"ความจริงมีอยู่ว่า
ในวงวิชาการ-ไม่ว่าจะเป็นสาขาใด-บ่อยครั้งที่ผู้ที่มิได้อยู่ในวงการนั้นมาก่อน,
มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลง
หรือพัฒนาเนื้อหาของวิชานั้น.
เหตุผลก็คือ
เขามิได้ถูกครอบมาด้วยธรรมเนียม,
ด้วยวิธีคิด,
ด้วยวิธีมอง
อย่างผู้ที่เติบโตและผ่านกระบวนการเช่นนั้นมาส่วนมาก
ทำให้เขามองเห็นในสิ่งที่เคยชินชาและละเลยกันมา
และสงสัยในประเด็นที่เคยถือกันมาว่าเป็นเรื่องปรกติ."
ข้อความข้างบนผมนำมาจาก
"คำนำเสนอ"
เขียนโดยคุณสุพจน์
แจ้งเร็ว ในหนังสือ
"สยามกู้อิสรภาพตนเอง
ทางออกและวิธีแก้ปัญหาชาติบ้านเมือง
เกิดจากพระราชกุศโลบายของพระเจ้าแผ่นดิน"
ที่เขียนโดยคุณไกรฤกษ์
นานา ผมใส่เครื่องหมายต่าง
ๆ (เช่น
จุดทศนิยม ลูกน้ำ)
ตามต้นฉบับนะครับ
คุณไกรฤกษ์
นานา นั้นไม่ได้ศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์มา
แต่เมื่อมาสนใจศึกษาประวัติศาสตร์แบบเรียนรู้ด้วยตนเอง
จึงทำให้มีมุมมองที่แตกต่างไปจากผู้ที่เรียนจบมาทางด้านประวัติศาสตร์โดยตรงที่มักมีกรอบความคิดที่ยึดติดมาจากการเรียน
และนั่นก็คือที่มาของส่วนหนึ่งของ
"คำนำเสนอ"
ในย่อหน้าแรก
เรื่องที่ดูเป็นเรื่องพื้นฐานธรรมดา
ไม่น่าจะมีอะไร
สำหรับผู้ที่เรียนมาทางด้านหนึ่งนั้น
พอเจอกับคนที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านเดียวกันตั้งคำถามขึ้นมา
บางทีมันก็ทำเอาอึ้งไปเหมือนกัน
ประสบการณ์ตรงที่ตัวเองเคยประสบก็คือตอนที่จบไปทำงานใหม่
ๆ ดูแลการก่อสร้างโรงงาน
มีรุ่นพี่วิศวไฟฟ้าผู้หนึ่งถามว่า
STP (Standard
Temperature and Pressure) นี่มันนิยามตรงไหน
ปรากฏว่าเหล่านักเคมีและวิศวกรเคมีในทีมเดียวกัน
ต่างตอบไม่ตรงกัน
ทั้งนี้เพราะต่างคนต่างช่วงอายุ
เรียนมาด้วยตำราที่แตกต่างกัน
สิ่งที่เป็นคำถามตามมาก็คือ
แล้วตอนที่ทางฝ่ายไทยคุยกับวิศวกรของบริษัทต่างชาติที่ทำหน้าที่ออกแบบโรงงานที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้น
นิยาม STP
ของเรากับของเขานั้นตรงกันหรือไม่
พอเปลี่ยนมาเป็นสายงานสอนหนังสือ
บ่อยครั้งที่ได้เจอคำถามที่จะว่าไปมันก็เป็นสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
แต่ด้วยความเคยชินเราจึงไม่เคยตั้งคำถามมัน
ว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น
พอมีนิสิตถามขึ้นมามันก็เลยชวนให้คิดหาเหตุผลอธิบาย
ดังเช่นเรื่องที่เอามาเป็นหัวข้อในวันนี้
เป็นคำถามที่นิสิตที่กำลังฝึกงานผู้หนึ่งถามมาเมื่อ
๗ ปีที่แล้วผ่านมาทาง Facebook
คือเขาถามว่า "ทำไม
saturated steam
ที่ความดันสูงขึ้น
ถึงมี latent
heat ต่ำลง"
(รูปที่ ๑)
รูปที่ ๑
คำถามที่มีนิสิตผู้หนึ่งถามมาเมื่อ
๗ ปีที่แล้ว
ดูเหมือนเรื่องนี้ตำรามันไม่ได้เขียนเอาไว้ด้วย
เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ก็เลยต้องขอนำเอาความรู้พื้นฐานที่อยู่มาใช้
ดังนั้นสิ่งผมคิดเอาไว้นั้นจะถูกหรือผิดก็ต้องมาช่วยกันพิจารณาครับ
แต่ก่อนอื่นเรามาลองทำความรู้จักกันก่อนว่า
latent heat
นั้นคืออะไร และการที่
latent heat
ลดลงเมื่อความดันสูงขึ้นนั้น
มันเป็นเฉพาะกรณีของไอน้ำหรือเปล่า
ในกรณีนี้เมื่อพูดถึง
latent heat
เราก็ต้องมองภาพไปที่ระบบที่อยู่ที่อุณหภูมิจุดเดือดก่อน
latent heat
นี้ก็คือพลังงานที่ต้องดูดกลืนหรือคายออกเพื่อให้โมเลกุลย้ายจากเฟสหนึ่งไปยังอีกเฟสหนึ่ง
มันเป็นพลังงานที่เฟสของเหลว
(ที่อุณหภูมิจุดเดือด)
ต้องดูดกลืนเพื่อเปลี่ยนสถานะให้กลายเป็นไออิ่มตัว
(ที่อุณหภูมิจุดเดือด)
และเป็นพลังงานที่เฟสไอ
(ที่อุณหภูมิจุดเดือด)
ต้องคายออกเพื่อเปลี่ยนสถานะเป็นเฟสของเหลว
(ที่อุณหภูมิจุดเดือด)
และอุณหภูมิจุดเดือดก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามความดันเหนือผิวของเหลวที่เพิ่มสูงขึ้น
ผมลองค้นดู
Pressure-Enthalpy
