เนิ้อหาใน
Memoir
ฉบับนี้ต่อเนื่องมาจากเรื่อง
"ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า flammability limit (๒)"
ที่เผยแพร่ไปเมื่อวันพุธที่
๒ สิงหาคม ๒๕๖๐
ถ้าเราลองกลับไปดูรูปที่
๑๕ ในตอนที่ ๒ ของบทความชุดนี้
จะเห็นว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อที่ใช้ในการทดลองวัดค่า
flammability
limit นั้นส่งผลต่อความกว้างของช่วงค่าที่วัดได้
โดยท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่นั้นจะให้ช่วง
flammability
limit ที่กว้างกว่าโดยมีค่า
lower
limit ที่ต่ำกว่าและค่า
upper
limit ที่สูงกว่า
เมื่อเทียบกับค่าที่วัดได้จากท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่เล็กกว่า
(ในที่นี้ท่อมีความยาวมากเมื่อเทียบกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง)
ตรงนี้ต้องขอให้รายละเอียดเพิ่มเติมนิดนึงว่าข้อมูลในรูปที่
๑๕ นั้นมาจากบทความปีค.ศ.
๑๙๒๕
ที่ได้มีการทบทวนผลงานเผยแพร่ย้อนหลังไปถึงประมาณ
๕๐ ปีก่อนหน้านั้นหรือราวปีค.ศ.
๑๘๗๖
ซึ่งยังเป็นยุคที่ต่างคนต่างศึกษาด้วยอุปกรณ์ที่ต่างคนต่างออกแบบ
เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ
ว่าส่งผลต่อการวัดอย่างไรบ้าง
ก่อนที่จะเกิดมาตรฐานกลางเป็นตัวกำหนดว่าควรจะทำการวัดอย่างไร
รูปที่
๑๖ การจุดระเบิดแก๊สผสมในท่อโดยในเปลวไฟวิ่งจากล่างขึ้นบน
เมื่อเริ่มจุดระเบิด
เปลวไฟจะขยายตัวออกจากแหล่งจุดระเบิด
ทางด้านข้างของเปลวไฟจะไปสิ้นสุดที่ผนังท่อ
ส่วนทางด้านบนนั้นจะเคลื่อนที่ขึ้นบนไปเรื่อย
ๆ
แก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนที่ของเปลวไฟจะสูญเสียความร้อนผ่านผนังท่อออกไป
ในขณะที่ไอผสมที่ยังไม่จุดระเบิดที่อยู่ทางด้านบนนั้นจะถูกแก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้นั้นผลักดันให้ขึ้นด้านบน
ถ้าเป็นท่อปลายเปิดออกสู่บรรยากาศก็ถือได้ว่าความดันไอผสมนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
(คือเท่ากับความดันบรรยากาศ)
แต่ถ้าเป็นท่อปลายปิด
ไอผสมที่อยู่ทางด้านบนนั้นจะถูกอัดให้มีความดันเพิ่มขึ้น
เพื่อให้เห็นภาพขอให้ลองดูรูปที่
๑๖
ที่สมมุติว่าเราทำการจุดระเบิดไอผสมเชื้อเพลิงในท่อยาวที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแตกต่างกัน
โดยให้เปลวไฟวิ่งจากล่างขึ้นบน
(สมมุติให้ท่อปลายปิดทางด้านล่าง
และให้แหล่งจุดระเบิดนั้นตั้งอยู่ตรงกลางท่อที่ระดับพื้น)
เมื่อเริ่มจุดระเบิดนั้นเปลวไฟจะขยายตัวออกจากแหล่งจุดระเบิดเป็นครึ่งทรงกลมแผ่ออกไปจากศูนย์กลางการจุดระเบิด
เปลวไฟที่แผ่ออกไปทางด้านข้างจะไปกระทบเข้ากับผนังท่อก่อน
และจะดับ
อันเป็นผลจากการที่ไม่มีเชื้อเพลิงให้เผาไหม้ต่อไป
และการสูญเสียความร้อนผ่านผนังท่อ
เรื่องเปลวไฟดับอันเป็นผลจากการสูญเสียความร้อนเนื่องจากเคลื่อนที่ไปกระทบวัตถุที่มีค่าการนำความร้อนสูงมีทั้งการนำมาใช้ประโยชน์และก่อปัญหา
ตัวอย่างของการนำมาใช้ประโยชน์ได้แก่
flame
arrester ที่เป็นอุปกรณ์ใช้ป้องกันไม่ให้เปลวไฟวิ่งย้อนเข้ามาในระบบ
(เช่นในระบบท่อ
