วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

แผ่น Orifice และหน้าแปลนแบบ Raised face MO Memoir : Monday 30 January 2560

หลังจากที่อาจารย์ที่เป็นผู้สร้างโรงประลอง (pilot plant) เกษียณอายุไปได้หลายปีและไม่มีใครรับช่วงทำวิจัยงานด้านนี้ต่อ ทางภาควิชาก็เลยมีการรื้อโรงประลองดังกล่าวออกเพื่อนำพื้นที่มาใช้งานอย่างอื่น งานนี้ก็เลยได้โอกาสเข้าไปรื้อเศษซากอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เขาถอดออกมา เพื่อนำมาแยกชิ้นส่วนถ่ายรูปมาให้ดูกัน และชิ้นแรกที่ขอนำมาแสดงก็คือแผ่น orifice
 
การวัดอัตราการไหลของของไหล (แก๊สหรือของเหลว) ในท่อนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายเทคนิค และเทคนิคหนึ่งที่เห็นใช้กันมากในโรงงานอุตสากรรมทั่วไปคือการวัดผลต่างความดัน (pressure difference) ระหว่างสองตำแหน่งบนเส้นทางการไหล โดยทางด้านต้นทางนั้นจะมีความดันสูงกว่าทางด้านปลายทาง และค่าผลต่างความดันนี้จะเพิ่มตามอัตราการไหลที่สูงขึ้น ข้อดีของอุปกรณ์วัดพวกนี้คือตัวอุปกรณ์วัดเองนั้นไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนที่ ใช้งานได้กับระบบที่มีความดันและอุณหภูมิสูง
 
ในกรณีของท่อตรงนั้นเพื่อให้เห็นค่าผลต่างความดันได้ชัดเจน ระยะห่างระหว่างสองตำแหน่งที่ต้องวัดนั้นจะมากจนไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในทางปฏิบัติ การแก้ปัญหาดังกล่าวทำโดยการติดตั้งอุปกรณ์ที่มีการจำกัดพื้นที่หน้าตัดการไหลในท่อ แล้วทำการวัดการเปลี่ยนแปลงความดันเมื่อของไหลไหลผ่านอุปกรณ์นั้น อุปกรณ์จำกัดพื้นที่หน้าตัดการไหลที่ใช้กันมากที่สุดเห็นจะได้แก่แผ่นออริฟิส (orifice plate) ที่เป็นแผ่นโลหะสอดไว้ระหว่างหน้าแปลน โดยแผ่นโลหะดังกล่าวมีรูที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางภายในของท่อ รูปร่างและตำแหน่งของรูบนแผ่นโลหะขึ้นอยู่กับการออกแบบ แต่ที่พบเห็นมากที่สุดเห็นจะได้แก่เป็นรูกลมอยู่ตรงกลางแผ่น การวัดความดันจะวัดที่ตำแหน่งด้านหน้าและด้านหลังแผ่น orifice นี้ (ดังตัวอย่างในรูปที่ ๑)
 
รูปที่ ๑ ส่วนของท่อที่ทำการติดตั้งแผ่น orifice (ท่อแนวนอนด้านบน) และท่อที่ต่อเข้าอุปกรณ์วัดความดัน เพื่อแปลงค่าผลต่างความดันที่วัดได้เป็นค่าอัตราการไหลอีกที
 
อุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งได้แก่ท่อเวนจูรี (venturi tube) ที่มีลักษณะเป็นท่อตรงที่มีการลดขนาดเข้าตอนกลางก่อนบานออก การวัดความดันจะวัดที่ตำแหน่งก่อนเข้าส่วนที่มีการลดขนาด และตำแหน่งตรงจุดที่ท่อแคบที่สุด ท่อเวนจูรีจะใช้พื้นที่ในการติดตั้งมากกว่าแผ่น orifice แต่ก็มีข้อดีคือกรณีของของเหลวที่มีของแข็งไหลผสมอยู่ด้วยนั้น (ที่เรียกว่า slurry) ท่อเวนจูรีมันไม่มีตำแหน่งที่ของแข็งจะสะสมค้างอยู่ในตัวอุปกรณ์ ท่อเวนจูรีนี้จะพบเห็นไม่แพร่หลายเท่าแผ่น orifice
 
