วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปฏิกิริยาอันดับ 1 หรือปฏิกิริยาอันดับ 2 MO Memoir : Thursday 12 November 2558

เป็นเรื่องปรกติครับที่เวลาใครสักคนจะทำการทดลอง เขามักจะมีสมมุติฐาน (hypothesis) เอาไว้ก่อน จากนั้นจึงนำผลการทดลองที่ได้นั้นมาทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้ว่ามันสอดคล้องกันหรือไม่ ถ้าพบว่าผลการทดลองที่ได้นั้นมันสอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ก็จะสรุปได้ว่าสมมุติฐานนั้น "เป็นจริง" หรือ "มีความเป็นไปได้"
  
ปัญหาหนึ่งที่ผมเห็นเป็นประจำในการวิเคราะห์ผลการทดลองคือ ตัวอาจารย์ที่ปรึกษามักจะดูกันเพียงแต่ข้อสรุปที่นิสิตผู้ทำการทดลองนำมาเสนอ และนิสิตผู้ทำการทดลองก็มักจะดูกันเพียงแค่ข้อสรุปที่ซอร์ฟแวร์สรุปมาให้ โดยไม่ได้พิจารณา "ข้อมูลดิบ" ที่นำมาวิเคราะห์นั้นว่ามันใช้ได้หรือไม่
  
เพื่อให้เห็นภาพ ใน Memoir นี้จะขอยกตัวอย่างอัตราการเกิดปฏิกิริยาของสาร A โดยกำหนดให้ A คือความเข้มข้นของสาร A ณ เวลาใด ๆ A0 คือความเข้มข้นของสาร A ณ เวลาเริ่มต้น k คือค่าคงที่การเกิดปฏิกิริยา และ t คือเวลา



ในการทดลองนั้นสิ่งที่เรามักกระทำคือการวัดค่าความเข้มข้นสารตั้งต้นที่เวลาต่าง ๆ กัน จากนั้นนำค่าความเข้มข้นสารตั้งต้นที่วิเคราะห์ได้มาเขียนกราฟ กล่าวคือ

ถ้าเป็นปฏิกิริยาอันดับ 1 ถ้าเราเขียนกราฟระหว่าง ln(A) กับเวลา t จะได้กราฟเส้นตรงที่มีความชัน -k และตัดแกน y ที่ ln(A0)

ถ้าเป็นปฏิกิริยาอันดับ 2 ถ้าเราเขียนกราฟระหว่าง 1/A กับเวลา t จะได้กราฟเส้นตรงที่มีความชัน k และตัดแกน y ที่ 1/A0

สิ่งที่น่าสนใจก็คือถ้าหากปฏิกิริยาที่เราสนใจนั้นอันที่จริงมันเป็นปฏิกิริยาอันดับ 2 แต่เราคิดว่ามันเป็นปฏิกิริยาอันดับ 1 แล้วนำผลมาทดสอบด้วยการเขียนกราฟ ผลจะออกมาอย่างใด และในทางกลับกันถ้าหากปฏิกิริยาที่เราสนใจนั้นอันที่จริงมันเป็นปฏิกิริยาอันดับ 1 แต่เราคิดว่ามันเป็นปฏิกิริยาอันดับ 2 แล้วนำผลมาทดสอบด้วยการเขียนกราฟ ผลจะออกมาอย่างใด
  
เพื่อหาคำตอบดังกล่าวจะลองสมมุติให้ค่าความเข้มข้นของสารตั้งต้น A ที่เวลาเริ่มต้นคือ 1.0 และค่าคงที่ของปฏิกิริยา k คือ 0.1 ตารางที่ 1 ในหน้าถัดไปเป็นผลการคำนวณค่า A ที่เวลาต่างกันถ้าหากปฏิกิริยานั้นเป็นปฏิกิริยาอันดับ ๑ และอันดับ ๒
  
ตารางที่ ๑ การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ A ถ้าหากอัตราการเกิดปฏิกิริยานั้นเป็นปฏิกิริยาอันดับ 1 และอันดับ 2
time
1st order
2nd order
A
ln(A)
1/A
A
ln(A)
1/A
1
0.904837418
-0.1
1.1051709181
0.9090909091
-0.0953101798
1.1
2
0.8187307531
-0.2
1.2214027582
0.8333333333
-0.1823215568
1.2
3
0.7408182207
-0.3
1.3498588076
0.7692307692
-0.2623642645
1.3
4
0.670320046
-0.4
1.4918246976
0.7142857143
-0.3364722366
1.4
5
0.6065306597
-0.5
1.6487212707
0.6666666667
-0.4054651081
1.5
6
0.5488116361
-0.6
1.8221188004
0.625
-0.4700036292
1.6
7
0.4965853038
-0.7
2.0137527075
0.5882352941
-0.5306282511
1.7
8
0.4493289641
-0.8
2.2255409285
0.5555555556
-0.5877866649
1.8
9
0.4065696597
-0.9
2.4596031112
0.5263157895
-0.6418538862
1.9
10
0.3678794412
-1
2.7182818285
0.5
-0.6931471806
2

รูปที่ ๑ ข้างล่างเป็นการเปรียบเทียบว่าถ้าหากปฏิกิริยานั้นเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ถ้านำมาทดสอบด้วยการเขียนกราฟระหว่าง ln(A) กับเวลา t (วิธีทดสอบปฏิกิริยาอันดับ 1) แล้วผลจะออกมาอย่างไร
  
รูปที่ ๑ กราฟค่า ln(A) กับเวลา (t) ใช้ทดสอบว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยานั้นเป็นปฏิกิริยาอันดับ 1 หรือไม่ จะเห็นว่าในกรณีของปฏิกิริยาอันดับ 2 แม้ว่าจะนำเอาค่าความเข้มข้นสารตั้งต้นที่เปลี่ยนไปกับเวลามาเขียนกราฟแบบนี้ ก็ให้ค่า R2 เข้าใกล้ 1 มาก แต่ถ้าสังเกตการกระจายจุดข้อมูลและจุดตัดแกนแล้วจะพบว่าอาจจะไม่ใช่
    
ส่วนรูปที่ ๒ ข้างล่างเป็นการเปรียบเทียบว่าถ้าหากปฏิกิริยานั้นเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ถ้านำมาทดสอบด้วยการเขียนกราฟระหว่าง 1/A กับเวลา t (วิธีทดสอบปฏิกิริยาอันดับ 2) แล้วผลจะออกมาอย่างไร
  
รูปที่ ๒ กราฟ 1/A กับเวลา (t) เป็นกราฟที่ใช้ทดสอบว่าปฏิกิริยานั้นเป็นปฏิกิริยาอันดับ 2 หรือไม่ จะเห็นว่าในกรณีของปฏิกิริยาอันดับ 1 แม้ว่าจะนำเอาค่าความเข้มข้นสารตั้งต้นที่เปลี่ยนไปกับเวลามาเขียนกราฟแบบนี้ ก็ให้ค่า R2 เข้าใกล้ 1 มากเช่นกัน แต่ถ้าสังเกตการกระจายจุดข้อมูลและจุดตัดแกนแล้วจะพบว่าอาจจะไม่ใช่

สิ่งที่น่าสนใจก็คือในถ้าอัตราการเกิดปฏิกิริยาที่แท้จริงนั้นเป็นปฏิกิริยาอันดับ 2 แต่เราหลงคิดว่ามันเป็นอันดับ 1 แล้วนำผลมาทดสอบด้วยการวาดกราฟระหว่าง ln(A) กับเวลา t แล้วทำ linear regression จะพบว่าเส้น trend line ที่ได้นั้นมีค่า coefficient determiantion (R2) เข้าใกล้ 1 มาก (เส้นสีส้มในรูปที่ ๑) และในทางกลับกันถ้าอัตราการเกิดปฏิกิริยาที่แท้จริงนั้นเป็นปฏิกิริยาอันดับ 1 แต่เราหลงคิดว่ามันเป็นอันดับ 2 แล้วนำผลมาทดสอบด้วยการวาดกราฟระหว่าง 1/A กับเวลา t แล้วทำ linear regression จะพบว่าเส้น trend line ที่ได้นั้นก็มีค่า coefficient determiantion (R2) เข้าใกล้ 1 มากเช่นกัน (เส้นสีส้มในรูปที่ ๒)
  
ในกรณีที่ยกตัวอย่างมานี้ ถ้าผู้วิเคราะห์ผลจ้องจะดูแต่ค่า R2 เพียงอย่างเดียวว่ามันเข้าใกล้ 1 หรือเปล่า (ในการทดลองจริงมันมักจะไม่เท่ากับ 1 เพราะมันมีความคลาดเคลื่อนของการทดลองอยู่) พอเห็นว่าได้ค่า R2 ใกล้กับ 1 ก็จะสรุปทันทีว่าสมมุติฐานที่ตั้งไว้นั้นถูกต้อง โดยไม่พิจารณาความเป็นไปได้อื่นว่ามันก็ให้ผลทำนองเดียวกันหรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงถ้าพิจารณาการกระจายตัวของจุดข้อมูล มันก็บอกอะไรให้ทราบอยู่เหมือนกัน
  
จุดข้อมูลที่ความสัมพันธ์นั้นเป็นเส้นโค้งที่ไม่มากนัก ถ้าเอาจุดข้อมูลดังกล่าวมาทำ linear regression จะพบว่ามันจะประมาณด้วยเส้นตรงได้ดี โดยมีค่า R2 เข้าใกล้ 1 แต่ถ้าพิจารณาการกระจายตัวของจุดข้อมูลจะพบว่ามันมีลักษณะในทำนองที่ว่าจุดข้อมูลมีการกระจายตัวในรูปแบบที่ชัดเจน (แทนที่จะเป็นการกระจายแบบสุ่ม) ดังนี้คือ

() จุดข้อมูลที่ปลายทั้งสองด้านของเส้นตรงที่ได้จากการทำ linear regression นั้นอยู่ฟากเดียวกัน และ
() จุดข้อมูลในช่วงตอนกลางของเส้นตรงที่ได้จากการทำ linear regression นั้นอยู่ฟากเดียวกัน และอยู่คนละฟากกับจุดข้อมูลที่อยู่ตอนปลายทั้งสองข้าง โดยจุดข้อมูลที่อยู่ตอนกลางนี้มีลักษณะที่ห่างจากเส้นตรงประมาณค่ามากขึ้นในช่วงตอนกลาง ก่อนที่จะวกลงไปหาเส้นตรงประมาณค่านั้นใหม (ช่วงเส้นประสีเชียวในรูปที่ ๑ และ ๒)

แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าสมมุติฐานที่ให้ค่า R2 เข้าใกล้ 1 มากที่สุดจะเป็นสมมุติฐานที่ถูกต้องเสมอไปนะ เพราะเคยมีกรณีเหมือนกันที่สมมุติฐานที่ให้ค่า R2 เข้าใกล้ 1 มากกว่ากลับเป็นสมมุติฐานที่ผิด เรื่องนี้ผมได้เล่าไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๖๓ วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง "ตัวเลขมันสวยแต่เชื่อไม่ได้"

ความถูกต้องของสมการอัตราการเกิดปฏิกิริยาเป็นเรื่องสำคัญสำหรับวิศวกรเคมีในการขยายขนาดการทำปฏิกิริยา จากระดับห้องทดลองมาเป็นระดับโรงประลอง (pilot plant) และระดับโรงงานอุตสาหกรรม ในขณะที่นักวิจัยนั้นอาจจะเน้นเพียงแค่ขอให้มีข้อมูลเพื่อให้ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ (ความถุกต้องเป็นเรื่องสำคัญรองลงมา) แต่สำหรับผู้ที่ต้องการนำเอาผลงานวิจัยไปใช้งาน ความถูกต้องของข้อมูลรวมทั้งความสามารถในการทำซ้ำได้จัดเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งผลการทดลองออกมาดูดีเท่าใด ก็ยิ่งต้องทำการตรวจสอบความถูกต้องให้มากเท่านั้น

และที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการนำผลไปใช้ก็คือ อย่าให้ "เทคนิคในการนำเสนอ" มากลบความสำคัญของข้อมูลที่ต้องนำเสนอ เราไม่ได้ใช้สีสรรหรือเทคนิค power point ในการออกแบบโรงงาน แต่เราใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยในการออกแบบโรงงาน

ไม่มีความคิดเห็น: