอาจเป็น แรงกระแทก เปลวไฟ ประกายไฟ หรือพลังงานความร้อน)
 
เชื้อเพลิงเหลว (หรือสารเคมีที่เป็นของเหลวใด ๆ ที่ติดไฟได้) ที่มีจุดวาบไฟ (flash point) สูงกว่าอุณหภูมิห้อง จะสามารถใช้ถังเก็บแบบ cone roof เก็บของเหลวดังกล่าวที่ความดันบรรยากาศได้ (ไม่จำเป็นต้องใช้ถังเก็บแบบ floating roof) แต่ทั้งนี้จะต้องมีการป้องกันไม่ให้ถังเกิดความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงความดันภายในถัง ที่อาจเพิ่มสูงเกินไป (เมื่อระดับของเหลวในถังเพิ่มสูงขึ้นหรืออุณหภูมิของเหลวในถังเพิ่มสูงขึ้น) หรือลดต่ำลงเกินไป (เมื่อระดับของเหลวในถังลดลงหรืออุณหภูมิของเหลวในถังลดต่ำลง) วิธีการปรกติที่ใช้กันทั่วไปคือการมีท่อระบายอากาศ (ที่เรียกว่า vent) หรือทำการติดตั้ง breather valve (วาล์วหายใจ) แต่ไม่ว่าจะเลือกใช้ท่อ vent หรือ breather valve ถ้าถังนั้นบรรจุของเหลวที่ติดไฟได้ อุปกรณ์ตัวหนึ่งที่ควรต้องมีการติดตั้งอยู่ระหว่างตัวถังเก็บกับท่อ vent หรือ breather valve ก็คือ "flame arrester" (ถ้าไม่รู้ว่า breather valve หรือ flame arrester หน้าตาเป็นอย่างไร ย้อนกลับไปดูได้ที่ Memoir ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๙๑๒ วันอาทิตย์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เรื่อง "Breather valve กับ Flame arrester")
  
รูปที่ ๑ ข้อมูลการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุข้อที่ 3. - 5. 
   
สำหรับของเหลวที่มีความดันไอไม่สูง (พวกมีจุดเดือดสูง) ก็มักจะเลือกใช้ท่อ vent ในการรักษาความดันภายในถัง เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการเอาท่อที่มีขนาดพอเหมาะมาติดตั้งให้โค้งงออยู่บนฝาถัง แต่สำหรับของเหลวที่มีความดันไอสูง (พวกมีจุดหลอมเหลวต่ำ เช่นเอทานอล) การติดตั้ง breather valve จะเหมาะสมกว่า เพราะมันช่วยลดการรั่วไหลของไอของเหลวจากภายในถังออกสูงภายนอกถัง และยังช่วยลดการรั่วไหลของอากาศจากภายนอกถังเข้าไปภายในถัง (breather valve จะเปิดให้ไอไหลผ่านก็ต่อเมื่อความดันภายในถังมีการเปลี่ยนแปลงสูงถึงระดับหนึ่ง ไม่เหมือนกับท่อ vent ที่ปล่อยให้มีการไหลผ่านเข้าออกอย่างอิสระทันทีที่ความดันภายในถังและภายนอกถังแตกต่างกัน
  
น้ำมันเตา (fuel oil) กับน้ำมันดิบ (crude oil) ประเภทที่มีน้ำมันหนักมากนั้นจะมีลักษณะหนึ่งที่เหมือนกันก็คือมีความหนืดสูงที่อุณหภูมิห้อง ทำให้ยากต่อการใช้ปั๊มสูบจ่ายจากแหล่งหนึ่งไปยังอีกแหล่งหนึ่ง เพื่อที่จะทำให้ปั๊มทำการสูบจ่ายได้ง่ายขึ้นก็ต้องหาทางลดความหนืดของน้ำมันลง วิธีการที่ใช้กันทั่วไปก็ทำโดยการให้ความร้อนแก่น้ำมันให้สูงพอ (ของเหลวเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะมีความหนืดลดลง) โดยให้ความร้อนแก่น้ำมันที่อยู่ในถังบรรจุ (เพื่อให้ปั๊มสามารถสูบได้) และระบบท่อลำเลียง (ป้องกันไม่ให้น้ำมันแข็งตัวอุดตันระบบท่อ) ส่วนจะให้ความร้อนด้วยวิธีใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงงานว่ามีระบบสาธารณูปโภคอะไรอยู่ (เช่นอาจเป็น ไอน้ำ น้ำมันส่งผ่านความร้อน ไฟฟ้า เป็นต้น)
  
