ที่ระยะ
๑๖.๑๕๐
กิโลเมตรจากสถานีรถไฟท่ากิเลนมุ่งหน้าไปยังสถานีสถานีรถไฟน้ำตก
หรือกึ่งกลางทางระหว่างสถานีรถไฟท่ากิเลนและสถานีรถไฟน้ำตก
เป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟวังโพ
อันที่จริงตรงนี้ก็เป็นที่ตั้งของอำเภอไทรโยค
จังหวัดกาญจนบุรี
แต่สถานีรถไฟประจำอำเภอกลับชื่อวังโพ
ไม่ได้ชื่อไทรโยค
รูปที่
๑ สถานีรถไฟวังโพ
มองไปในทิศทางมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟน้ำตก
ผมเคยผ่านไปแถวนอนเล่นที่รีสอร์ทแถวนั้นมาหลายครั้งแล้ว
แต่เพิ่งจะมีเมื่อวานที่มีโอกาสได้ลงไปเดินเล่นถ่ายรูปที่ตัวสถานี
ฝั่งตรงข้ามตัวที่ทำการสถานี
ด้านตะวันตกบนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังสถานีน้ำตก
ยังมีเศษซากประวัติศาสตร์การเดินรถไฟในสมัยรถจักรไอน้ำให้เห็นอยู่
ไม่ว่าจะเป็นแทงค์เก็บน้ำสำหรับเติมน้ำให้หัวรถจักร
เสาสำหรับเติมน้ำให้หัวรถจักร
และไม้ท่อนทั้งเล็กและใหญ่
ซึ่งจากที่เห็นคิดว่าคงเป็นกองปน
ๆ กันระหว่างไม้หมอนและไม้เสาต่าง
ๆ
ฝั่งด้านที่ทำการตัวสถานี
บนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังสถานีน้ำตกก็ยังมีอนุสรณ์บอกเล่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับทางรถไฟสายนี้เอาไว้
นั่นคือซากรถยนต์รางเลขที่
๒๕๑๒
ที่ประสบอุบัติเหตุจนทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในยุคนั้นคือ
ม.ล.
กรี
เดชาติวงศ์
ถึงแก่อนิจกรรมพร้อมกับเจ้าพนักงานรถไฟอีก
๑ นาย (ไม่มีการระบุชื่อ)
รายละเอียดเหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ลองอ่านเอาเองจากป้ายบอกเล่าที่ถ่ายมาให้ดูในรูปที่
๓
รูปที่
๒
ทางด้านตะวันตกของสถานี
มุ่งหน้าไปยังสถานีน้ำตก
ยังมีซากอนุสรณ์รถไฟสมัยเก่าให้เห็นอยู่
ไม่ว่าจะเป็นแทงค์เก็บน้ำ
(ทางซ้ายของรูป)
และเสาสำหรับเติมน้ำให้หัวรถจักรไอน้ำ
(ในกรอบสีเหลือง)
และกองท่อนไม้เก่า
เข้าใจว่าคงปน ๆ
กันอยู่ระหว่างไม้หมอนเก่ากับเสาไม้เก่า
ๆ
รูปที่
๓ ป้ายบอกประวัติรถยนต์รางเลขที่
๒๕๑๒ ป้ายนี้อยู่ฝั่งเดียวกันกับตัวที่ทำการสถานีรถไฟ
รูปที่
๔ รถยนต์รางเลขที่ ๒๕๑๒
คันที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อ
๖๕ ปีที่แล้ว ตอนนี้มีหญ้าและไม้เลื้อยขึ้นรอบ
ๆ เต็มไปหมด
สงสัยเป็นเพราะว่าช่วงที่ผ่านมานั้นมีฝนตกบ่อย
ไม้เหล่านี้ก็เลยขึ้นงอกงามดี
รูปที่
๕ อีกด้านหนึ่งของรถยนต์รางคันดังกล่าว
ลูกฟุตบอลที่นอนอยู่ใต้รางไม่ได้เป็นอุปกรณ์ประจำรถนะ
คงเป็นของเด็ก ๆ
แถวนั้นที่เตะฟุตบอลเล่นแล้วลืมเก็บมากกว่า
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน
พ.ศ.
๒๕๔๒
(แต่พิมพ์พ.ศ.
๒๕๔๖)
ไม่มีคำว่า
"ทราก"
มีแต่คำว่า
"ซาก"
คำนี้เป็นคำไทยคำหนึ่งที่มักพบว่ามีการเขียนผิดบ่อยครั้ง
(ดูบรรทัดสุดท้ายของป้ายในรูปที่
๓)
ที่สะกิดใจผมคือนามสกุลของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น
เพราะไปเหมือนกันกับชื่อสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์
"สะพานเดชาติวงศ์"
สะพานนี้มักจะตกเป็นข่าวทุกปีช่วงเทศกาล
เพราะจะเป็นจุดที่การจราจรจะติดหนักบนเส้นทางขึ้น-ล่องระหว่างภาคกลางและภาคเหนือ
ผมลองค้นข้อมูลผ่านทางคอมพิวเตอร์พบว่าข้อมูลเกี่ยวกับสะพานนี้มีความขัดแย้งกันอยู่
ไม่ว่าจะเป็นปีที่เริ่มก่อสร้างหรือปีที่เริ่มเปิดใช้
แต่ที่เห็นว่าน่าจะผิดแน่นอนก็คือมีบางเว็บบอกว่าสะพานดังเกล่าวเปิดใช้งานเมื่อปีพ.ศ.
๒๔๙๓
โดย "ม.ล.
กรี
เดชาติวงศ์ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมทางหลวงในสมัยนั้น"
ดังเช่นในเว็บของ
wikipedia
ที่เดี๋ยวนี้นักเรียนและใครต่อใครชอบเอาไปใช้ในการเขียนรายงานหรืออ้างอิงกัน
แต่เมื่อตรวจสอบกับแหล่งอื่นแล้ว
เช่นในเว็บของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
(www.cabinet.thaigov.go.th)
ซึ่งเป็นเว็บทางการของทางรัฐบาล
ได้ให้ข้อมูลว่าม.ล.
กรี
เดชาติวงศ์
ได้ถึงแก่อนิจกรรมเนื่องจากอุบัติเหตุรถยนต์รางเมื่อ
๓ ปี ๗ เดือนก่อนหน้านั้นแล้วคือในวันที่
๑ กุมภาพันธ์ ๒๒๙๐ (รูปที่
๗)
แสดงว่าข้อมูลใน
wikipedia
(ซึ่งใครก็ได้สามารถเข้าไปเขียนได้อย่างอิสระ)
ก็มีผิดพลาดอยู่เหมือนกัน
รูปที่
๖ ประวัติสะพานเดชาติวงศ์จากหน้าเว็บ
thai.en.wikipedia.org/wiki/สะพานเดชาติวงศ์
บอกว่าสะพานดังกล่าวเปิดใช้เมื่อวันที่
๑ กันยายน ๒๔๙๓ โดย ม.ล.
กรี
เดชาติวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวงในสมัยนั้น
(ตรงที่ตีเส้นประสีแดง)
ผมเองก็เข้าไปอ่านบทความในเว็บ
wikipedia
ที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่บ่อย
ๆ
และพบว่าในฉบับภาษาอังกฤษนั้นมักจะให้ข้อมูลเอาไว้ด้วยว่าข้อมูลที่เขาเอามานั้นอ้างอิงมาจากหนังสือเล่มใดหรือจากเว็บที่เป็นทางการของหน่วยงานใด
(เช่นจากหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทที่มีตัวตนจริงและมีการเผยแพร่ข้อมูลนั้นโดยตรง)
และถ้าข้อมูลใดถูกกล่าวขึ้นมาลอย
ๆ
เขาก็มักจะระบุด้วยว่าข้อมูลนั้นยังต้องการการอ้างอิงว่าเอามาจากแหล่งใด
ซึ่งแตกต่างจากของคนไทยอยู่
ที่พบว่าข้อมูลเดียวกัน
(ประเภทคัดลอกกันทุกคำพูด)
มีไปปรากฏในหลายเว็บโดยที่ไม่มีการบอกที่มาที่ไปว่าไปลอกมาจากไหน
รูปที่
๗ รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดที่
๑๗ ของประเทศไทยจากหน้าเว็บ
www.cabinet.thaigov.go.th/cab_17.htm
คัดลอกมาเมื่อวันเสาร์ที่
๗ เมษายน ๒๕๕๕ จะเห็นว่าระบุเอาไว้ว่า
ม.ล.
กรี
เดชาติวงศ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่
๑ กุมภาพันธ์พ.ศ.
๒๔๙๐
จากอุบัติเหตุรถพลัดตกจากสะพาน
(ในกรอบสีเหลือง)
การศึกษาของเรานั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์เท่าไรนัก
มักจะเป็นการให้แบบผิวเผิน
ฟังแล้วก็เชื่อต่อ ๆ
กันมาโดยไม่มีการตรวจสอบใด
ๆ ทั้งสิ้น และมักให้ความสนใจกับภาพรวมใหญ่
ๆ โดยไม่ค่อยให้ความสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าเป็น
"เกร็ดเล็ก
ๆ ทางประวัติศาสตร์"
เท่าไรนัก
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเกร็ดเหล่านั้นเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้ถูกยกยอปอปั้นหรือปรากฏเป็นข่าวในเหตุการณ์ที่ไม่ปรกติที่เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ
แต่ถ้าเขาเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของสิ่งเหล่านั้น
ผมเห็นว่าเขาเหล่านั้นก็ควรที่จะได้รับการบันทึกชื่อให้อยู่ร่วมกับประวัติศาสตร์ของสิ่งนั้นด้วย