"เราเป็นเมืองน้ำครับ
เราเป็นเมืองฝนครับ
ไม่มีจุดเสี่ยงเลยเป็นไปไม่ได้ครับ
ถ้าอยากไม่มีจุดเสี่ยงเรื่องน้ำท่วม
ไปอยู่บนดอยครับ ต้องอยู่บนดอยครับ"
ข้างบนเป็นข้อความที่ผมถอดเสียงมาจากบทสัมภาษณ์ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ที่ให้สัมภาษณ์หลังมีฝนตกใหญ่ในกรุงเทพมหานคร
เกิดน้ำท่วมขัง
เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
และเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนเช้าวันจันทร์
ก็มีฝนตกหนักจนน้ำท่วมขังอีก
จนมีคนจำนวนไม่น้อยด่าผู้ราชการกรุงเทพเสียยกใหญ่
มีการยกเอาบทสัมภาษณ์ดังกล่าวขึ้นมาอีก
แต่ที่น่าสนใจก็คือ
เวลามีฝนตกหนักที่ไร
ฝั่งที่มีปัญหาน้ำท่วมขังเป็นประจำคือกรุงเทพฝั่งตะวันออก
คนที่อยู่ทางฝั่งธนบุรี
(หรือกรุงเทพฝั่งตะวันตก)
มักไม่มีปัญหานี้
แผนที่ที่แนบท้ายมาคือ
"แผนที่แสดงแนวคันกั้นน้ำและระดับพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล"
จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร
(ดาวน์โหลดได้ที่
http://www.rtsd.mi.th/index.php?option=com_content&view=article&id=169)
จัดทำขึ้นเมื่อปีพ.ศ.
๒๕๕๔
เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
แผนที่นี้แสดงระดับความสูงของพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่าสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเท่าใด
ยิ่งสีฟ้าเข้มมากขึ้นก็อยู่ใกล้กับระดับน้ำทะเลมากขึ้น
และถ้าเป็นสีน้ำเงินไปเลยก็แสดงว่าต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
ถ้าไล่มาทางสีเขียวอ่อน
เขียวแก่ เหลือง น้ำตาล
ก็จะสูงจากระดับน้ำทะเลมากขึ้น
แผนที่ดังกล่าวครอบคลุมจากแม่น้ำท่าจีน
(ทางด้านซ้าย)
ไปจนจรดแม่น้ำบางปะกง
(ทางด้านขวา)
เป็นธรรมชาติที่น้ำจะไหลจากที่สูงไปยังที่ต่ำ
และสำหรับน้ำบนพื้นผิวแล้ว
ที่ต่ำที่สุดก็คือระดับน้ำทะเล
ดังนั้นพื้นที่ในเขตภาคกลาง
เวลาที่ฝนตกลงมา
น้ำจากผิวดินก็จะไหลลงไปยังคลอง
น้ำในคลองก็จะไหลลงสู่แม่น้ำ
และน้ำในแม่น้ำก็จะไหลลงสู่ทะเล
แต่ถ้าเป็นบริเวณตัวเมืองนั้น
น้ำฝนที่ตกลงมาก็จะไหลลงสู่ท่อระบายน้ำก่อน
(ซึ่งอยู่ต่ำกว่าะระดับผิวดิน)
จากนั้นน้ำในท่อระบายน้ำก็จะไหลลงสู่คลอง
(ถ้าระดับน้ำในคลองต่ำกว่าระดับท่อ)
อีกทีหนึ่ง
ในบริเวณที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำเช่นกรุงเทพมหานครและนนทบุรีนั้น
น้ำในแม่น้ำจะไหลสู่ทะเลได้ดีในช่วงเวลาน้ำลง
แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาน้ำขึ้น
ถ้าระดับน้ำในแม่น้ำนั้นยังสูงกว่าระดับน้ำทะเลที่ขึ้นสูง
น้ำในแม่น้ำก็จะยังไหลลงสู่ทะเลได้อยู่
แต่จะไหลได้ช้าลง
แต่ถ้าเป็นหน้าแล้งที่น้ำในแม่น้ำมีน้อย
น้ำทะเลจะไหลย้อนเข้ามาในแม่น้ำ
และไหลย้อนเข้าไปในคลองต่าง
ๆ ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำนั้นได้
ในช่วงหน้าแล้ง
ระดับน้ำทะเลขึ้นลงจะอยู่ในช่วงประมาณ
-๐.๔๐
ถึง +๑.๔๐