แต่สิ่งหนึ่งที่น้ำมันดิบแตกต่างไปจากน้ำมันเตาก็คือ น้ำมันดิบนั้นยังอาจมีไฮโดรคาร์บอนที่ระเหยง่ายละลายปนอยู่ ในขณะที่ไฮโดรคาร์บอนส่วนนี้จะหายไปหรือลดน้อยลงไปมากในน้ำมันเตา (เพราะมันถูกกลั่นแยกออกไปแล้ว) ดังนั้นน้ำมันดิบจึงสามารถที่จะมีความดันไอที่สูงกว่าและจุดวาบไฟที่ต่ำกว่าของน้ำมันเตาได้ ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าจะเห็นว่าเขาเก็บน้ำมันดิบในถังแบบ floating roof แต่ไม่ยักเก็บน้ำมันเตาในถังแบบ floating roof ด้วย
  
แต่ก่อนอื่นเราลองมาทบทวนศัพท์เทคนิคบางคำกันก่อน
  
Flash Point (จุดวาบไฟ) คืออุณหภูมิต่ำสุดของน้ำมันที่ทำให้เกิดไอน้ำมันเป็นปริมาณมากพอ และเมื่อสัมผัสเปลวไฟก็จะทำให้ลุกไหม้ทันที อุณหภูมิของจุดวาบไฟจะขึ้นอยู่กับวิธีการวัด เช่นข้อกำหนดอุณหภูมิจุดวาบไฟของน้ำมันเตาตามมาตรฐานของกรมธุรกิจพลังงานปี ๒๕๔๗ (ฉบับที่ ๒) กำหนดไว้ที่ "ไม่ต่ำกว่า" 60ºC (กล่าวคือสูงกว่านี้ได้) เมื่อวัดตามมาตรฐาน ASTM D93 
   
Pour Point (จุดไหลเท) คืออุณหภูมิต่ำสุดที่น้ำมันยังเป็นของเหลวพอที่จะไหลได้ กล่าวคือถ้าเราเอาน้ำมันใส่หลอดแก้ว แล้วแช่ให้เย็นลงเรื่อย ๆ และคอยเอียงหลอดจากแนวตั้งให้ลงมาอยู่ในแนวนอน ถ้าพบว่าน้ำมันไหลเอียงตามหลอดได้ก็ให้ลดอุณหภูมิลงอีกจนกระทั่งถึงอุณหภูมิที่น้ำมันไม่ไหลเมื่อถือหลอดในแนวนอนนานเป็นเวลา 5 วินาที จุดไหลเทหรือจุดเริ่มไหล จะเป็นอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมินี้ 3ºC ข้อกำหนดอุณหภูมิจุดไหลเทของน้ำมันเตานี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมัน โดยชนิดที่ ๑ กำหนดไว้ "ไม่สูงกว่า" 24ºC (ต่ำกว่านี้ได้) ไปจนถึงชนิดที่ ๕ ที่กำหนดไว้ "ไม่สูงกว่า" 57ºC
  
อุณหภูมิจุดไหลเทนี้สำคัญในการลำเลียงน้ำมันทางท่อ ที่อุณหภูมิสูงขึ้น น้ำมันจะมีความหนืดต่ำลง ความต้านทานการไหลก็จะต่ำ การส่งไปตามท่อจะทำได้ง่ายขึ้น ปั๊มจะกินพลังงานต่ำ แต่จะต้องไปเพิ่มพลังงานในการทำให้น้ำม้นร้อนมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าเราไปลดความร้อนที่จ่ายให้กับน้ำมัน ก็จะทำให้น้ำมันมีความหนืดสูง ความต้านทานการไหลก็จะสูง ปั๊มจะกินพลังงานมากขึ้นในการสูบจ่าย ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงต้องมีจุดที่สมดุลระหว่างพลังงานที่ต้องจ่ายเพื่อให้น้ำม้นร้อนกับพลังงานที่ต้องจ่ายให้กับปั๊มในการสูบจ่ายน้ำมัน