รูปที่ ๒ ชำเลืองดูตรงหน้าแปลน จะเห็นแผ่น orifice อยู่ตรงกลาง มีปะเก็นเทฟลอน (สีขาว) ประกบอยู่บนล่าง
 
รูปที่ ๓ นอตตัวเมียที่ใช้ยึดหน้าแปลนมีแหวนสปริง (spring washer) รองเข้าไว้ด้วย เพื่อป้องกันการคลายตัวของนอตตัวเมียอันอาจเกิดจากการสั่นสะเทือน หรือการยืดหดของโลหะอันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ถ้าเป็นแหวนรองแบบธรรมดาที่เป็นแผ่นโลหะกลมมีรูตรงกลาง ภาษาช่างบ้านเราเรียกแหวนอีแปะ (plain washer) ตัวนี้ใช้ในการช่วยกระจายแรงกดจากนอตตัวเมียลงไปบนพื้นผิว (เช่นพื้นผิวไม้) เพื่อไม่ให้พื้นผิวเกิดความเสียหายเวลาขันนอตตึงมาก ๆ
 
รูปที่ ๔ ถอดแผ่น orifice ออกมาแล้ว จะเห็นว่ารูของแผ่น orifice นี้มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับรูท่อ (ด้านขวา) ด้านนี้เป็นด้านหน้าของแผ่น (ด้านของไหลไหลเข้า)
 
รูปที่ ๕ อีกด้านหนึ่งของแผ่น orifice ในรูปที่ ๔ ผิวตรงรูด้านนี้มีลักษณะปาดเรียบเป็นรูปกรวยลงไปยังรู ด้านนี้เป็นด้านหลัง แต่ก็ไม่เสมอไปนะ แม้ว่ารูปส่วนใหญ่จะแสดงด้านผิวเรียบเป็นด้านหน้า แต่ก็มีผู้ผลิตบางรายเหมือนกันที่จำหน่ายแผ่น orifice ที่กำหนดให้ด้านที่มีการปาดผิวเป็นรูปกรวยนี้เป็นด้านหน้า ปรกติแล้วการติดตั้ง orifice เส้นผ่านศูนย์กลางท่อจะคงที่เข้ามาจนถึงตัวแผ่น orifice แต่ในกรณีนี้ดูเหมือนว่าจะใช้หน้าแปลนที่มีขนาดใหญ่กว่าท่อ เลยแก้ปัญหาด้วยการสอดท่อลึกเข้ามาในหน้าแปลนจนปลายท่อนั้นแนบกับผิวหน้าแผ่น orifice
 
รูปที่ ๖ ชำเลืองดูด้านในหน่อย จะเห็นรูที่เจาะทะลุด้านข้างหน้าแปลนเข้ามา รูนี้มีทั้งที่หน้าแปลนด้านหน้าและด้านหลังแผ่น orifice มีไว้สำหรับต่อเข้าอุปกรณ์วัดความดัน เพื่อวัดความดันคร่อมแผ่น orifice และใช้ค่าความดันคร่อมที่วัดได้นี้แปลงเป็นค่าอัตราการไหลอีกที
 
รูปที่ ๗ ไหน ๆ ก็เอ่ยถึงหน้าแปลนที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า flange แล้ว (คำนี้มีการออกเสียงอยู่สองแบบนะ แบบอังกฤษอยู่เกาะออกเสียงแบบหนึ่ง แบบอเมริกันออกเสียงอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนกัน ดังนั้นอย่าไปด่วนสรุปว่าคนที่ออกเสียงไม่เหมือนเรานั้นออกเสียงผิดนะ) ก็เลยขอแนะนำให้รู้จักหน้าแปลนแบบ raised face คือผิวหน้าตรงที่ประกบกันจะนูนขึ้นมาเล็กน้อย ตัวปะเก็นจะมีขนาดเพียงแค่พื้นผิววงแหวนที่ยกตัวสูงขึ้นมาเท่านั้น หน้าแปลนท่อรับความดันจะเป็นแบบนี้