เมตร (เครื่องหมาย
"-"
คือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง
เครื่องหมาย "+"
คือสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง
ตัวเลขที่ให้เป็นตัวเลขที่ผมประมาณจากข่าวพยากรณ์อากาศที่ฟังทางวิทยุตอนเช้า
ใครอยากได้ข้อมูลที่ถูกต้องก็ลองไปค้นจากเว็บของ
กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือก็แล้วกัน)
และในช่วงฤดูน้ำหลากที่มักจะตรงกับช่วงน้ำทะเลหนุนสูงด้วยนั้น
ระดับน้ำขึ้นสูงสุดอาจสูงถึงระดับ
๒ เมตร ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงเกินกว่าระดับ
๒ เมตรขึ้นไปอีก
คิดเล่น
ๆ แบบง่าย ๆ ก่อนนะครับ
ถ้าเราตีซะว่าระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยานั้นอยู่ที่ระดับ
๑ เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง
ดังนั้นระดับน้ำในคลองต่าง
ๆ ที่เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา
(ถ้าไม่มีการใช้ประตูน้ำควบคุมระดับ)
ก็จะอยู่ที่ระดับเดียวกับระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย
(คือ
๑ เมตร)
ทีนี้ถ้าเกิดฝนตกหนักลงมา
น้ำจากผิวดินก็จะไหลลงท่อระบายน้ำ
และไหลออกสู่คลองอีกที
ถ้าว่ากันตามนี้
พื้นที่ที่จะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมก็เห็นจะได้แก่พื้นที่ที่ระดับพื้นดินสูงกว่า
๑ เมตร ซึ่งก็คือพื้นที่ที่ไม่ใช่สีฟ้าหรือสีน้ำเงินในแผนที่
แต่กรุงเทพมหานครมีระบบประตูระบายน้ำ
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือทำการพร่องน้ำในคลองให้มันต่ำลง
(เช่นอาจปิดประตูกั้นน้ำที่ปากคลอง
แล้วใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกจากคลอง
(ที่มีระดับน้ำต่ำกว่าระดับน้ำในแม่น้ำ)
ออกสู่แม่น้ำอีกที)
ดังนั้นพื้นที่ที่มีระดับความสูงต่ำกว่าระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำ
ก็ยังสามารถระบายน้ำลงสู่คลองได้
ด้วยการทำให้ระดับน้ำในคลองมันต่ำกว่าระดับท่อระบายน้ำ
ดังนั้นถ้าระบบระบายน้ำลงท่อและ/หรือตัวท่อเองไม่อุดตัน
น้ำก็จะไหลลงคลองได้ดี
และถ้าฝนไม่ "ตกหนักมากเกินไป"
จนเกินกว่าความสามารถของระบบท่อระบายน้ำและเครื่องสูบน้ำจะรองรับได้
ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมขัง
ปริมาตรน้ำที่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำสูบระบายออกไปนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนที่ตก
ขนาดพื้นที่ที่ฝนตก
และระดับความสูงของพื้นดินที่มีฝนตก
ถ้าฝนตกหนักมากและกินบริเวณกว้าง
และขนาดพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำในแม่น้ำมีบริเวณกว้าง
ปริมาตรน้ำที่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำระบายออกก็จะมีมากตามไปด้วย
ทีนี้ถ้าเราลองไปพิจารณาแผนที่ระดับชั้นความสูงของกรุงเทพมหานคร
และตีคร่าว ๆ
ว่าพื้นที่ที่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำในการระบายน้ำฝนออกนั้นคือพื้นที่ที่มีระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง
"ไม่เกิน
๑ เมตร"
หรือพื้นที่ที่เป็นบริเวณสีฟ้าและสีน้ำเงินทั้งหมด
ก็คงจะมองเห็นภาพแล้วนะครับว่าพื้นที่ที่น่าจะมีปัญหาในการระบายน้ำนั้นมันมีขนาดเท่าใด
และพื้นที่ที่น่าจะมีปัญหามากในการระบายน้ำ
(บริเวณพื้นที่ที่มีสีฟ้าเข้มและสีน้ำเงินอยู่มาก)
นั้นอยู่ที่บริเวณใด
นั่นก็คือพื้นที่
"กรุงเทพฝั่งตะวันออกเกือบทั้งหมด"
สวนผลไม้จะอยู่ทางฝั่งธนบุรีและนนทบุรี
ส่วนนาข้าวจะอยู่ทางฝั่งกรุงเทพมหานคร
คนทำสวนนั้นจะปลูกไม้ยืนต้น
และไม้ยืนต้นนั้นมันไม่ทนน้ำท่วมนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
ในขณะที่ต้นข้าวนั้น
ถ้าเป็นพันธ์ข้าวป่าเดิม
ต่อให้น้ำท่วมสูง ๒-๓
เมตรมันก็อยู่ได้
ดังนั้นคนทำสวนจึงมักจะทำในพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมขังนาน
แต่คนทำนาข้าวต้องการพื้นที่ที่มีน้ำเยอะและท่วมขังได้นาน
วิธีชีวิตของคนโบราณนั้นเขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ
ประกอบอาชีพที่เข้ากับธรรมชาติของพื้นที่ที่เขาพักอาศัย
คนทำสวนแบบดั้งเดิมที่ปลูกต้นไม้หลายชนิดจะมีของออกขายได้ทั้งปี
แต่คนทำนานั้นจะมีข้าวขายตามฤดูกาล
แต่เมื่อวิถีชีวิตการทำงานของคนเปลี่ยนไป
สภาพสังคมเปลี่ยนไป
การตั้งหลักแหล่งตั้งชุมชนนั้นอาศัย
"ราคาที่ดิน"
เป็นตัวกำหนด
บริเวณไหนที่มีราคาถูกก็มีไปซื้อและสร้างหมู่บ้านอยู่อาศัยกัน
และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้นขยายตัวออกไปมากทางด้านตะวันออก
ในขณะที่พื้นที่ทางด้านตะวันตกเพิ่งจะมีการขยายตัวกันไม่นานนี้เอง
เพราะพื้นที่ทางด้านตะวันออกมีการขยายตัวไปจนจะอิ่มตัวอยู่แล้ว
แผนการสร้างอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมขังหลังฝนตกของกรุงเทพนั้นอยู่ทางฝั่งตะวันออกทั้งสิ้น
ทางฝั่งธนบุรี (หรือกรุงเทพฝั่งตะวันตก)
นั้นกลับได้รับการพิจารณาว่าไม่จำเป็น
ทั้งนี้เพราะด้วยสาเหตุใดก็ขอให้พิจารณาแผนที่ที่แนบมาเอาเองก็แล้ว
คำตอบมันอยู่ในน้ำอยู่แล้ว
"ชีวิตสมบูรณ์แบบ"
ชนิดที่เรียกว่าอะไรไม่ได้ดังใจแม้แต่เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ต้องด่าเอาไว้ก่อนดูเหมือนจะเป็นอาการที่ฝังอยู่ในความคิดของคนกรุงเทพจำนวนไม่น้อย
บางเรื่องนั้นเราอาจไม่สามารถป้องกันไม่ให้ไม่เกิดเลยไม่ได้
เพียงแต่ถ้ามันรุนแรงจนเกินความสามารถของระบบป้องกันที่จะป้องกันไม่ให้เกิดได้
ก็ต้องหาทางลดระยะเวลาที่ความเสียหายนั้นจะคงอยู่
ระบบระบายน้ำปัจจุบันของกรุงเทพก็เป็นเช่นนั้น
แต่เดิมนั้นท่วมขังกันเป็นวันครับ
ไม่ใช่ไม่กี่ชั่วโมงเหมือนเช่นปัจจุบัน
และการจะทำไม่ให้มันเกิดเลยก็ทำได้
แต่นั่นก็หมายถึงงบประมาณที่เพิ่มขึ้นในการก่อสร้าง
และใครจะเป็นคนจ่ายค่าบำรุงรักษาให้พร้อมที่จะใช้งานตลอดเวลา
ต้องการโน่นต้องการนี่
ก็อย่าลืมถามด้วยนะครับว่าเอาเงินใครมาจ่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น