รูปที่ ๑ ข้างบนเป็นข้อมูลการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ข้อที่ 3. - 5. โดยข้อที่ 3. บรรยายถึงวิธีการให้ความร้อนและอุณหภูมิของน้ำมันที่อยู่ในถังเก็บ ส่วนรูปที่ ๒ ข้างล่างเป็นข้อสังเกตข้อที่ 1. - 3. ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารกรณีศึกษาฯ ข้อสังเกตข้อที่ 1. เป็นเรื่องการฉีกขาดของถังที่ได้กล่าวไปใน Memoir ฉบับที่แล้ว (ตอนที่ ๒) และรูปที่ ๓ เป็นรายละเอียดแนบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันเตา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗ ลองอ่านเองดูก่อนก็แล้วกันนะครับ
  
รูปที่ ๒ ข้อสังเกตุข้อที่ 1. - 3. ของเหตุการณ์ที่เกิด

เรื่องเกี่ยวการลดการระเหยของของเหลว การเก็บของเหลวในถังเก็บความดันบรรยากาศ และการเก็บของเหลวที่มีอุณหภูมิจุดวาบไฟต่ำหรือสูงกว่าอุณหภูมิห้องนั้นเคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้แล้วใน Memoir บางฉบับดังนี้
  
ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๓๐๑ วันศุกร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เรื่อง "การควบคุมความดันในถังความดันบรรยากาศ(Atmospherictank)"
ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๖๓ วันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง "การลดการระเหยของของเหลว"
ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๙๑๒ วันพุธที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เรื่อง "Breathervalve กับFlamearrester"

ที่นี้เราลองมาดูโครงสร้างของถังตามที่ปรากฏในรายงานดูบ้าง จะเห็นว่ามันมีช่องทางให้อากาศเข้าไปผสมกับไอน้ำมันในถังอยู่ที่เห็นได้ชัดก็ ๓ ช่องทางด้วยกันคือ
  
ช่องทางที่ ๑ ท่อ overflow ที่อยู่ทางด้านข้างลำตัวบริเวณด้านบน ท่อนี้มีไว้ในกรณีที่สูบน้ำมันเข้าถังจนเต็ม เพราะถ้าไม่ยอมให้น้ำมันไหลล้นออกมา ความดันในถังก็จะสูงจนทำให้ถังเกิดความเสียหายได้ แต่ท่อนี้ก็เป็นช่องเปิดที่ยอมให้อากาศไหลเข้าเมื่อระดับน้ำมันในถังสูงขึ้น และให้ไอน้ำมันไหลออกเมื่อระดับน้ำมันในถังเพิ่มขึ้น
  
ช่องทางที่ ๒ ท่อ vent ที่อยู่บนส่วนบนสุดของหลังคาถัง (แบบ cone roof) หน้าที่หลักของท่อนี้คือยอมให้อากาศไหลเข้าเมื่อระดับน้ำมันในถังสูงขึ้น และให้ไอน้ำมันไหลออกเมื่อระดับน้ำมันในถังเพิ่มขึ้น
  
ช่องทางที่ ๓ รูสำหรับให้ลวดสลิงของลูกลอยที่ว้ดระดับน้ำมันในถังนั้นลอดผ่านหลังคาถัง

ในรายงานไม่ได้มีการกล่าวถึงการมีอยู่ของอุปกรณ์ใด ๆ ที่สามารถทำหน้าที่ป้องกันและ/หรือจำกัด การรั่วไหลเข้า/ออก ของอากาศ/ไอน้ำมันในถัง (เช่นพวก floating roof, breather valve, flame arrester และ check valve เป็นต้น) ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเหนือผิวของเหลวในถังนั้นมีอากาศผสมรวมอยู่กับไอน้ำมันที่ระเหยขึ้นมา
  
ตามความรู้ที่มีนั้นลักษณะของถังน้ำมันที่ปรากฏในรายงานนั้นเหมือนกับว่ามันออกแบบมาเพื่อการกักเก็บของเหลวที่ไม่ติดไฟ (มันไม่มีการติดตั้ง flame arrester) หรือของเหลวที่ติดไฟได้แต่อุณหภูมิของเหลวในถังเก็บนั้นต่ำกว่าอุณหภูมิจุดวาบไฟของของเหลวนั้น (เช่นถังเก็บน้ำมันดีเซลที่อุณหภูมิห้อง น้ำมันดีเซลมาตรฐานบ้านเราปี ๒๕๕๖ กำหนดอุณหภูมิจุดไหลเทที่ไม่เกินกว่า 10ºC และจุดวาบไฟที่ไม่ต่ำกว่า 52ºC)
  
รูปที่ ๓ รายละเอียดแนบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันเตา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗ จะเห็นว่าตรงรายการที่ ๔ จุดวาบไฟนั้น ข้อกำหนดใช้คำว่า "ไม่ต่ำกว่า"
  
การระเบิดที่เกิดขึ้นภายในถังนั้นแสดงว่าต้องมีเชื้อเพลิงกับอากาศผสมกันในสัดส่วนที่พอเหมาะ และก็รอเวลาที่จะมีแหล่งพลังงานสักแหล่งมาจุดระเบิดให้กับส่วนผสมนี้ ดังนั้นเราจะมาลองพิจารณากันก่อนว่าการเกิดส่วนผสมที่พอเหมาะระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศในถังนั้นเกิดได้หรือไม่ และเกิดจากสาเหตุใด
แม้ว่าถังเก็บของเหลวที่ความดันบรรยากาศจะมีช่องทางเชื่อมต่อกับอากาศภายนอกเพื่อรักษาความดันภายในถัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอากาศจากภายนอกจะไหลเข้าไปในถังได้ง่ายเสมอไป เพราะมันขึ้นอยู่กับ "ความดันไอ" ของของเหลวในถังด้วย
  
ถังบรรจุของเหลวที่มีความดันไอสูงที่อุณหภูมิห้อง มีแนวโน้มที่ไอของเหลวจะระเหยออกจากถังมากกว่าที่อากาศจากภายนอกจะไหลเข้าถัง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นถังที่วางกลางแจ้ง ได้รับแสงอาทิตย์โดยตรง) และแม้ว่าจะมีการสูบของเหลวออกจากถังก็ตาม แต่ความดันไอที่สูงนั้นก็จะช่วยไม่ให้ความดันเหนือผิวของเหลวในถังลดต่ำลงจนกระทั่งอากาศจากภายนอกไหลเข้ามาในถังได้ง่าย เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ความดันไอในถังลดลง เช่นอุณหภูมิของเหลวในถังลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อถังที่ตากแดดร้อนจัดเจอกับฝนตกหนักต่อเนื่อง หรือการเติมของเหลวที่มีความดันไอต่ำกว่าผสมเข้าไปในถังนั้น (เช่นการเติมน้ำมันดีเซลเข้าไปในถังที่เคยบรรจุน้ำมันเบนซิน ไอน้ำมันเบนซินจะละลายเข้ามาในน้ำมันดีเซล ทำให้ความดันไอของน้ำมันภายในถังลดลง) ดังนั้นในกรณีของถังที่บรรจุของเหลวความดันไอสูง จะมีโอกาสสูงกว่าที่ปริมาณอากาศในถังนั้นจะน้อยเกินกว่าที่จะทำให้เกิดส่วนผสมที่ระเบิดได้
  