รูปที่ ๘ อันนี้เป็นหน้าแปลนแบบผิวเรียบ (flat face) ใช้สำหรับงานที่ไม่ได้รับความดันทั่วไป ตัวปะเก็นเองนั้นอาจจะมีแผ่นใหญ่เท่ากับหน้าแปลนเลยก็ได้ โดยมีรูตรงกับรูสำหรับร้อยนอต ถ้าเป็นระบบที่รับความดันสูงขึ้นไปอีกจะใช้หน้าแปลนแบบ raised face ในรูปที่ ๗ เพราะเมื่อขันนอตตึงเท่ากัน หน้าแปลนแบบ raised face จะให้แรงกดมากกว่า (เพราะพื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างหน้าแปลนมันน้อยกว่า แต่ถ้าเป็นระบบที่ใช้ความดันสูงขึ้นไปอีก จะไปใช้หน้าแปลนอีกแบบรูปร่างคล้าย ๆ แบบ raised face แต่มีร่องรูปวงแหวนบนผิวหน้า (แบบ ring type flange) ที่เอาไว้วางแหวนที่ทำจากโลหะอ่อนเป็นตัวป้องกันการรั่วซึม (ring joint gasket) หน้าแปลนแบบหลังสุดนี้เคยเห็นใช้กับระบบท่อ rating 1500

การติดตั้งแผ่น orifice นั้น พื้นที่หน้าตัดการไหลของท่อก่อนเข้าถึงแผ่น orifice จะต้องคงที่มาจนถึงผิวหน้า orifice (ถ้าใช้หน้าแปลนแบบ welded neck ก็ต้องเจียรผิวรอยเชื่อมด้านในให้เรียบเสมอผิวท่อด้วย) แต่ตัวอย่างที่นำมาให้ดูนี้ดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องการหาหน้าแปลนติดตั้งแผ่น orifice ที่มีขนาดเล็กพอดีกับท่อ ผู้ติดตั้งก็เลยใช้วิธีการสอดปลายท่อให้ลึกเข้ามาในหน้าแปลนจนมาแนบกับผิวหน้าแผ่น orifice ทั้งสองด้านแทน วิธีการนี้ส่งผลต่อการวัดหรือไม่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่เคยได้ยินว่ามีการทำกันมาก่อน และก็ไม่ทราบด้วยว่าช่วงที่เขาทำการใช้โรงประลองนั้นมีปัญหาอะไรบ้างหรือไม่
 
และไหน ๆ ก็ต้องรื้อหน้าแปลนเพื่อเอาแผ่น orifice มาถ่ายรูปแล้ว ก็เลยขอแนะนำให้รู้จักกันหน้าแปลนชนิด raised face ด้วยเลย หน้าแปลนชนิดนี้พบเห็นได้ทั่วไปในโรงงานอุตสาหกรรม ข้อดีของมันคือด้วยพื้นที่ผิวสัมผัสที่เล็กกว่าหน้าแปลนแบบ flat face จึงทำให้เมื่อขันนอตตึงเท่ากัน แรงกดที่หน้าแปลน raised face จะสูงกว่า จึงเหมาะกับระบบที่ทำงานที่ความดันและอุณหภูมิที่สูงกว่า

หวังว่าผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษา หรือผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องปฏิบัติการตั้งแต่เรียนตรียันเอก ที่ได้มาอ่านบทความฉบับนี้เข้า คงมีความรู้พื้นฐานทั่วไปภาคปฏิบัติทางด้านงานช่างเพิ่มขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย

ไม่มีความคิดเห็น: