ตอนที่พาลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลนั้น
ทางครูโรงเรียนอนุบาลก็อธิบายให้ทราบก่อนว่าที่โรงเรียนแห่งนี้จะไม่เน้นหนักในด้านวิชาการ
แต่จะเน้นหนักในด้านการพัฒนาการ
ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย
(การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก
กล้ามเนื้อมัดใหญ่)
ด้านสมอง
(ให้รู้จักคิด
สังเกต และสร้างสรร)
จะใช้วิธีการให้เด็กสนุกสนานไปกับการเรียน
เห็นการเรียนเป็นการเล่นสนุก
ผลที่ออกมาก็คือพอจบอนุบาลเข้าเรียนประถม
๑ ลูกผมยังอ่านหนังสือได้เป็นคำ
ๆ ได้แต่คำง่าย ๆ
ผลการทดสอบด้านคณิตศาสตร์และภาษาไทยออกมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กที่เข้าเรียนรุ่นเดียวกัน
มีแต่คะแนนความพร้อมเท่านั้นที่อยู่ในเกณฑ์สูง
ในขณะที่เด็กที่เรียนอนุบาลมาจากโรงเรียนที่เน้นด้านวิชาการสามารถอ่านหนังสือเป็นเล่มได้
แต่ทางครูประจำชั้นบอกว่าไม่ต้องกังวล
เดี๋ยวก็ไล่ทันเอง
และพอขึ้นภาคการศึกษาที่
๒
ลูกผมก็สามารถอ่านหนังสือไล่ทันเด็กรุ่นเดียวกันที่อ่านได้ตั้งแต่เรียนอนุบาล
แต่ในวิชาศิลปลูกผมไปได้สบาย
ไม่ว่าจะเป็นการวาดหรือการประดิษฐ์สิ่งของ
บังเอิญมีโอกาสได้คุยกับผู้ปกครองรายหนึ่งที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนอนุบาลที่เน้นด้านวิชาการ
เขาบ่นให้ฟังว่าลูกเขามีปัญหาเรื่องวิชาศิลป
เรียกว่าทำออกมาไม่ได้เรื่องจนทางบ้านต้องส่งไปเรียนพิเศษ
ตรงนี้ผมคิดเอาเองนะว่าคงเป็นเพราะว่าลูกของเขาเรียนมาโดยเน้นไปที่การอ่าน
หรือการคิดเลข ไม่ได้ฝึกให้ใช้กล้ามเนื้อ
โดยเฉพาะมือ ในการทำงานต่าง
ๆ ผลที่ออกมาคือพอต้องทำงานประดิษฐ์ที่ต้องการความปราณีต
ก็เลยมีปัญหา
รูปที่
๑ (ซ้าย)
การบีบลูกยางที่เห็นนิสิตส่วนใหญ่ทำกัน
คือใช้นิ้วก้อย นิ้วนาง
นิ้วกลางและนิ้วชี้ บีบลูกยาง
แต่วิธีที่พวกผมเรียนกันมาและพบว่าควบคุมการปล่อยอากาศได้ดีกว่าคือการใช้นิ้วโป้งบีบและค่อย
ๆ ปล่อย (ขวา)
ที่ยกเรื่องดังกล่าวมาเล่าก็เพราะสังเกตมาหลายปีแล้ว
พบว่าเวลาใช้ปิเปตนั้นนิสิตส่วนใหญ่จะนิยมใช้อุ้งมือกับนิ้วมืออีกสี่นิ้ว
(คือไม่ใช่นิ้วหัวแม่มือ)
ในการบีบลูกยางและควบคุมการปล่อยอากาศ
และจะใช้นิ้วหัวแม่มืออุดรูด้านบนเมื่อถอนลูกยางออกไป
แต่ก่อนผมเรียนทำแลปเคมี
อาจารย์ก็จะสอนให้ใช้นิ้วหัวแม่มือบีบลูกยาง
และใช้นิ้วชี้อุดรูด้านบนของปิเปต
ทั้งนี้ก็เพราะเราสามารถควบคุมการปล่อยลมด้วยนิ้วหัวแม่มือเพียงนิ้วเดียวได้ดีกว่าการใช้อุ้งมือและนิ้วอีกสี่นิ้ว
แต่ในการเปิดรูด้านบนของปิเปตเพื่อปรับระดับของเหลวในปิเปตนั้น
การใช้นิ้วชี้จะทำได้ดีกว่าเพราะให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีกว่านิ้วหัวแม่มือ
จะสามารถควบคุมการปรับระดับของเหลวได้ดีกว่า
แต่พอแนะนำให้นิสิตทำตามเขาตอบกลับมาว่าทำแบบที่ผมแนะนำนั้นเขาไม่ถนัด
เขาถนัดที่จะทำตามแบบเดิมของเขามากกว่า
ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาไม่ถนัดจริง
ๆ หรือเป็นข้ออ้างที่จะทำตามความเคยชิน
สัปดาห์นี้เป็นการทดลองเรื่องการไทเทรตวัดความกระด้างของน้ำและการไทเทรตกรดกำมะถัน
โดยเริ่มการเรียนครั้งแรกเมื่อวาน
การหาความกระด้างของน้ำนั้นจะทำการไทเทรตโดยการใช้สารละลาย
Ethylene
diamine tetra acetic acid หรือที่เรียกย่อ
ๆ กันว่า EDTA
การทดลองนี้เปรียบเสมือนการไทเทรตกรด-เบส
โดยไอออนบวกของโลหะทำหน้าที่เสมือนเป็น
Lewis
acid (รับคู่อิเล็กตรอน)
และโมเลกุล
EDTA
ทำหน้าที่เสมือนเป็น
Lewis
base (จ่ายคู่อิเล็กตรอน
ที่มีอยู่ ณ ตำแหน่งหมู่
amine
(อะตอมไนโตรเจน)
และหมู่คาร์บอกซิล)
ก่อนการทดลองนั้นนิสิตจะต้องทำการไทเทรตหาความเข้มข้นที่แน่นอนของสารละลาย
EDTA
ก่อน
โดยต้องเตรียมสารละลายมาตรฐานปฐมภูมิ
CaCO3
การเตรียมสารละลายมาตรฐาน
CaCO3
ทำได้โดยการชั่ง
CaCO3
ให้ทราบน้ำหนักที่แน่นอน
จากนั้นทำการละลายด้วยสารละลายกรด
HCl
( CaCO3 ละลายน้ำยาก
ต้องใช้กรด HCl
ช่วยก่อน)
แล้วจึงใช้น้ำกลั่นปรับให้ได้ปริมาตรที่ต้องการ
อันที่จริงผมเคยเขียนเรื่องการเตรียมสารละลายด้วยขวดวัดปริมาตรไว้ใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๐๒ วันอาทิตย์ที่
๑๗ มกราคม ๒๕๕๓ เรื่อง
"การเตรียมสารละลายด้วยขวดวัดปริมาตร"
แต่บังเอิญไม่ได้เอามาเป็นรายการให้พวกเขาดาวน์โหลด
ก็เลยคิดว่าคงไม่มีใครเข้าไปอ่าน
และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแวะมาอ่านบทความนี้กันหรือเปล่า
จะได้รู้ว่าวิธีการที่ถูกเหมาะสมนั้นควรทำอย่างไร
ในการทดลองเมื่อวานผมยืนดูนิสิตกลุ่มหนึ่งกำลังพยายามปรับปริมาตรน้ำในขวดวัดปริมาตรเพื่อเตรียมสารละลาย
CaCO3
เข้มข้น
0.01
mol/l โดยใช้
"น้ำกลั่น"
ที่บีบจาก
"ขวดน้ำกลั่น"
เติมลงไปในขวดวัดปริมาตร
ผมยืนดูเขาอยู่เงียบ ๆ
แล้วเขาก็หันมาถามผมว่า
ทำไมน้ำกระด้างจึงมีฟองเยอะจัง
ผมก็ไม่ว่าอะไร
ปล่อยให้เขาทำการเติม
"น้ำกลั่น"
ต่อไป
และก็ถ่ายรูปการเติม "น้ำกลั่น"
ของเขามาให้ดูกัน
(รูปที่
๒ ซ้าย)
พอถ่ายรูปเสร็จผมก็บอกเขาว่า
มันจะไม่มีฟองได้อย่างไร
ก็ในเมื่อน้ำที่คุณเติมลงไปในขวดวัดปริมาตรนั้นมัน
"ไม่ใช่
น้ำกลั่น"
แต่เป็น
"น้ำยาล้างจาน"
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิด
ก่อนหน้านั้นหลายปีแล้วเกิดในระหว่างการทดลองการไทเทรตกรด-เบส
ระหว่างที่เดินตรวจความเรียบร้อยในการทำการทดลองของนิสิตนั้น
ก็สังเกตุเห็นว่าทำไมตัวอย่างในฟลาสค์ของนิสิตกลุ่มหนึ่งนั้นมีฟองเยอะจัง
พอยืนดูอยู่สักพักก็เข้าใจ
เพราะนิสิตคนที่กำลังทำการทดลองอยู่นั้นหยิบเอาขวดน้ำยาล้างจานมาฉีดชะสารที่หยดลงมาจากบิวเรต
รูปที่
๒ (ซ้าย)
ขณะที่นิสิตกลุ่มหนึ่งพยายามเติม
"น้ำกลั่น"
เพื่อปรับปริมาตรในขวดวัดปริมาตร
(ขวา)
ขวดซ้ายคือขวดน้ำยาล้างจาน
ส่วนขวดขวาคือขวดน้ำกลั่น
สาเหตุที่ทำให้นิสิตทำผิดพลาดส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของห้องแลปเอง
ตอนนั้นมีการนำขวดน้ำกลั่นเก่า
ๆ มาใช้บรรจุน้ำยาล้างจาน
(เราซื้อมาเป็นถังใหญ่
แล้วนำมาเจือจางด้วยน้ำและบรรจุในขวดน้ำกลั่นเก่า
ๆ วางไว้ตามอ่างล้างเครื่องแก้วต่าง
ๆ)
ตอนนั้นยังไม่ได้ทำการตัดเอาสายยางที่จุ่มลงไปยังก้นขวดและที่โผล่ยื่นออกมาจากปากขวดทิ้งไป
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวจึงได้ทำการตัดสายยางที่จุ่มลงไปยังก้นขวดและที่โผล่ยื่นออกมาจากปากขวดออกไป
ก็กลายเป็นขวดสีเก่า ๆ
ที่แสดงในรูปที่ ๒ (ขวา)
หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก
(หรือผมไม่ทันสังเกตเห็นก็ไม่รู้)
จนกระทั่งเมื่อวานนี้
อันที่จริงถ้าเขาสังเกตสักนิดก็จะเห็นว่าของเหลวที่อยู่ในขวดนั้นมันมีฟองแต่ต้นแล้ว
และการใช้ขวดดังกล่าวก็ต้องใช้วิธีคว่ำขวดลง
ไม่สามารถบีบให้ของเหลวในขวดไหลออกมาในขณะทีขวดวางตั้งอยู่ได้
วันพรุ่งนี้คงต้องคอยลุ้นต่อว่าจะได้เห็นอะไรแปลก
ๆ อีกไหม :)