ในทางกลับกัน ถังบรรจุของเหลวที่มึความดันไอต่ำ มีแนวโน้มที่อากาศจะไหลเข้าสู่ภายในถังได้ง่ายเมื่อความดันภายในถังลดลง (ไม่ว่าจะเป็นจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือการลดระดับของของเหลวภายในถัง) ถังน้ำมันเตาที่น้ำมันในถังมีอุณหภูมิไม่สูงจะอยู่ในกรณีนี้ ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าในถังน้ำมันที่เกิดการระเบิดนั้นสามารถมีอากาศอยู่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะนำมาพิจารณากันก็คือทำไปความดันไอของน้ำมันในถังจึงสูงมากพอจนทำให้ไอผสมระหว่างน้ำมันกับอากาศนั้นอยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะที่สามารถระเบิดได้

ข้อมูลการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุนั้นกล่าวว่ามีการอุ่นน้ำมันในถังให้ร้อนที่อุณหภูมิ 70-80ºC ซึ่งตรงนี้ก็ควรต้องนำมาพิจารณาว่าอุณหภูมิดังกล่าวสูงกว่าอุณหภูมิจุดวาบไฟหรือไม่ และของเหลวที่อยู่ทางด้านบนของถังมีอุณหภูมิเดียวกันด้วยหรือเปล่า เพราะในถังนั้นมันไม่มีระบบการผสมน้ำมันให้เป็นเนื้อเดียวกัน และก็ไม่มีรายละเอียดด้วยว่าการวางท่อให้ความร้อนแก่น้ำมันนั้นวางได้กระจายตลอดทั่วพื้นที่หน้าตัดของถังหรือไม่ หรืออยู่เฉพาะบริเวณท่อต่อออกจากถังเข้าปั๊ม
  
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นประเด็นน่าคิดก็คือถ้าหากน้ำมันภายในถังทั้งถังนั้นร้อนจนมีอุณหภูมิ 70-80ºC อุณหภูมิของฝาถังจะมีค่าเท่าใด และปลอดภัยพอที่จะให้คนงานขึ้นไปทำงานบนฝาถังหรือไม่ ตรงจุดนี้ผมคิดว่าอุณหภูมิของฝาถังคงจะไม่สูงมาก ถ้าจะร้อนก็คงร้อนเพราะตากแดด ไม่ใช่ร้อนจากน้ำมันที่อยู่ในถัง เพราะน้ำมันในถังอาจจะมีไม่มากเท่าไร (ในเอกสารกรณีศึกษาฯ ไมได้กล่าวถึงปริมาณน้ำมันในถังก่อนเกิดเหตุ แต่กล่าวว่าในขณะก่อนเกิดเหตุนั้นมีรถบรรทุกน้ำมันมารอเติมน้ำมันให้กับถังอยู่)

ตรงนี้ถ้าเรามาพิจารณาสภาพของน้ำมันในถังเก็บก่อนการระเบิด โดยส่วนตัวเห็นว่ามีข้อสังเกตดังนี้
  
๑. ข้อมูลแจ้งว่าน้ำมันในถังมีอุณหภูมิประมาณ 60-80ºC
  
๒. ข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของน้ำมันเตากำหนดไว้ว่าอุณหภูมิจุดวาบไฟต้อง "ไม่ต่ำกว่า" 60ºC (รูปที่ ๓)
  
๓. จากข้อ ๑. และ ๒. สามารถคิดได้ว่าน้ำมันเตาที่อยู่ในถังก่อนการระเบิดนั้น "ไม่จำเป็น" ต้องเป็นน้ำมันเตาที่มีอุณหภูมิจุดวาบไฟอยู่ในช่วง 70-80ºC ก็ได้ ทางที่ดีควรมีการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังด้วยว่า น้ำมันเตาที่นำมาบรรจุในถังใบนั้นมีการตรวจสอบคุณสมบัติจุดวาบไฟหรือไม่ (ไม่ว่าจะโดยผู้ซื้อหรือผู้ขาย) และอุณหภูมิจุดวาบไฟที่แท้จรีงของน้ำมันที่เกิดเหตุระเบิดนั้นเป็นเท่าใด
  
