ณ
เวลาประมาณ ๒๒.๓๐
น.
ของวันศุกร์ที่
๒๓ เมษายน ปีค.ศ.
๒๐๐๔
(พ.ศ.
๒๕๔๗)
ได้เกิดการระเบิดที่โรงงาน
Formosa
Plastic Corp. ประเทศสหรัฐอเมริกาอันเป็นผลจากการรั่วไหลของ
vinyl
chloride monomer (H2C=CHCl)
ที่รั่วออกมาเพราะโอเปอร์เรเตอร์เปิดวาล์วผิดถัง
คือแทนที่จะไปเปิดวาล์วระบายน้ำทิ้งจากถังที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการล้าง
กลับไปเปิดวาล์วระบายน้ำทิ้งจากถังที่กำลังทำปฏิกิริยาอยู่
ซึ่งเรื่องนี้เพิ่งจะเล่าไปหน่อยนึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในเรื่อง
"ชี้และกล่าวขาน (Pointing and Calling) เทคนิคลดความผิดพลาดในการทำงานของรถไฟญี่ปุ่น"
(วันพฤหัสบดีที่
๒๕ เมษายน ๒๕๖๒)
แต่ที่จะนำมาเล่าในวันนี้เป็นการมองในอีกมุมมองหนึ่ง
โดยจะขอไล่เป็นข้อ ๆ ไปก็แล้วกัน
รูปที่
๑ แผงผัง reactor
และวาล์วที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
วาล์วสีแดง (1,
4) มีระบบ
interlock
ป้องกันไม่ให้เปิดวาล์วได้ถ้าความดันในถังสูงเกินค่าที่กำหนดไว้
ส่วนวาล์วสีเขียว (2,
3) คือ
drain
valve ที่ไม่มีระบบป้องกันอะไร
โอเปอร์เรเตอร์สามารถเปิดได้เองอย่างอิสระ
วาล์วสีฟ้า (5)
คือวาล์วที่ใช้ในการถ่ายของเหลวจาก
reactor
ไปยังหน่วยแยก
และใช้ในการถ่ายของเหลวใน
reactor
จากถังหนึ่งไปยังอีกถังหนึ่งในกรณีที่ระบบมีความดันสูงเกิน
(วิธีปฏิบัติที่คิดค้นขึ้นภายหลัง)
๑.
โรงงานนี้ได้รับการออกแบบและสร้างโดยบริษัทหนึ่งในปีพ.ศ.
๒๕๐๘
ส่วนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดนั้นเพิ่งจะมาซื้อโรงงานในปีพ.ศ.
๒๕๔๕
(เพียงแค่
๒ ปีก่อนการระเบิด)
ซึ่งในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว
ทั้งตัวโรงงานและวิธีการเดินเครื่องนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปจากการออกแบบเดิม
และคงคาดหวังไม่ได้ว่าผู้มาทีหลังจะรู้เหตุผลทั้งหมด
๒.
การผลิต
PVC
นั้นเป็นปฏิกิริยาในเฟสของเหลวโดยให้
vinyl
chloride ละลายเข้าไปในเฟสของเหลว
(ใช้น้ำเป็นตัวกลาง)
แล้วเกิดปฏิกิริยา
การผลิตของโรงงานนี้เป็นการผลิตแบบกะ
(batch)
คือพอสังเคราะห์เสร็จก็จะถ่ายของเหลวในถังไปยังหน่วยแยกเอาพอลิเมอร์ออก
จากนั้นก็ทำการล้างถังเพื่อนำกลับมาใช้ทำปฏิกิริยาใหม่
๓.
เนื่องจากปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน
โอเปอร์เรเตอร์สามารถควบคุมความดันในถังได้ด้วยการปรับการหล่อเย็น
การระบายความดันส่วนเกินทิ้งถ้าจำเป็น
และการเติมสารหน่วงการเกิดปฏิกิริยา
(inhibitor)
แต่ถ้าไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาไม่ให้เกิดรวดเร็วเกินไปได้จะทำให้วาล์วระบายความดันเปิดออก
และระบายแก๊สในถังออกสู่บรรยากาศ
และถ้ามีเหตุการณ์อย่างหลังนี้เกิดขึ้นเมื่อใด
ก็ต้องมีการรายงานไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
๔.
ระบบถ่ายของเหลวออกจากถังปฏิกรณ์ไปยังหนึ่งแยกนั้นประกอบด้วยวาล์วที่อยู่ที่ก้นถังที่ควบคุมการถ่ายของเหลวออกจากถัง
และ drain
valve สำหรับการระบายน้ำล้างถังทิ้งลงทางระบายน้ำ
(แบบเปิด)
ในการทำงานตามปรกตินั้นเมื่อเสร็จสิ้นการผลิตแต่ละกะ
โอเปอร์เรเตอร์จะเปิดวาล์วก้นถัง
(ดูรูปที่
๑ ประกอบ)
เพื่อทำการถ่ายของเหลวไปยังหน่วยแยก
โดยในระหว่างขั้นตอนการถ่ายเทนี้
ตัว drain
valve จะต้องถูกปิด
๕.
แต่ด้วยความกังวลว่าจะมีการเผลอไปเปิดวาล์วก้นถังในขณะที่ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการทำปฏิกิริยา
ซึ่งเป็นช่วงที่ภายในถังยังมีความดันอยู่
จึงได้ทำการติดตั้งระบบป้องกัน
(interlock)
ที่ใช้แรงดันอากาศอัดความดันที่ไหลผ่าน
valve
actuator
เป็นตัวป้องกันไม่ให้สามารถเปิดวาล์วที่ก้นถังได้ถ้าหากความดันในถังนั้นสูงเกินค่าที่กำหนดไว้
๖.
จากข้อ
๓.
ที่กล่าวไว้ว่า
ถ้าหากความดันในถังนั้นสูงจนทำให้วาล์วระบายความดันเปิดออก
(วาล์วระบายความดันมันติดตั้งอยู่ทางด้านบน
โดยจะระบายส่วนที่เป็นแก๊สทิ้ง)
ก็ต้องมีการรายงานไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
ตรงจุดนี้เลยทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า
แทนที่จะระบายแก๊สทิ้งสู่บรรยากาศ
ก็เปลี่ยนเป็นการระบายของเหลวทางก้นถังไปยังถังใบอื่นที่ว่างอยู่
ซึ่งจะไปเพิ่มปริมาตรรวมของระบบให้เพิ่มขึ้น
(คือปริมาตรถังที่เกิดปัญหารวมกับปริมาตรของถังเปล่าที่รองรับ)
ทำให้ความดันลดลง
แต่ปัญหาก็คือถ้าความดันในถังสูงเกิดกำหนด
จะไม่สามารถเปิดวาล์วที่ก้นถังเพื่อถ่ายของเหลวไปยังถังใบอื่นได้
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือแนวความคิดในข้อ
๖.
นั้นใช้ไม่ได้
เว้นแต่จะสามารถ bypass
ระบบ
interlock
ได้
๗.
และเนื่องจากการมีความดันสูงนั้นเป็นสภาวะฉุกเฉิน
ดังนั้นการ bypass
ตัว
valve
actuator จึงควรต้องทำได้อย่างรวดเร็ว
ผู้ออกแบบจึงกำหนดให้ท่ออากาศอัดความดันจากตัว
valve
actuator ที่สั่งให้วาล์วปิด
ทางด้านที่ต่อเข้ากับตัววาล์วใช้ข้อต่อแบบสวมถอดได้รวดเร็วหรือ
quick
coupling และมีการเดินท่ออากาศสำหรับเปิดวาล์วมาอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
เพื่อที่เมื่อโอเปอร์เรเตอร์ปลดท่ออากาศจาก
valve
actuator ออก
ก็สามารถต่อท่ออากาศท่อใหม่
(ที่ใช้สำหรับเปิดวาล์ว)
ได้อย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งสำคัญในระหว่างกระบวนการนี้คือตัว
drain
valve ต้องปิดอยู่
เพราะถ้า drain
valve เปิดค้างอยู่เมื่อใดก็จะเกิดการรั่วไหลขึ้นทันที
รายงานการสอบสวนไมได้บอกชัดเจนว่า
drain
valve เป็นวาล์ชนิดไหน
แต่น่าเป็นแบบทั่วไปที่สามารถเปิดค้างหรือปิดค้างได้
คือไม่ได้เป็นชนิด spring
loaded ball valve ที่จะปิดอยู่เสมอด้วยแรงสปริง
เว้นแต่มีแรงไปโยกก้านให้มันเปิด
แต่พอแรงโยกนั้นหมดไปเมื่อใดวาล์วก็จะกลับมาปิดอีกครั้ง
ตรงนี้ก็มีประเด็นที่น่าจะนำมาเป็นหัวข้อสนทนากันได้ก็คือ
ถ้าหากระบบ interlock
มันสามารถ
bypass
การทำงานได้ง่าย
แล้วจะมีมันไปทำไม
๘.