หรือจากภายนอกผ่านช่อง vent
เข้าสู่ภายในถังบรรจุเฃื้อเพลิง)
ตัว
flame
arrester
เองก็เป็นเพียงแค่โครงสร้างโลหะสามมิติมีรูพรุนที่มีขนาดไม่เล็กเกินไป
(เพื่อไม่ให้อุดตันง่ายและกีดขวางการไหล)
และไม่ใหญ่เกินไป
(เพื่อไม่ให้พื้นที่ผิวสัมผัสกับเปลวไฟที่เคลื่อนที่ผ่านนั้นน้อยเกินไป)
เมื่อเปลวไฟวิ่งผ่านตัว
flame
arrester จากทางด้านหนึ่งนั้น
เปลวไฟจะสูญเสียความร้อนให้กับชิ้นส่วนโลหะนี้
ทำให้เปลวไฟดับ
ตัวอย่างของส่วนที่ก่อให้เกิดปัญหาเห็นจะได้แก่กรณีของเครื่องยนต์เบนซินที่จุดระเบิดด้วยหัวเทียน
การทำงานของเครื่องยนต์เบนซินนั้นจะผสมไอเชื้อเพลิงกับอากาศเข้าเป็นเนื้อเดียวกันก่อน
จากนั้นจึงจุดระเบิดด้วยหัวเทียน
เปลวไฟจากการเผาไหม้จะเคลื่อนที่ออกมาจากตำแหน่งเขี้ยวหัวเทียน
พอมาถึงผนังลูกสูบที่ทำจากเหล็กและมีน้ำหล่อเย็นอยู่ด้านนอก
เปลวไฟก็จะดับ
ส่งผลให้ไอผสมระหว่างน้ำมันกับอากาศที่อยู่ตรงบริเวณใกล้ผนังกระบอกสูบไม่ถูกเผาไหม้หรือเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
ดังนั้นในกรณีของเครื่องยนต์เบนซิน
แม้ว่าจะมีการผสมอากาศกับน้ำมันเข้าเป็นเนื้อเดียวกันอย่างดี
และใช้อากาศในปริมาณที่มากเกินพอ
ก็ยังคงมีน้ำมันที่ยังไม่เผาไหม้หลุดมากับไอเสีย
รูปที่
๑๗ ส่วนหนึ่งของข้อความจากบทความของ
Coward
และ
Jones
ในส่วนผลของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ
vessel
ที่ใช้ในการทดลอง
(vessel
ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นท่อ
อาจเป็นภาชนะทรงใด ๆ
เช่นทรงกลมที่มีการจุดระเบิดที่ตำแหน่งกึ่งกลางก็ได้)
ในกรณีของตัวอย่างในรูปที่
๑๖ นั้น ท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กจะมีอัตราส่วน
พื้นที่ผิวต่อปริมาตร
สูงกว่าท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ใหญ่กว่า
การระบายความร้อนออกจากท่อขนาดเล็กจึงสูงกว่าด้วย
จึงทำให้เปลวไฟดับได้ง่ายกว่า
ตัวอย่างเช่นข้อมูลของเอทิลีนในรูปที่
๑๕ เมื่อทำการจุดระเบิดให้เปลวไฟวิ่งจากล่างขึ้นบน
เมื่อใช้ท่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
7.5
cm จะได้ค่า
flammability
limit อยู่ในช่วง
3.02-34.0
vol% (หรือมากกว่า)
แต่พอใช้ท่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
2.5
cm ค่า
flammability
limit จะแคบลงเหลือระหว่าง
3.15-27.6
vol% บทความของ
Coward
และ
Jones
กล่าวไว้ว่าผลของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางท่อต่อค่า
flammability
limit จะเห็นได้ชัดสำหรับท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่
5
cm ลงมา
สำหรับท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่านี้จะให้ความแตกต่างที่ลดลงมา
ในขณะเดียวกันแก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ก็จะขยายตัวดันให้เปลวไฟวิ่งขึ้นด้านบน
ถ้าหากการเผาไหม้นี้เกิดขึ้นในระบบปิด
ความดันในระบบก็จะเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าเผาไหม้ในระบบที่เปิดออกสู่บรรยากาศ