เอกสารกรณีศึกษาฯ ไม่ได้มีการกล่าวถึงว่าได้มีการตรวจสอบว่าอุณหภูมิจุดวาบไฟของน้ำมันที่อยู่ในถังที่เกิดการระเบิดนั้นมีค่าเท่าใด แต่กล่าวว่าอุณหภูมิจุดวาบไฟ (flash point) ของน้ำมันนั้น "เท่ากับ" 60ºC ซึ่งตรงนี้ทำให้เกิดประเด็นคำถามได้ว่าคำว่า "เท่ากับ" ที่ปรากฏในรายงานนั้นเป็นค่าที่ได้มาจากการวัดจริง หรือเป็นการแปลข้อความที่เขียนไว้ในข้อกำหนดไม่ถูกต้อง  เพราะตัวเลข "60ºC" นี้มันไปเท่ากับตัวเลขในข้อกำหนดที่ใช้คำว่าต้อง "ไม่ต่ำกว่า" 60ºC ซึ่งหมายถึงอุณหภูมิใด ๆ ก็ได้ที่สูงกว่า 60ºC ซึ่งสามารถสูงกว่าอุณหภูมิที่ใช้ในการกักเก็บก็ได้
  

แต่ถึงแม้ตัวเลขจะไม่ตรงกัน และแม้ว่าจะไม่ระบุไว้ว่ามีการทำการวัดจริง ผู้อ่านที่ทำการตรวจสอบข้อมูลเทียบกับข้อกำหนดก็จะแปลผลไปในทางที่ว่าตัวเลขดังกล่าวมาจากการวัดจริงได้
  
มาถึงประเด็นนี้ก็อาจมีข้อโต้แย้งว่า "การระเบิดมันเกิดขึ้นในถัง ก็แสดงว่าอุณหภูมิของน้ำมันในถังต้องสูงกว่าอุณหภูมิจุดวาบไฟ" แต่ผมคิดว่าถ้าเรามองใหม่ว่า "การระเบิดเกิดขึ้นในถัง แสดงว่าส่วนผสมของน้ำมันกับอากาศในถังนั้นอยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ" เราก็อาจมองเห็นประเด็นอื่น ๆ ที่เป็นไปได้และ/หรือควรตรวจสอบเพิ่มเติม เช่น
  
(ก) น้ำมันในถังในขณะที่เกิดการระเบิดนั้นมีอุณหภูมิจุดวาบไฟที่ "สูงกว่า" 60ºC แต่ "ต่ำกว่า" 80ºC ทำให้มีไอน้ำมันระเหยออกมาในปริมาณมากพอที่จะผสมกับอากาศกลายเป็นส่วนผสมที่สามารถระเบิดได้
  
(ข) น้ำมันในถังในขณะที่เกิดการระเบิดนั้นมีอุณหภูมิจุดวาบไฟที่ "สูงกว่า" อุณหภูมิที่ใช้การกักเก็บ (มีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อกำหนด) แต่ว่าก่อนหน้านั้นเคยมีการบรรจุน้ำมัน (หรือมีสารเคมีอื่นใด) ที่มีจุดวาบไฟต่ำเข้าไปในถังนั้น ทำให้มีไอน้ำมัน (จากน้ำมันหรือสารเคมีอื่นที่มีจุดวาบไฟต่ำ) หลงเหลืออยู่เหนือผิวน้ำมันในถังมากผิดปรกติ
  
ผมเห็นว่าประเด็นเรื่องอุณหภูมิจุดวาบไฟของของเหลวที่เก็บอยู่ในถังเก็บความดันบรรยากาศ (atmospheric tank) กับอุณหภูมิของเหลวที่อยู่ในถังเก็บความดันบรรยากาศนั้นเป็นประเด็นหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณา เพราะมันจะช่วยให้ปัดข้อโต้แย้งใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

อีกจุดหนึ่งที่ผมสงสัยว่าทำไมจึงมีปรากฎในรายงานกรณีศึกษาฯ ก็คือข้อสังเกตข้อ 3. ที่ใช้คำว่า "ถังน้ำมันเตาถังนี้ "หากมี" การเปิดฝาช่องคนลง (Manhole)" การเขียนเช่นนี้แสดงว่าผู้เขียนไม่สามารถยืนยันได้ว่า "มี" การเปิดช่องคนลงจริง แต่กำลังมองหาว่าทำอย่างไรจึงจะหาคำอธิบายได้ว่าเปลวไฟที่เกิดขึ้นภายนอกถังนั้นเข้าไปจุดระเบิดไอน้ำมันในถังได้อย่างไร ซึ่งอันที่จริงมันไม่จำเป็นที่ต้องดึงเอาฝาช่องคนลงมาเกี่ยวข้องด้วยเลย เพราะถ้าไอน้ำมันที่อยู่เหนือผิวของเหลวในถังนั้นมีส่วนผสมที่พอเหมาะอยู่แล้ว อุณหภูมิภายในถังก็สูงพอที่จะทำให้ไอผสมในถังไหลออกตามรูต่าง ๆ ได้แล้ว ซึ่งรวมทั้งรูร้อยลวดสลิงของลูกลอยด้วย ประกายไฟที่เกิดจากการเชื่อมโลหะตรงบริเวณรูให้ลวดสลิงร้อยผ่านก็สามารถจุดไอระเหยที่ออกมาจากถัง และทำให้เกิดเปลวไฟวิ่งย้อนกลับเข้าไปจุดไอผสมที่อยู่เหนือผิวของเหลวในถังได้
  
แต่ทั้งนี้ต้องมีหลักฐานแสดงว่า ทันทีที่ลงมือเชื่อมโลหะ ก็เกิดการระเบิดขึ้นทันที แต่ถ้ามีการเชื่อมโลหะไปสักพักนึง แล้วจึงค่อยเกิดการระเบิด นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณากันใหม่ เพราะในการเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้านั้นจะมีขั้วไฟฟ้าสองขั้ว ขั้วหนึ่งอยู่ที่ช่างเชื่อมคือต่อเข้ากับลวดเชื่อม และอีกขั้วหนึ่งต่อเข้ากับชิ้นงานที่จะทำการเชื่อม และจุดหลังนี้ก็เป็นจุดที่อาจเกิดประกายไฟฟ้าได้เช่นกันถ้าหากต่อเอาไว้ไม่แน่นหนา แต่ก็ไม่มีการกล่าวถึงว่าจุดหลังนี้ต่อเข้ากับถังน้ำมันตรงไหน

- เรื่องการตรวจวัดแก๊ส

portable gas detector ที่ใช้สำหรับตรวจวัดแก๊สติดไฟได้นั้นเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มีประจำอยู่ในโรงกลั่นน้ำมันและโรงปิโตรเคมีต่าง ๆ ที่กระบวนการผลิตเต็มไปด้วยสารที่ติดไฟได้ และผู้ปฏิบัติงานในโรงงานดังกล่าวมักจะได้รับการฝึกอบรมให้ทำการตรวจวัดการรั่วไหลของแก๊สติดไฟได้ก่อนที่จะลงมือทำการซ่อมบำรุงใด ๆ
  
ในกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นโรงงานปูนซิเมนต์ ซึ่งกระบวนการผลิตนั้นเกี่ยวข้องกับสารที่ไม่ติดไฟและไม่เกิดการระเบิด สิ่งเดียวที่ติดไฟได้เห็นจะเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้ในการเผาปูน ตรงนี้ทำให้เกิดประเด็นคำถามได้ว่า การที่ไม่มีการตรวจวัดไอระเหยของน้ำมันก่อนการซ่อมบำรุงนั้นเป็นเพราะเหตุใด เช่น
  
(ก) ทางโรงงานไม่เคยคิดว่าต้องทำ ไม่มีการจัดหาอุปกรณ์ตรวจวัด เพราะไม่ได้มองว่าถังเก็บเชื้อเพลิงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิต
  
(ข) ทางโรงงานคิดว่าต้องทำ มีการจัดหาอุปกรณ์ตรวจวัด แต่ทางผู้ปฏิบัติงานกลับไม่ทราบว่าต้องทำ (เช่นมีการอบรมแต่ไม่ได้เข้ารับการอบรม หรือไม่เคยมีการจัดการอบรม)
  