Diagram (หรือที่เขียนย่อว่า
PH diagram)
ของหลายสาร ก็พบว่าค่าlatent
heat นั้น "ลดต่ำลง"
เมื่ออุณหภูมิระบบสูงขึ้น
รูปที่ ๒ -
๔ ที่ยกมาเป็นตัวอย่างก็เป็นกรณีของ
น้ำ (รูปที่
๒)
คาร์บอนไดออกไซด์ (R-744
ในรูปที่ ๓ เลขรหัส
R-744
เกิดจากการที่มันถูกนำไปใช้เป็นสารทำความเย็นในช่วงอุณหภูมิต่ำด้วย)
และสารทำความเย็น
tetrafluoroethane
(HFC-134a ในรูปที่ ๔)
และความแตกต่างนี้จะหมดไปที่จุดวิกฤต
(critical point)
ที่เราไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างของเหลวและแก๊สได้
เส้นการเปลี่ยนแปลง latent
heat (คือการเปลี่ยนแปลงเอนทาลปี)
ระหว่างเฟสของเหลวกับแก๊สก็คือเส้นสีส้มกับเส้นสีเขียว
(ที่เป็นเส้นที่ความดันสูงกว่าเส้นสีส้ม)
ในแนวนอนที่ผมขีดไว้ให้เห็นในรูปต่าง
ๆ เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพได้ชัดขึ้น
จะเห็นว่าเส้นสีเขียวที่อยู่ที่ความดันสูงกว่านั้นจะสั้นกว่าเส้นสีส้ม
แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเอนทาลปีที่ลดลงเมื่อความดันเพิ่มสูงขึ้น
เพื่อที่จะหาคำอธิบายว่าทำไมค่า
latent heat
จึงลดลงเมื่อความดันสูงขึ้น
เนื่องจาก latent
heat เป็นตัวบอกพลังงานที่แตกต่างกันระหว่างเฟสของเหลวและไอ
ผมจึงมองไปตรงที่เฟสทั้งสองนั้นมี
"ความแตกต่าง"
กันมากแค่ไหน
แรงกระทำระหว่างโมเลกุลนั้นประกอบด้วยแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
และการชนกันระหว่างโมเลกุลที่เกิดจากพลังงานจลน์ของโมเลกุล
แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลนั้นเด่นชัดเมื่อโมเลกุลอยู่ใกล้กัน
ถ้าแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลสูงกว่าแรงที่เกิดจากการชนกันระหว่างโมเลกุล
โมเลกุลก็จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนได้
(ซึ่งอาจเป็นของแข็งหรือของเหลว)
แต่ถ้าแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลนั้นไม่สูงพอ
แรงที่เกิดจากการชนกันระหว่างโมเลกุลทำให้โมเลกุลกระเด็นกระดอนออกไปได้ไกล
สารนั้นก็จะกลายเป็นไอไป
ที่ความดันต่ำ
อุณหภูมิจุดเดือดก็ต่ำ
ในเฟสของเหลวโมเลกุลก็จะมีการเคลื่อนที่ช้า
(เพราะอุณหภูมิต่ำ
พลังงานจลน์เลยต่ำ)
แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลมีค่าสูง
(เพราะโมเลกุลอยู่ใกล้กัน)
ในขณะที่เฟสแก๊สนั้นโมเลกุลอยู่ห่างกัน
มีการเคลื่อนตัวได้อย่างอิสระมาก
(เพราะความดันต่ำ).
ที่ความดันสูง
อุณหภูมิจุดเดือดก็สูง
ในเฟสของเหลวโมเลกุลจะมีการเคลื่อนที่กันอย่างรวดเร็ว
(พลังงานจลน์สูงขึ้น)
ระยะห่างระหว่างโมเลกุลเพิ่มมากขึ้น
แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลมีค่าลดลง
(เพราะโมเลกุลอยู่ห่างกัน)
ในขณะที่เฟสแก๊สนั้นแม้ว่าโมเลกุลจะมีการเคลื่อนที่เร็วขึ้นเช่นกัน
แต่ระยะห่างระหว่างโมเลกุลนั้นลดลง
แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลเลยเพิ่มขึ้น
(ความเป็นอิสระของโมเลกุลในการเคลื่อนที่นั้นลดลง)
ความแตกต่างระหว่างเฟสของเหลว
(โมเลกุลอยู่ห่างกันมากขึ้น
แต่ก็ยังห่างกันน้อยกว่าเฟสแก๊ส)
กับเฟสแก๊ส
(ที่โมเลกุลอยู่ใกล้กันมากขึ้น
แต่ก็ยังห่างกันมากกว่าเฟสของเหลว)
นั้นลดลง
พลังงานที่ต้องดูดกลืนหรือคายออก
(ซึ่งก็คือ
latent heat
เพื่อต้องใส่เข้าไปเพื่อเอาชนะแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
หรือต้องดึงออกเพื่อลดพลังงานจลน์ของโมเลกุล)
เพื่อเปลี่ยนเฟสก็เลยลดต่ำลง
คำอธิบายข้างต้นพอจะใช้ได้ไหม
ก็ขอให้ผู้อ่านลองพิจารณาด้วยนะครับ
:) :) :)
รูปที่ ๒
PH diagram ของน้ำ
รูปที่ ๓
PH diagram ของ
CO2
(จาก
https://www.unilab.eu/articles/technical-articles/thermodynamic-engineering-articles/carbon-dioxide-refrigerant/)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น