เราพอจะประมาณได้ว่าความดันของแก๊สส่วนที่อยู่เหนือเปลวไฟนี้ยังคงประมาณได้ว่าเท่ากับความดันบรรยากาศอยู่
ด้วยเหตุนี้ในกรณีของท่อปลายเปิดนั้น
ความยาวของท่อจึงไม่ควรส่งผลต่อค่า
flammability
limit ที่วัดได้
แต่ถ้าเป็นกรณีของท่อปลายปิดนั้นความยาวของท่อจะส่งผล
เมื่อเทียบกับเปลวไฟที่เคลื่อนที่ได้ระยะทางเท่ากันในท่อสั้นกับท่อยาว
ท่อสั้นกว่าจะมีอัตราการเพิ่มความดันที่สูงกว่า
เพราะปริมาตรที่ว่างสำหรับให้แก๊สที่ยังไม่เผาไหม้อัดตัวนั้นต่ำกว่า
รูปที่
๑๘ ส่วนหนึ่งของข้อความจากบทความของ
Coward
และ
Jones
ในส่วนผลของขนาดความยาวของ
vessel
อุตสาหกรรมพวกแรกที่ประสบกับปัญหาการระเบิดของแก๊สผสมเชื้อเพลิง
+
อากาศ
เห็นจะได้แก่การทำเหมืองถ่านหิน
และการนำ coal
gas (แก๊สที่ได้จากการเผาถ่านหินในอากาศที่จำกัด
เพื่อเปลี่ยนถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงแก๊สส่งไปตามท่อได้)
ไปใช้งาน
ดังนั้นจึงไม่น่าจะแปลกที่การระเบิดของมีเทน
(CH4)
จะได้รับการศึกษามากในช่วงแรก
และจากการที่การทำงานในเหมืองนั้นเป็นการทำงานในบรรยากาศปรกติ
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของสภาพอากาศ
เช่น ความดัน (ที่เปลี่ยนแปลงตามสภาพบรรยากาศ
เช่นความดันจะลดต่ำลงเมื่อมีพายุฝนเข้า)
ความชื้นในอากาศ
เป็นต้น
ประเด็นหนึ่งที่บทความของ
Coward
และ
Jones
ได้กล่าวถึงคือผลของความชื้นที่มีต่อ
flammability
limit โดยในช่วงแรกของการศึกษานั้นมักจะกระทำกับแก๊สที่แห้ง
โดยมีข้อสมมุติ (หรือความเชื่อ)
ว่าความชื้นในอากาศไม่ส่งผลต่อค่า
flammability
limit แต่ผลการศึกษากลับพบว่าในหลายกรณีนั้นมีผล
เช่นในกรณีของมีเทนนั้นความชื้นแทบจะไม่ส่งผลต่อค่า
lower
limit ในขณะที่ไปทำให้ค่า
upper
limit ลดต่ำลง
(คือช่วงความเข้มข้นที่ระเบิดได้นั้นแคบลง)
แต่พอเป็นกรณีของคาร์บอนมอนอกไซด์กลับแตกต่างออกไป
แก๊ส CO
ที่แห้งนั้นมีค่า
lower
limit อยู่ที่
15.9%
แต่พอเป็นอากาศที่อิ่มตัวด้วยไอน้ำกลับพบว่าค่า
lower
limitลดต่ำลงเป็น
13.1%
(รูปที่
๑๙ ข้างล่าง)
เวลาที่แก๊สรั่วไหลออกสู่บรรยากาศภายนอก
ความเข้มของแก๊สในอากาศจะค่อย
ๆ เพิ่มขึ้น ยิ่งแก๊สนั้นมีค่า
lower
limit
ต่ำเท่าใดก็แสดงว่ามันมีโอกาสที่จะเกิดการระเบิดได้ง่ายขึ้นแม้ว่ามันจะรั่วออกมาในปริมาณที่ไม่มาก
รูปที่
๑๙ ส่วนหนึ่งของข้อความจากบทความของ
Coward
และ
Jones
ในส่วนผลของความชื้นในอากาศ
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอีกปัจจัยหนึ่งที่ในบทความมีการกล่าวถึงคือความเข้มข้นของออกซิเจนในอากาศ
โดยได้ยกตัวอย่างกรณีของแก๊สมีเทน
(ปัญหาสำคัญของการทำงานในเหมืองถ่านหินใต้ดิน)
โดยกล่าวว่าค่า
lower
limit นั้นแทบจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากความเข้มข้นออกซิเจนที่ลดลง
ในขณะที่ค่า upper
limit มีการลดลงมากกว่า
(รูปที่
๒๐)
รูปที่
๒๐ ส่วนหนึ่งของข้อความจากบทความของ
Coward
และ
Jones
ในส่วนผลของความเข้มข้นออกซิเจนในอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
(คือลดต่ำลง
แต่ยังอยู่ในระดับที่คนยังหายใจได้ปลอดภัย)
