วิศวกรรมเคมีทำได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ....
ข้อสอบ
ถ้าจะให้เปรียบเทียบวิศวกรเคมีกับหมอ
ก็คงเป็นหมอตรวจโรคทั่วไป
ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางพิเศษ
แต่เวลาไปหาหมอที่โรงพยาบาลเราก็มักจะต้องไปพบกับหมอตรวจโรคทั่วไปก่อน
และถ้าเขาเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตรวจพิเศษให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง
เขาก็จะส่งต่อเราไปเอง
งานสายวิชาชีพวิศวกรรมศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น
การที่จะตอบโจทย์ว่าคำตอบใดนั้น
"เหมาะสม"
ที่สุด
จำเป็นต้องมีการพิจารณาถ่วงน้ำหนักจุดเด่น-จุดด้อยของแต่ละด้าน
เพื่อให้ได้คำตอบที่ "เหมาะสม"
ที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้น
ๆ
การใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแม้ว่าจะมีจุดเด่นตรงที่เข้าใจจุดเด่น-จุดด้อยในศาสตร์ของเขาอย่างลึกซึ้ง
แต่อาจมีปัญหาเรื่องการพิจารณาภาพรวม
"เป็ด"
ร้องได้ไม่เก่งเหมือนไก่
บินได้ไม่เก่งเหมือนนก
และว่ายน้ำได้ไม่เก่งเหมือนปลา
"วิศวกรเคมี"
ก็ไม่ได้เก่งเครื่องกลเหมือนวิศวกรเครื่องกล
ไม่ได้เก่งเคมีเหมือนนักเคมี
และไม่ได้เก่งเศรษฐศาสตร์เหมือนนักเศรษฐศาสตร์
หลักสูตรวิศวกรรมเคมีจึงเป็นเนื้อหาผสมทั้ง
๓ ด้าน (แต่ไม่ลงลึกมากทั้ง
๓ ด้าน)
บวกกับ
"ศาสตร์เฉพาะทางของวิศวกรรมเคมี"
รูปที่
๑ การกำหนดขนาดและชนิดปั๊ม
การกำหนดวัสดุที่ใช้ทำท่อ
การกำหนดประเภทของวาล์ว
การกำหนดชนิดของอุปกรณ์ขับเคลื่อนปั๊ม
เป็นงานหนึ่งของวิศวกรรมเคมีที่ทำคู่ควบกับวิศวกรรมเครื่องกล
ในตอนที่
๑
นั้นผมได้เล่าเอาไว้แล้วว่าสภาวิศวกรเป็นผู้กำหนดว่าหลักสูตรวิศวกรรมเคมีที่สามารถขอใบประกอบวิชาชีพ
(ที่เรียกว่า
กว.)
ได้นั้นต้องเรียนอะไรบ้าง
ตอนที่ ๓
นี้ก็จะเป็นการเล่าเฉพาะวิชาส่วนนี้ว่ามีเนื้อหาอย่างไร
มันมีความเข้าใจหนึ่งที่ไม่ถูกต้องของผู้ที่คิดว่าจะเรียนวิศวกรรมเคมี
และผู้ที่กำลังเรียนวิศวกรรมเคมี
คือความจำเป็นของวิชา "เคมี"
ถ้าถามเหตุผลนักเรียนที่สอบติดคณะวิศวแล้วอยากเรียนวิศวกรรมเคมี
เขาก็มักจะตอบว่าเป็นเพราะชอบวิชาเคมี
ไม่ค่อยชอบวิชาคำนวณ
(คือคิดว่าได้ใช้วิชาเคมีเยอะ
มีเรียนวิชาคำนวณน้อย)
แต่ถ้าให้นิสิตที่กำลังเรียนวิศวกรรมเคมีอธิบายให้นักเรียนที่คิดจะเรียนวิศวกรรมเคมีว่าวิชาเคมีมีความจำเป็นแค่ไหน
นิสิตเหล่านี้ก็มักจะตอบว่าแทบไม่ได้ใช้
เพราะเรียนแต่วิชาคำนวณ
แทบไม่ได้ใช้วิชาเคมีเลย
และจะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้ในการที่พวกเขามีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องนี้
เพราะมันไม่มี
(หรืออาจมีแต่ผมเองไม่เคยได้ยินมาก่อน)
การให้รายละเอียดที่ชัดเจนของการทำงานในสายวิศวกรรมเคมีว่าต้องใช้ความรู้ในด้านใดบ้างให้กับผู้สนใจเรียน
และเนื้อหาวิชาที่นิสิตวิศวกรรมเคมีมันก็หนักไปทางคำนวณจริง
พอให้นิสิตมาอธิบายเขาก็เลยบอกว่าเรียนแต่คำนวณ
แต่พอให้ผู้ที่จบไปทำงานแล้วมาอธิบาย
คำตอบของเขาก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามีประสบการณ์ทำงานในด้านใดมา