ในคืนวันศุกร์ที่
๒๓ เมษายน มีสัญญาณเตือนว่ามีการรั่วไหลของแก๊ส
shift
supervisor จึงเข้าไปตรวจและพบว่ามีสารรั่วไหลออกจาก
drain
valve ของถัง
D310
เกิดเป็นโฟมสูงจากพื้นประมาณ
1.5
ฟุต
จึงได้มีความพยายามที่จะหยุดการรั่วไหลและลดความดันภายใน
D310
(เพื่อลดการรรั่วไหลลงพื้นด้านล่าง)
แต่ในขณะที่พยายามแก้ปัญหาอยู่นั้นก็เกิดการระเบิดขึ้นเสียก่อน
เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อนการรั่วไหลนั้นเสียชีวิตจากการระเบิด
การสอบสวนว่าทำไมจึงเกิดการรั่วไหลได้จึงต้องอาศัยพยานบุคคล
ตำแหน่งวาล์วและปุ่มควบคุมต่าง
ๆ ที่อยู่ในเกิดเหตุ
และบันทึกสภาวะการทำงานของโรงงาน
๙.
สิ่งที่ทีมสอบสวนคาดว่าเกิดขึ้นก็คือ
ในระหว่างการล้าง D306
ด้วยน้ำอยู่นั้น
โอเปอร์เรเตอร์ผู้หนึ่งต้องทำการฉีดน้ำล้างจากทาง
manhole
ที่อยู่ชั้นบน
และต้องให้โอเปอร์เรเตอร์อีกคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกันนั้นเดินลงมาเปิด
drain
valve ของ
D306
แต่คาดว่าโอเปอร์เรเตอร์ผู้ที่ต้องลงมาเปิด
drain
valve นั้นเมื่อลงมาถึงชั้นล่างแล้วกลับเลี้ยวผิดทาง
คือแทนที่จะเลี้ยงไปทาง
D306
กลับเลี้ยวไปทางฝั่ง
D310
แทน
๑๐.
เมื่อโอเปอร์เรเตอร์ผู้ลงมาด้านล่างทำการเปิด
drain
valve (วาล์วหมายเลข
3ในรูปที่
๑)
ของ
D310
ก็ไม่เห็นมีน้ำไหลออกมา
ก็เลยตรวจดูวาล์วระบายของเหลวออกจากถังที่อยู่ที่ก้นถัง
D310
(วาล์วหมายเลข
4ในรูปที่
๑)
และพบว่าวาล์วตัวดังกล่าวนั้นปิดอยู่
(อันนี้เป็นผลจากการทำงานของระบบ
interlock
เนื่องจากในความเป็นจริงนั้น
D310
อยู่ระหว่างการทำปฏิกิริยา
ความดันในถังจึงยังสูงอยู่)
จึงได้ทำการ
bypass
ระบบ
interlock
ด้วยการปลดท่ออากาศอัดความดันจากตัว
valve
actuator ที่สั่งให้วาล์วปิด
แล้วทำการต่อท่ออากาศสำหรับที่ใช้เปิดวาล์วในกรณีฉุกเฉินเข้าไปแทน
พอวาล์วที่ก้นถัง D310
เปิด
ของเหลวในถังก็ไหลออกมาด้านนอกผ่าน
drain
valve ที่เปิดค้างทิ้งเอาไว้
เมื่อความดันลดต่ำลง
แก๊สที่ละลายอยู่ในของเหลวก็ระเหยออกมา
กลายเป็นไอเชื้อเพลิงแพร่กระจายออกไปก่อนเกิดการระเบิดขึ้นตามมา
เหตุการณ์ดังกล่าวที่ปรากฏไว้ในรายงานการสอบสวนสามารถสรุปได้สั้น
ๆ ดังที่บรรยายมาข้างต้น
โดยความผิดพลาดครั้งนี้ถูกชี้ไปที่
human
error เป็นหลัก
(คือการที่โอเปอร์เรเตอร์เลี้ยวผิดทางและไปเปิดวาล์วปิด)
แต่ในระหว่างการนำเสนอรายงานโดยนิสิตภาคนอกเวลาราชการ
ก็มีบางประเด็นที่เห็นว่าน่าจะนำมาเป็นหัวข้อถกเถียง
(ถ้าโอกาสอำนวย)
จึงขอนำมาสรุปรวบรวมเอาไว้ดังนี้
(คือผู้อ่านรายงานการสอบสวนก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อสรุปของรายงานการสอบสวน)
(ก)
แรงกดดันจากการที่ต้องรายงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ถ้าหากวาล์วระบายความดันเปิดออกจนทำให้มีการรั่วไหลของสารในถังปฏิกรณ์ออกสู่บรรยากาศภายนอก
ทำให้ทางบริษัทหาทางป้องกันไม่ให้เกิดการระบายความดันส่วนเกินออกสู่บรรยากาศ
ถ้าเปลี่ยนเป็นการหาทางป้องกันไม่ให้เกิดความดันสูงเกินในถังปฏิกรณ์ในระหว่างการทำปฏิกิริยาจะดีกว่าไหม
(ข)
ทำไมทางบริษัทจึงเลือกที่จะถ่ายสารในถังปฏิกรณ์ที่เกิดความดันสูงเกิน
ไปยังถังปฏิกรณ์อีกใบหนึ่งที่ว่างอยู่นั้น
ทั้งที่การแก้ปัญหาดังกล่าวไม่ได้มีเพียงวิธีนี้เพียงวิธีเดียว
ในรายงานเองก็มีการกล่าวถึงการเติมสารยับยั้งการทำปฏิกิริยา
(Inhibitor)
แต่ดูเหมือนว่าการผสมสารยับยั้งการทำปฏิกิริยาเข้ากับของเหลวที่อยู่ในถังนั้นมันเกิดได้ไม่ดี
(ตรงนี้ไม่ได้มีการกล่าวว่าทำไมการผสมจึงไม่ดี)
ทางโรงงานเลยเลือกใช้การถ่ายไปยังถังหนึ่งแทน
โดยเชื่อว่าในช่วงที่ทำการถ่ายเทนั้นจะทำให้สารยับยั้งการทำปฏิกิริยาผสมเข้ากับของเหลวได้ดีขึ้น
การยับยั้งการทำปฏิกิริยาก็จะเกิดได้ดีขึ้นตามไปด้วย
แต่นั่นหมายถึงการที่โอเปอร์เรเตอร์จะต้องสามารถทำการ
bypass
ระบบ
interlock
ได้อย่างรวดเร็วเพื่อเปิดวาล์วที่ก้นถังได้ทันเวลา
(ค)
การออกแบบให้มีระบบ
interlock
ป้องกัน
แต่สุดท้ายกลับยอมให้สามารถทำการ
bypass
ระบบ
interlock
ได้ง่ายโดยใครก็ได้ที่อยู่
ณ บริเวณดังกล่าว
เป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่
(ง)
ทำไมจึงไม่มีการพิจารณาติดตั้งระบบกักเก็บและ/หรือทำลายแก๊สที่ระบายออกทางวาล์วระบายความดัน
ถ้าหากเกิดกรณีที่ความดันในถังสูงจนวาล์วระบายความดันเปิดออก
ตรงนี้ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการออกแบบ
กล่าวคือ เหตุผลด้านเทคนิค
(เช่นไม่มีพื้นที่สำหรับติดตั้งอุปกรณ์)
เหตุผลทางด้านเศรษฐศาสตร์
เหตุผลด้านการดูแลระบบให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา
เหตุผลด้านความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ฯลฯ
(จ)
การติดตั้งระบบเพิ่มเติมเพื่อให้โอเปอร์เรเตอร์ผู้ปฏิบัติงานอยู่ด้านล่างรู้ว่าถังที่ตัวเองจะทำการเปิดวาล์วนั้น
เป็นถังที่อยู่ระหว่างการทำปฏิกิริยา
จะช่วยลดโอกาสเปิดวาล์วผิดพลาดหรือไม่
(ฉ)
เมื่อโอเปอร์เรเตอร์พบว่าไม่สามารถเปิดวาล์วได้
(เพราะระบบ
interlock
ขวางเอาไว้)
ทำไมโอเปอร์เรเตอร์กลับไม่นึกเฉลียวใจว่าถังที่กำลังจะเปิดวาล์วนั้นมีความดันอยู่ภายใน
กลับเลือกที่จะทำการ bypass
ระบบ
interlock
หรือว่าก่อนหน้านี้ระบบ
interlock
เคยมีปัญหาบ่อยครั้ง
กล่าวคือแม้ว่าในถังจะไม่มีความดัน
แต่ระบบ interlock
ก็เข้าใจผิดว่าในถังมีความดันอยู่
ก็เลยไม่ยอมให้เปิด
เมื่อโอเปอร์เรเตอร์พบกับเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้ง
ก็เลยไม่เชื่อใจการทำงานของระบบ
interlock
(คล้ายกับกรณีการระเบิดที่โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยเมื่อเดือนธันวาคม
๒๕๔๒ ที่มีสัญญาณเตือนถึง
๓ ครั้ง แต่โอเปอร์เรเตอร์เชื่อว่าเป็น
fault
alarm ทั้ง
๓ ครั้ง
สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงระบบควบคุม
มี fault
alarm เกิดขึ้นประจำจนทำให้โอเปอร์เรเตอร์ไม่เชื่อใจสัญญาณเตือน
แถมยังเป็นสัญญาณที่มาจากบริเวณที่ไม่ได้มีดการทำงานอะไรอีก)
(ช)
ทำอย่างไรจึงจะทำให้การถ่ายทอดความรู้จากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ตกหล่น โดยเฉพาะแนวคิดในการออกแบบครั้งแรก
ไม่ว่าจะเป็นตัวโรงงานหรือวิธีปฏิบัติงานว่าทำไปจึงต้องกำหนดให้มีขั้นตอนการทำงานต่าง
ๆ เหล่านั้น และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ความจำเป็นที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงนั้นอิงอยู่บนเหตุผลใด
ที่เขียนมาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการสอนวิชา
2105689
Safe Process Operation and Design ที่เป็นวิชาเลือกสำหรับนิสิตปริญญาโท
โดยตัวผมเองพบว่าในกรณีของนิสิตภาคนอกเวลาราชการที่ต่างเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานนั้น
จะมีมุมมองต่าง ๆ
ที่กว้างกว่านิสิตภาคปรกติที่เกือบทุกคนยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของการสอนวิชานี้
ที่เปิดสอนเป็นครั้งแรกในภาคการศึกษานี้
ผมลองถามผู้เรียนว่าได้รับความรู้อะไรเพิ่มเติมไปบ้าง
ซึ่งก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาได้ไปจากการบอกของนิสิตบางคนก็คือการที่มีมุมมองปัญหาต่าง
ๆ ในหลายมุมเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งการที่ไม่คล้อยตามไปตามสิ่งที่เขาว่าต่อ
ๆ กันมาโดยไม่มีการนำเอาความรู้ต่าง
ๆ
ที่ตัวเองมีอยู่แล้วมาพิจารณาความสมเหตุสมผลของข้อมูลที่ได้รับทราบมา
สำหรับผม
นั่นก็ถือว่าได้ประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดแนวความคิดแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น