ผลการเปลี่ยนแปลงความดันที่มีต่อช่วง
flammability
limit คงต้องแยกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกคือการเปลี่ยนแปลงความดันเนื่องจากสภาพอากาศ
ที่ศูนย์กลางของหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง
(หรือพายุ)
นั้นความดันอากาศอาจลดต่ำกว่าปรกติได้ถึงประมาณ
0.1
bar
และในทางกลับกันที่ศูนย์กลางของหย่อมความกดอากาศสูงก็อาจสูงกว่าปรกติได้ถึงประมาณ
0.1
bar เช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงตรงนี้พบว่าไม่ส่งผลต่อค่า
flammability
limit เท่าใดนัก
รูปที่
๒๑ ส่วนหนึ่งของข้อความจากบทความของ
Coward
และ
Jones
ในส่วนผลของการเปลี่ยนแปลงความดัน
ความดันที่สูงขึ้นในกระบวนการผลิตส่งผลต่อช่วง
flammability
limit โดยเฉพาะค่า
upper
limit อย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งเรื่องนี้ได้ยกตัวอย่างไปแล้วในตอนที่
๑ ของเรื่องนี้ (ดู
"ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า flammability limit (๑)"
ฉบับวันศุกร์ที่
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐)
แต่ก็มีข้อยกเวันเหมือนกันในบางกรณีที่ช่วง flammability
limit นั้นแคบลง
ในส่วนของความดันที่ต่ำกว่าบรรยากาศนั้น
บทความของ Coward
และ
Jones
กล่าวว่ามีผลของความแรงของ
ignition
source ที่ใช้ในการจุดระเบิดไอผสมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
กล่าวคือถ้าหาก ignition
source มีความแรงที่ไม่เพียงพอก็จะไม่สามารถจุดระเบิดไอผสมได้
ทำให้คิดว่าไอผสมดังกล่าวไม่ได้อยู่ในช่วง
flammability
limit แต่ถ้าเปลี่ยน
ignition
source ให้แรงขึ้นกลับพบว่าสามารถจุดระเบิดไอผสมดังกล่าวได้
ปัจจัยถัดมาที่บทความของ
Coward
และ
Jones
กล่าวถึงคือผลของอุณหภูมิ
ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ยกตัวอย่างไปบ้างแล้วในตอนที่
๑ ของบทความชุดนี้
แต่โดยภาพรวมก็คือช่วง
flammability
limit จะกว้างขึ้น
(ค่า
lower
limit ลดลง
แต่คงไม่ได้มีขนาดมากเท่ากับค่า
upper
limit ที่เพิ่มขึ้นได้มากกว่า)
รูปที่
๒๒ ส่วนหนึ่งของข้อความจากบทความของ
Coward
และ
Jones
ในส่วนผลของอุณหภูมิ
ปิดท้ายของตอนที่
๓ นี้ด้วยเรื่องของความปั่นป่วน
(turbulence)
ตรงนี้ขอให้ลองพิจารณาไอเชื้อเพลิงกับอากาศที่อยู่ในท่อ
ที่อาจอยู่ในสภาพที่ (ก)
อยู่นิ่ง
ๆ ไม่มีการไหลเวียน หรือ (ข)
มีการไหลอย่างช้า
ๆ ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
หรือ (ค)
อยู่ในระบบปิด
แต่มีการทำให้เกิดการไหลหมุนเวียนอยู่ภายใน
(เช่นใช้ใบพัดทำให้เกิดการปั่นกวน)
ในส่วนนี้บทความได้ยกตัวอย่างกรณีของแก๊สธรรมชาติ
(หรือมีเทน)
และอีเทนว่า
ว่า ความปั่นป่วนในขนาดที่พอเหมาะสามารถทำให้ค่า
lower
limit ลดต่ำลงได้
(คือระเบิดได้ง่ายขึ้นที่ความเข้มข้นต่ำ)
รูปที่
๒๓ ผลของความปั่นปวน
(turbulance)
ที่มีต่อค่า
flammability
limit
ตอนถัดไปที่เป็นตอนที่
๔ จะกล่าวถึงผลของออกซิเจน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น