บางรายอาจได้ใช้ทั้ง "คำนวณ"
และ
"เคมี"
ในขณะที่บางรายนั้นใช้เน้นหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว
ในความเป็นจริงนั้น
การทำงานของวิศวกรรมเคมี
เราใช้ความรู้ทั้งทางด้านเคมีและการคำนวณในการกำหนดขนาดและคุณลักษณะของอุปกรณ์
และการทำงานกับสารเคมีต่าง
ๆ ได้อย่างปลอดภัย
เราใช้ความรู้ทางด้านคำนวณในการระบุขนาดและความแข็งแรง
และใช้ความรู้ทางด้านเคมีในการระบุชนิดวัสดุและข้อจำกัดของสภาวะการทำงาน
รูปที่
๒ การกำหนดขนาด ความจุ
อุณหภูมิ-ความดันใช้งาน
และวัสดุที่ใช้สร้าง
ถังสำหรับเก็บ
วัตถุดิบ-สารมัธยันต์-ผลิตภัณฑ์
หรือถังปฏิกรณ์เคมี (chemical
reactor) เป็นงานหนึ่งของวิศวกรรมเคมีเช่นกัน
เพื่อให้เห็นภาพจะขอยกตัวอย่างว่า
ถ้าเราต้องการดูดแก๊สชนิดหนึ่งจากถังเก็บ
และทำการอัดความดันให้มีความดันสูงขึ้นเพื่อส่งต่อทางระบบท่อไปยังหน่วยอื่นด้วยอัตราการไหลที่กำหนด
ในการนี้จำเป็นต้องใช้คอมเพรสเซอร์
(compressor)
เพิ่มความดันให้กับแก๊สนั้น
(เช่นการส่งแก๊สธรรมชาติจากแท่นขุดเจาะทางระบบท่อไปยังโรงแยกแก๊สที่อยู่บนฝั่ง)
-
การคำนวณหาขนาดของคอมเพรสเซอร์
และขนาดของท่อส่ง
เพื่อให้ได้ความดันและอัตราการไหลตามที่กำหนดนั้นเป็นงาน
"คำนวณ"
-
การกำหนดชนิดโลหะที่ใช้ทำคอมเพรสเซอร์และท่อ
จำเป็นต้องรู้ว่าแก๊สนั้นทำปฏิกิริยาอะไรกับโลหะชนิดใดบ้าง
(เช่นมีแก๊สกรดที่กัดกร่อนหรือไม่
เกิดเป็นสารประกอบที่ไม่เสถียรหรือไม่
เช่นอะเซทิลีน (acetylene
C2H2) กับโลหะทองแดง)
จำเป็นต้องใช้ความรู้ทาง
"เคมี"
-
เมื่อกำหนดชนิดโลหะได้แล้ว
ก็จะใช้ข้อมูลความแข็งแรงของโลหะชนิดนั้นเป็นตัวกำหนดความหนาของโลหะที่ใช้ทำคอมเพรสเซอร์และอุปกรณ์
เพื่อให้มันสามารถทนต่อความดัน
ณ อุณหภูมิการทำงานได้
ตรงนี้เป็นงาน "คำนวณ"
-
ในขณะที่ทำการอัดแก๊สให้มีความดันสูงขึ้น
แก๊สนั้นจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย
ผลจากอุณหภูมิและความดันที่สูงขึ้นนี้ทำให้แก๊สนั้นเกิดปฏิกิริยาอะไรหรือเปล่า
(เช่น
สลายตัว ระเบิด
เกิดการเชื่อมต่อโมเลกุลเข้าด้วยกันโดยมีการคายความร้อนออกมา
มีการควบแน่นเป็นของเหลว
ฯลฯ)
จำเป็นต้องใช้ความรู้ทาง
"เคมี"
-
ความเป็นพิษและความไวไฟของสาร
ส่งผลต่อการกำหนดวิธีการป้องกันการรั่วไหลและชนิดอุปกรณ์ที่ใช้ขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์
(เช่นใช้มอเตอร์แบบธรรมดา
หรือมอเตอร์แบบกันระเบิด
หรือควรต้องใช้อากาศอัดความดันเป็นตัวขับเคลื่อน)
ตรงนี้ใช้ความรู้ทาง
"เคมี"
รูปที่
๓ การกำหนดขนาดและเลือกรูปแบบของหอทำน้ำเย็น
(cooling
tower) สำหรับน้ำระบายความร้อน
(cooling
water) ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่วิศวกรรมเคมีเรียน
ในภาพเป็นหอทำน้ำเย็นที่ใช้วิธีการฉีดน้ำร้อนให้ตกลงเบื้องล่าง
และมีพัดลมดูดอากาศให้ไหลผ่านน้ำร้อนและดึงเอาความร้อนออกจากน้ำไปพร้อมกับอากาศที่ไหลออกทางด้านบนตรงปล่องตรงกลาง
(ที่มีอักษร
KS)
ที่นี้เราลองมาดูกันนะครับว่า
๓ กลุ่มวิชาที่ทางสภาวิศวกรกำหนดให้
"วิศวกรรมเคมี"
ต้องเรียนอะไรบ้าง
เริ่มจาก
๑.
หมวดวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องเรียนไม่น้อยกว่า
๑๘ หน่วยกิต :
ประกอบด้วย
๑.๑
กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์
ไม่น้อยกว่า ๙ หน่วยกิต คือ
๓ วิชา (วิชาบรรยายปรกติก็วิชาละ
๓ หน่วยกิต)
ก็เป็นพวกวิชา
Calculus
ที่อาจให้คณะวิทยาศาสตร์เป็นผู้สอนทั้งหมด
แต่บางแห่งก็ให้คณะวิทยาศาสตร์สอนส่วนหนึ่ง
และภาควิชาวิศวกรรมเคมีเอามาสอนเองส่วนหนึ่ง
เนื้อหาวิชาจะเน้นไปทางด้านการแก้ปัญหาด้วยวิธี
analytical
โดยอาจมีการแทรกเนื้อหาทางด้าน
numerical
เข้าไปบ้าง
๑.๒
กลุ่มวิชาฟิสิกส์ ไม่น้อยกว่า
๖ หน่วยกิต คือ ๒ วิชา
(ต้องมีวิชาปฏิบัติการด้วย
๒ วิชา วิชาปฏิบัติการปรกติก็วิชาละ
๑ หน่วยกิต)
วิชาฟิสิกส์นี้ก็มักจะให้คณะวิทยาศาสตร์เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
วิชาเนื้อหาจะเกี่ยวข้องกับกลศาสตร์
เทอร์โมไดนามิกส์ ไฟฟ้า
อิเล็กทรอนิกส์
๑.๓
กลุ่มวิชาพื้นฐานเคมี
ไม่น้อยกว่า ๓ หน่วยกิต คือ
๑ วิชา (ต้องมีวิชาปฏิบัติการด้วย
๑ วิชา)
วิชานี้ก็มักจะให้คณะวิทยาศาสตร์เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
เนื้อหาจะประด้วยสิ่งที่เรียนช่วงมัธยมปลายทั้ง
๓ ปี แล้วเพิ่มเติมรายละเอียดลงลึกในบางเรื่องเข้าไปอีก
รูปที่
๔ การออกแบบหน่วยกลั่นแยกสารที่มีจุดเดือดแตกต่างกันออกจากกัน
เป็นศาสตร์เฉพาะทางของวิศวกรรมเคมี
ตัวหอกลั่นเองคือโครงสร้างที่ลูกศรสีแดงชี้
(มีฉนวนความร้อนหุ้ม)
หอนี้เป็นหอกลั่นขนาดเล็ก
กำลังการกลั่นไม่กี่ร้อยลิตรต่อวัน
๒.
หมวดวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรม
สาขาวิศวกรรมเคมี มีทั้งหมด
๘ กลุ่มรายวิชา :
ต้องเรียนทุกกลุ่มรายวิชาและมีหน่วยกิตรวมไม่น้อยกว่า
๒๔ หน่วยกิต วิชาในกลุ่มนี้ประกอบด้วย
๒.๑
Engineering
drawing หรือเขียนแบบวิศวกรรม
เป็นการฝึกหัดเขียนแบบและอ่านแบบ
เป็นวิชาที่เรียนกันในปี
๑
ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลมักเป็นผู้รับผิดชอบวิชานี้โดยสอนให้กับนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ทั้งคณะ
แต่ก่อนเวลาเรียนวิชานี้ก็ต้องแบกไม้ทีไปด้วย
เดี๋ยวนี้เห็นมีความพยายามจะใส่หลักสูตรพวก
AutoCAD
เข้าไป
ทำเอาวิศวกรรุ่นใหม่วาดรูปแบบ
freehand
drawing กันแทบไม่เป็น
เรียกว่าเวลาไม่มีคอมพิวเตอร์ก็แทบจะวาดรูปอะไรไม่ได้
๒.๒
Engineering
mechanic หรือกลศาสตร์วัสดุ
เป็นวิชาเกี่ยวกับแรงที่กระทำต่อโครงสร้างที่อยู่กับที่
(ที่เรียกว่าวิชาสถิตยศาสตร์
หรือ statics)
และแรงกระทำเมื่อวัตถุมีการเคลื่อนที่
(ที่เรียกว่าวิชาพลศาสตร์หรือ
dynamics)
ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลมักเป็นผู้รับผิดชอบวิชานี้โดยสอนให้กับนิสิตทั้งคณะเช่นกัน
เรียกได้ว่าเป็นวิชาโหดวิชาหนึ่งของหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ทุกหลักสูตร
๒.๓
Engineering
materials หรือวัสดุวิศวกรรม
เป็นวิชาที่สอนให้รู้จักคุณสมบัติของวัสดุต่าง
ๆ ที่ใช้ในงานวิศวกรรมอันได้แก่
โลหะ คอนกรีต ไม้ และพอลิเมอร์
วิชานี้มักจะเรียนในปี ๑
๒.๔
Computer
programming
เป็นวิชาที่สอนให้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยใช้ภาษาสำหรับเขียนโปรแกรม
ไม่ได้เป็นวิชาฝึกหัดใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
วิชานี้มักจะเรียนในปี ๑
โดยภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เป็นผู้รับผิดชอบ
ส่วนจะสอนการเขียนโปรแกรมภาษาอะไรนั้นทางผู้สอนเป็นคนกำหนด
อย่างเช่นบางที่สอนการเขียนภาษา
Java
(ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตามกระแสการเขียน
app
หรือเปล่า)
แต่นิสิตวิศวกรรมศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่เรียนไปแล้วไม่ได้ใช้
เพราะการเรียนของเน้นหนักไปด้านการคำนวณเชิงตัวเลข
๒.๕
Statistics
หรือสถิติ
วิชานี้บางสถาบันภาควิชาวิศวกรรมเคมีเป็นผู้สอนเอง
บางสถาบันก็ให้ทางคณะวิทยาศาสตรหรือพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
(โดยภาควิชาสถิติ)
เป็นผู้สอน
๒.๖
Chemical
engineering principle หรือ
Chemical
engineering processes
วิชาแรกเป็นวิชาเกี่ยวข้องกับการทำดุลมวลสารและพลังงานของหน่วยผลิตต่าง
ๆ หรือของทั้งโรงงาน
วิชาที่สองเป็นวิชาเกี่ยวกับกระบวนการผลิตว่าต้องประกอบด้วยหน่วยผลิตอะไรบ้าง
ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ตัวใด
ปรกติก็เห็นเรียน Chemical
engineering principle เป็นหลักกัน
๒.๗
Thermodynamics
(อุณหพลศาสตร์)
หรือ
Physical
chemistry (เคมีฟิสิกัล)
เป็นวิชาที่เรียนเกี่ยวกับคุณสมบัติทางกายภาพของสาร
เช่น ความหนาแน่น พลังงานภายใน
ความจุความร้อน ฯลฯ
ที่เปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิและความดัน
ความสำคัญของวิชานี้อยู่ตรงที่ในการออกแบบอุปกรณ์ต่าง
ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตที่มักจะใช้อุณหภูมิและความดันที่สูงกว่าบรรยากาศนั้น
จำเป็นต้องทราบคุณสมบัติของสารต่าง
ๆ ณ อุณหภูมิและความดันที่ใช้งานนั้น
ตรงนี้มักจะเน้นไปทาง
Classical
thermodynamics
๒.๘
Electrical
engineering หรือวิชาพื้นฐานวิศวกรรมไฟฟ้า
อันที่จริงวิชานี้มันมีอยู่
๒ ส่วนแยกเรียนได้ ๒ วิชาคือ
ไฟฟ้ากำลัง และไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์
แต่ถ้าต้องเรียนเพียงวิชาใดวิชาหนึ่งก็มักจะเรียนเฉพาะส่วนไฟฟ้ากำลัง
๓.
วิชาแกนระดับสาขาวิชา
ซึ่งเป็นวิชาบังคับอีกไม่ต่ำกว่า
๓๖ หน่วยกิต :
วิชาในกลุ่มนี้มีเนื้อหาทั้งส่วนที่มีเรียนเฉพาะวิศวกรรมเคมี
และที่เหมือนกับวิศวกรรมเครื่องกล
วิชาในกลุ่มนี้ประกอบด้วย
๓.๑
จลนศาสตร์วิศวกรรมเคมีและการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์เคมี
วิชานี้จัดว่าเป็นศาสตร์เฉพาะทางของวิศวกรรมเคมี
เป็นวิชาที่นำเอาอัตราการเกิดปฏิกิริยาที่ได้จากการทดลองในห้องทดลองหรืออุปกรณ์ขนาดเล็ก
มาทำการคำนวณขยายขนาดเพื่อสร้างเป็นเครื่องปฏิกรณ์เคมี
(chemical
reactor) ขนาดใหญ่
เพื่อให้ได้กำลังการผลิตสารตามต้องการ
ส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่เรียนกันก็มี
-
ผลของ
อุณหภูมิ ความดัน อัตราการไหล
แก๊สเฉื่อย ระยะเวลาในการทำปฏิกิริยา
ต่อผลิตภัณฑ์ที่ได้ ฯลฯ
-
การเลือกใช้เครื่องปฏิกรณ์เคมีรูปแบบต่าง
ๆ ตัวอย่างเช่นในกรณีของโรงงานผลิตพอลิเอทิลีน
เครื่องปฏิกรณ์เคมีก็คือภาชนะที่แก๊สเอทิลีนเกิดปฏิกิริยาต่อโมเลกุลเข้าด้วยกันเป็นอนุภาคพอลิเอทิลีนที่เป็นของแข็ง
ในโรงงานผลิตโอเลฟินส์
เครื่องปฏิกรณ์เคมีก็คือเตาเผา
(ที่มีไฮโดรคาร์บอนไหลอยู่ในท่อ
และมีเปลวไฟให้ความร้อนอยู่ภายนอกท่อ)
ที่ทำให้โมเลกุลไฮโดรคาร์บอนที่ไหลอยู่ในท่อแตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลง)
-
การเลือกใช้เครื่องปฏิกรณ์เคมีหลายตัวมาทำงานโดยต่อขนานหรืออนุกรมเข้าด้วยกัน
๓.๒
วิชาหน่วยปฏิบัติการ (หรือ
Unit
operation) ที่เรียนเกี่ยวกับหน่วยปฏิบัติการต่าง
ๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิต
เนื้อหาวิชานี้จัดว่าเยอะมากจนต้องแบ่งย่อยออกเป็นวิชาละ
๓ หน่วยกิต ๓ วิชา
ตามหมวดหมู่อุปกรณ์ดังนี้
(ก)
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ
Momentum
transfer ถ้าเทียบกับทางวิศวกรรมเครื่องกลก็เห็นจะได้แก่
Fluid
dynamics ตัวอย่างเนื้อหาที่เรียนก็มี
-
การออกแบบอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งของไหล
(ปั๊ม
คอมเพรสเซอร์ ระบบท่อ วาล์ว)
-
การไหลของของไหลผ่านวัตถุ
(เช่นไหลผ่านผิวนอกของท่อ
หรือชั้นวัสดุมีรูพรุน)
-
การเคลื่อนที่ของวัตถุในของไหล
(เช่นการออกแบบ
ถังตกตะกอนที่แยกของแข็งออกจากของไหลด้วยแรงโน้มถ่วง
ไซโคลนที่แยกของแข็งออกจากของไหลด้วยแรงเหวี่ยง)
เป็นต้น
-
เครื่องผสม
(mixer)
ที่ใช้ในการผสมของแข็งต่างชนิดเข้าด้วยกัน
เช่นในการผสมยาก่อนนำไปตอกเป็นเม็ดยา
-
เครื่องกรอง
(filter)
ที่ใช้ในการแยกของแข็งและของเหลวออกจากกันด้วยการใช้วัสดุกรอง
-
เครื่องตกตะกอน
(clarifier)
ที่แยกของแข็งออกจากของเหลวด้วยการใช้ความหนาแน่นที่แตกต่างกัน
-
เครื่องเหวี่ยงแยก
(centrifuge)
ที่แยกของแข็งออกจากของไหลด้วยการใช้แรงเหวี่ยงของตัวเครื่อง
และไซโคลน (cyclone)
ที่แยกของแข็งออกจากของไหลด้วยแรงเหวี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนทิศทางการไหล
-
เครื่องบด
(crusher)
ที่ใช้ในการลดขนาดอนุภาคของแข็ง
(ข)
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ
Mass
transfer วิชานี้เป็นศาสตร์เฉพาะทางของวิศวกรรมเคมีอีกวิชาหนึ่ง
เป็นวิชาที่ว่าด้วยการออกแบบอุปกรณ์แยกสาร
(การแยกเอาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการออกจากสารผสม)
โดยอาศัยคุณสมบัติที่แตกต่างกันของสาร
เช่น
-
หอกลั่น
(distillation
column ที่แสดงในรูปที่
๔)
ที่แยกด้วยการใช้จุดเดือดที่แตกต่างกัน
(เช่นหอกลั่นน้ำมันดิบ
หอกลั่นเอทานอล)
-
เครื่องตกผลึก
(crystalliser)
ที่แยกด้วยการใช้ค่าการละลายอิ่มตัวที่แตกต่างกัน
(เช่นการตกผลึกน้ำตาลทรายจากน้ำอ้อยเข้มข้น)
-
การสกัด
(extraction)
ที่แยกด้วยความสามารถในการละลายในตัวทำลายที่แตกต่างกัน
(เช่นการสกัดเอาน้ำมันถั่วเหลืองออกจากถั่วเหลืองด้วยการใช้เฮกเซนไปละลายออกมา)
-
การแลกเปลี่ยนไอออน
(ion-exchange)
ที่อาศัยความแตกต่างประจุไฟฟ้าของไอออน
(เช่นในระบบทำน้ำให้บริสุทธิ์ปราศจากไอออน)
เป็นต้น
(ค)
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ
Heat
transferคือพวกที่มีการถ่ายเทเฉพาะพลังงานความร้อน
และ Simultaneous
heat and mass transfer
คือพวกที่มีการถ่ายเทพลังงานความร้อนและมวลสารในเวลาเดียวกัน
ตัวอย่างของอุปกรณ์ที่มีการถ่ายเทพลังงานความร้อนเพียงอย่างเดียวได้แก่
-
เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนต่าง
ๆ (heat
exchanger) ที่ใช้ในระบบต่าง
ๆ การทำให้สารที่มีอุณหภูมิต่ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น
และทำให้สารที่มีอุณหภูมิสูงเย็นตัวลง
ใช้ในการนำกลับความร้อนที่ต้องปล่อยทิ้งมาใช้งานใหม่เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน
เช่นเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนแบบท่อสองชั้น
เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนแบบ
Shell
and tube เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนแบบ
plate
ตัวอย่างของอุปกรณ์ที่มีการถ่ายเททั้งพลังงานความร้อนและมวลสารในเวลาเดียวกันได้แก่
-
เครื่องอบแห้ง
(dryer)
แบบต่าง
ๆ ที่ใช้ในการอบแห้งวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์
(เช่นในอุตสาหกรรมเกษตรที่ใช้กำจัดน้ำออกจากผลิตผลทางการเกษตร
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้กำจัดตัวทำละลายออกจากผลิตภัณฑ์)
หรือการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ที่เป็นผงจากสารละลาย
ด้วยการฉีดพ่นสารละลายและทำการระเหยสารละลายออกจากของเหลวที่ฉีดพ่นออกมา
(เช่นในการผลิตผงซักฟอก)
-
หอทำน้ำเย็น
(cooling
tower) ดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่
๓
เนื้อหาวิชาในส่วนนี้ไม่น้อยที่ซ้ำซ้อนกับที่ทางวิศวกรเครื่องกลเรียนกัน
๓.๓
พลศาสตร์และการควบคุมกระบวนการ
(เรียกกันว่า
Process
dynamics and control หรือ
PDC)
วิชานี้เป็นวิชาที่เรียนเกี่ยวกับการตอบสนองของกระบวนการผลิตเมื่อภาวะการทำงานมีการเปลี่ยนแปลง
จะโดยตั้งใจหรือจากปัจจัยภายนอกก็ตามแต่
เช่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอัตราการไหลเปลี่ยนไป
อุณหภูมิเปลี่ยนไป
และจะทำอย่างไรเพื่อให้ระบบการทำงานกลับคืนมายังสภาพเดิม
หรือปรับเปลี่ยนไปยังสถานะใหม่ที่ต้องการ
ชนิดของอุปกรณ์ควบคุม
(controller)
วงจรควบคุม
(controller
loop) การเลือกใช้เทคนิคการควบคุม
การออกแบบและการปรับแต่งวงจรการควบคุม
วิชานี้จะเป็นวิชาที่เรียนกันตอนท้าย
ๆ ของหลักสูตร
เพราะต้องเรียนรู้จักการทำงานของอุปกรณ์ทุกตัวก่อน
การควบคุมกระบวนการอาจเป็นการควบคุมเฉพาะอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง
หรือโรงงานทั้งโรงงาน
(คือควบคุมหลายอุปกรณ์พร้อม
ๆ กัน)
๓.๔
การประเมินเศรษฐศาสตร์กระบวนการเคมี
เป็นวิชาที่เรียนกับการหาจุดคุ้มค่าสำหรับกระบวนการผลิต
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเส้นทางการผลิตผลิตภัณฑ์
หรือการเลือกชนิดอุปกรณ์
เพราะกระบวนการหรืออุปกรณ์ที่เหมาะกับสถานที่หนึ่งไม่จำเป็นต้องเหมาะสมกับอีกสถานที่หนึ่ง
๓.๕
การออกแบบโรงงานผลิตทางเคมี
วิชานี้เรียกกันติดปากว่า
plant
design เป็นการออกแบบกระบวนการผลิตทั้งกระบวนการ
โจทย์ของวิชานี้ง่ายมากคือกำหนดสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ที่ต้องการมาให้
แล้วให้ไปคิดกระบวนการผลิตกันเอาเอง
โดยต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า
และการจัดการกับผลิตภัณฑ์ข้างเคียงต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด
วิชานี้เป็นวิชาที่เรียนกันในปีสุดท้าย
(ลองดูตัวอย่างกรณีของการผลิตน้ำมันปาล์มที่ยกมาในตอนที่
๑ ของบทความชุดนี้)
๓.๖
วิศวกรรมความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
วิชานี้เรียนเกี่ยวกับผลกระทบจากกระบวนการ
ไม่ว่าจะในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต
หรือชุมชนที่อยู่รอบโรงงาน
(เช่น
ถ้ามีสารเคมีรั่วไหลออกไปจะเกิดผลกระทบทางด้านใดบ้าง)
ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
ความรุนแรงของอุบัติเหตุถ้าหากเกิดขึ้น
เช่นระหว่างกระบวนการที่ใช้อุณหภูมิและความดันต่ำแต่มีสารไวไฟในระบบมาก
กระบวนการนี้มีโอกาสจะเกิดระเบิดต่ำ
แต่ถ้าเกิดระเบิดจะมีความรุนแรงมาก
(เพราะมีสารไวไฟมาก)
ยากที่จะจำกัดความเสียหาย
ส่วนกระบวนการที่มีการใช้อุณหภูมิและความดันที่สูงแต่มีสารไวไฟในระบบน้อย
กระบวนการนี้จะมีโอกาสระเบิดสูง
แต่การระเบิดจะไม่รุนแรง
(เพราะมีสารไวไฟน้อย)
การจำกัดความเสียหายจะทำได้ง่ายกว่า
(เช่นการสร้างกำแพงรับแรงระเบิด)
คำถามที่ต้องตอบก็คือกระบวนการไหนจะมีความปลอดภัยมากกว่ากัน
(จำเป็นต้องมีการถ่วงน้ำหนักข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกด้วย)
รูปที่
๕
บรรยากาศการเรียนภาคปฏิบัติวิชาหน่วยปฏิบัติการของนิสิตชั้นปีที่
๓ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี
๔.
กลุ่มวิชาแกนระดับสาขาวิชา
(บังคับเลือก)
:
ตรงนี้เป็นวิชาที่แต่ละภาควิชาเป็นผู้กำหนดว่าจะต้องเรียนกันอย่างน้อยกี่วิชาหรือกี่หน่วยกิต
("บังคับเลือก"
คือต้องเลือกเรียนจากรายชื่อวิชาที่กำหนดให้เท่านั้น
ต่าง "เลือกเสรี"
คือจะไปเรียนวิชาอะไรก็ได้
ทางด้านไหนก็ได้
ที่ไม่สนว่าผู้มาเรียนนั้นจะมีความรู้พื้นฐานทางด้านใดมาก่อน)
มักเป็นวิชาที่อาจารย์ในภาควิชาเปิดสอนเอง
ตามความถนัดของอาจารย์
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วิศวกรรมเคมีแต่ละที่มีวิชาให้เลือกศึกษาแตกต่างกัน
(เพราะอาจารย์แต่ละที่มีความถนัดไม่เหมือนกัน)
เนื้อหาอาจเป็นวิชาเสริมที่นำความรู้จากวิชาแกนหลักต่าง
ๆ มาประยุกต์ใช้งานรวมกัน
หรือเป็นการศึกษาลงลึกเฉพาะทาง
ตัวอย่างของวิชาเหล่านี้เช่น
-
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในอุตสาหกรรม
-
การควบคุมกระบวนการผลิตขั้นสูง
-
การสร้างแบบจำลองกระบวนการผลิต
-
การแปรรูปน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ
-
กระบวนการในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
-
วิศวกรรมชีวเคมี
(เช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการหมัก)
-
วัสดุวิศวกรรมพวกยางและพอลิเมอร์
-
กระบวนการขึ้นรูปพอลิเมอร์
-
เทคโนโลยีด้านเชื้อเพลิงและพลังงาน
-
เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการจัดการกับวัสดุที่เป็นผงอนุภาค
-
ฯลฯ
อันที่จริงยังมีอีกวิชาหนึ่งคือ
"โครงงานทางวิศวกรรมเคมี"
ซึ่งมันไม่ได้อยู่ในข้อกำหนดของสภาวิศวกร
แต่ก็เห็นมีกันทุกที่
และไม่รู้เหมือนกันว่าจะจัดเข้าไปอยู่ในหมวดหมู่ไหนดี
ถ้าเริ่มอ่านตั้งแต่ตอนที่
๑
มาจนถึงจุดนี้หวังว่าผู้อ่านคงจะพอมองภาพการเรียนการสอนและการทำงานในสายวิชาชีพวิศวกรรมเคมีกันบ้างแล้วนะครับ
บทความนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนให้หันมาเรียนทางด้านวิศวกรรมเคมี
เพียงแค่พยายามให้ข้อมูล
(เท่าที่พอจะนึกออก)
เพื่อให้ผู้อ่านที่ยังไม่รู้จักวิศวกรรมเคมี
ได้มีความเข้าใจวิศวกรรมเคมีที่ชัดเจนขึ้น
เรียกว่าถ้าสนใจก็เชิญมาเรียน
แต่ถ้าอ่านแล้วเห็นว่าไม่น่าสนใจก็อย่าเลือกมาเรียน
การเลือกเรียนตามกระแส
(โดยดูจากค่านิยม
หรือเงินเดือนที่คิดว่าจะได้เมื่อเรียนจบ)
มันจะทำให้เสียเวลาการศึกษา
๔ ปีในมหาวิทยาลัยไปเปล่า
ๆ เรียกว่าเรียนไปแบบไม่ค่อยมีความสุข
ฝืนเรียนไปให้ผ่าน ๆ ไปแต่ละวิชา
ถ้าฝืนทนจนจบได้ก็แล้วไป
๓
ปีที่แล้วมีกลุ่มคุณแม่กลุ่มหนึ่งที่มีลูกสาวกำลังจะเข้าสู่ระดับมัธยมปลาย
(บังเอิญผมรู้จักซะด้วย
เพราะลูกเขาก็เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับลูกผม)
แวะมาถามผมเรื่องจะให้ลูกสาวเรียนทางด้านวิศวกรรมเคมีดีไหม
(เพราะเขาเห็นนิสิตหญิงเรียนกันทางด้านนี้เยอะ)
จบแล้วจะได้เงินเดือนสูงไหม
ผมก็อธิบายไปว่านิสิตหญิงที่จบไปแล้วได้ทำงานทางด้านใดกันบ้างตามที่ได้ทราบมา
แต่คำตอบที่แท้จริงที่ผมอยากจะตอบกลุ่มคุณแม่เหล่านั้น
(แต่ไม่กล้าตอบ)
ก็คือ
"ปล่อยให้ลูกเรียนอะไรตามที่เขาอยากเรียนไปเถอะครับ
สำคัญคือให้ได้สามีรวย ๆ
เต็มใจที่จะเลี้ยงดูแบบพวกคุณแม่ก็พอ
ก็ตั้งแต่ผมรู้จักพวกคุณแม่มา
ก็เห็นว่าวัน ๆ ก็ไม่ได้ทำอะไร
ส่งลูกเข้าโรงเรียนเสร็จก็จับกลุ่มคุยกันอยู่ในโรงเรียน
ตกเที่ยงห้างเปิดก็ไปกินข้าวเที่ยง
ไปชอปปิ้ง
เลิกเรียนก็กลับมารับลูกไปเรียนพิเศษหรือไปเดินห้างต่อ"
ล้อเล่นนะครับ
อย่าซีเรียส
#เรื่องจริงมันเศร้าแต่พอนำมาเล่าแล้วมันตลก
#อยู่ภาคนี้ต้องหัดมีอารมณ์ขัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น