(ค) ทางโรงงานคิดว่าต้องทำ มีการจัดหาอุปกรณ์ตรวจวัด มีการจัดการอบรม แต่ผู้ปฏิบัติงานกลับคิดว่าคงไม่เป็นไร

ถ้าเป็นข้อ (ค) ปัญหาก็จะอยู่ที่ผู้ปฏิบัติงาน แต่ถ้าเป็นข้อ (ก) และ (ข) ปัญหาก็จะไปอยู่ที่การจัดการของโรงงาน

ในการเข้าไปทำการซ่อมบำรุงใด ๆ ทางฝ่ายผลิตของโรงงานจะต้องเป็นผู้ทำการเคลียร์พื้นที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย เช่นการป้องกันบริเวณที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการซ่อมบำรุง เช่นการสร้างรั้วป้องกัน การทำให้บริเวณที่จะทำการซ่อมบำรุงนั้นปราศจากสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือทำให้หลงเหลือน้อยที่สุด และจะต้องมั่นใจว่าฝ่ายซ่อมบำรุง (ซึ่งอาจเป็นบุคคลภายนอก) ที่เข้ามาทำงานนั้นรู้ถึงอันตรายของสารเคมีที่อาจมีตกค้างอยู่ในอุปกรณ์ที่จะเข้ามาซ่อมบำรุงด้วย (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป็นพิษหรือความไวไฟ) และการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความร้อนที่เรียกว่า hot work (โดยเฉพาะการเชื่อม) กับระบบที่มีสารไวไฟ จำเป็นต้องได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษ 
   
ในต่างประเทศมีการรายงานถึงการระเบิดจากการซ่อมถังน้ำมันเตาที่แม้ว่าจะมีการระบายน้ำมันออกจากถังและล้างทำความสะอาดถังไปแล้ว และแม้จะมีการใช้ gas detector ตรวจสอบการมีอยู่ของไอน้ำมันก่อนลงมือซ่อมแล้วก็ตาม แต่ก็ตรวจไม่พบ เพราะน้ำมันเตาระเหยได้น้อย แต่พอชิ้นงานโลหะได้รับความร้อนจากการเชื่อม ไอน้ำมันจึงระเหยออกมามากขึ้นจนเกิดการระเบิดหลังจากทำการเชื่อมไปได้พักนึง

วัตถุประสงค์ของการเขียนเรื่องนี้ก็เพื่อใช้เป็นตัวอย่างการพิจารณาหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งควรที่จะเริ่มจากการพิจารณาสิ่งที่เกิดโดยวางความคิดให้เป็นกลางก่อน (กล่าวคืออย่างเพิ่งโอนเอียงว่ามันเกิดจากอะไร) จากนั้นจึงค่อยตั้งสมมุติฐานว่าเพื่อจะให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น มันอาจมีเหตุการณ์อะไรเกิดก่อนหน้าได้บ้าง ที่สามารถนำไปสู่เหตุการณ์สุดท้ายเดียวกัน จากนั้นจึงค่อยนำหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่มาพิจารณาตัดสมมุติฐานที่ไม่สอดรับกับหลักฐานที่มีอยู่ออกไป
  
นอกจากนี้ยังมีเรื่องหนึ่งที่ปรากฏในข่าว แต่ไม่ทราบว่ามีการตรวจสอบในระหว่างการสอบสวนหรือไม่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ คือรายงานที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์มติชน (รูปที่ ๓ ในตอนที่ ๑) ที่พนักงานขับรถขนส่งน้ำมันกล่าวถึงวาล์วถังน้ำมันเตาที่เสีย และได้ยินเสียงฟู่จากวาล์วดังกล่าวก่อนที่จะเกิดการระเบิด

เรื่องนี้คงจบลงที่ตอนที่ ๓ นี้ (เว้นแต่นึกออกว่าจะเขียนอะไรเพิ่มเติมอีก) จากนั้นจะหายหน้าหายตาไปสักอาทิตย์ ก่อนจะกลับมาเขียนใหม่ปลายสัปดาห์หน้า

ไม่มีความคิดเห็น: