เนื้อหาในเอกสารชุดพื้นฐานการทำปฏิกิริยาบนตัวเร่งปฏิกิริยาวิธพันธ์นี้
เป็นการนำเอาเนื้อหาเอกสารคำสอนวิชา
2105-445
Catalyst Reaction Engineering Fundamental
ซึ่งเป็นวิชาเลือกสำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี
สาขาวิศวกรรมเคมี
มาทำการตัดเป็นตอนสั้น ๆ
พร้อมทั้งทำการแก้ไขปรับปรุง
เพื่อไม่ให้แต่ละเรื่องยาวเกินไปและเหมาะสมที่จะนำลง
blog
เป็นตอนสั้น
ๆ ต่อเนื่อง
ที่เอามาแจกพวกคุณกันใหม่ก็เพื่อเป็นการทบทวนพื้นฐานสำหรับการเตรียมการสอบวิทยานิพนธ์
เพราะการเข้าใจพื้นฐานเรื่องที่นำเสนอนั้นจะเป็นตัวบอกให้ทราบว่าการทำวิทยานิพนธ์นั้นเป็นการทำแบบที่เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
หรือทำเพียงแค่เป็นลูกมือทำตามคำสั่งที่อาจารย์บอก
ประเภทหลังนี้พอเจอคำถามพื้น
ๆ ในห้องสอบก็ตอบอะไรไม่ได้
ตอบได้เพียงแต่ทำตามรุ่นพี่บ้าง
paper
เขาว่าอย่างนั้นบ้าง
โดยไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือชี้ลงไปได้ว่างานก่อนหน้าที่ผ่านมานั้นมันถูกต้องหรือไม่
นี่ก็เกริ่นนำมามากพอแล้ว
ย่อหน้าต่อไปคงต้องขึ้นเนื้อหาสักที
การเกิดปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น
มีกฎเกณฑ์ที่สำคัญคือสารตั้งต้นอย่างน้อยหนึ่งชนิดจะต้องถูกดูดซับบนพื้นผิวของตัวเร่งปฏิกิริยาก่อน
ดังนั้นการทำความเข้าใจกลไกและความสามารถในการดูดซับจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการศึกษาปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในที่นี้จะขอเริ่มจากการยกตัวอย่างปฏิกิริยาสมมุติที่มีสารตั้งต้นเพียงโมเลกุลเดียวก่อน
โดยในการเกิดปฏิกิริยานั้นจะต้องมีกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
7
ขั้นตอน
(ดูรูปที่
๑ ประกอบ)
ดังนี้
ขั้นตอนที่
1
การแพร่ของสารตั้งต้นจากของไหลผ่านชั้นฟิล์มมายังพื้นผิวด้านนอกของอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยา
ขั้นตอนที่
2
การแพร่ของสารตั้งต้นจากพื้นผิวด้านนอกของอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าไปในรูพรุน
ขั้นตอนที่
3
การดูดซับของสารตั้งต้นบนตำแหน่งที่ว่องไวในการทำปฏิกิริยา
(active
site)
ขั้นตอนที่
4
การเกิดปฏิกิริยาบนตำแหน่งที่ว่องไว
ขั้นตอนที่
5
การคายซับผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นออกจากตำแหน่งที่ว่องไวในการทำปฏิกิริยา
ขั้นตอนที่
6
การแพร่ของผลิตภัณฑ์จากภายในรูพรุนออกมายังพื้นผิวด้านนอกของอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยา
ขั้นตอนที่
7
การแพร่ของผลิตภัณฑ์จากพื้นผิวด้านนอกของอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาผ่านชั้นฟิลม์กลับไปยังของไหลที่ไหลผ่านรอบตัวเร่งปฏิกิริยา
ขั้นตอนที่
3
4 และ
5
เป็นขั้นตอนที่มีการเกิดปฏิกิริยาเคมี
และอาจกล่าวได้ว่าเป็นขั้นตอนที่
"ต้องมี"
ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีด้วยตัวเร่งปฏิกิริยา
ส่วนขั้นตอนที่
1,
2, 6 และ
7
นั้นเป็นขั้นตอนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
เป็นเพียงแค่ขั้นตอนของการแพร่ของสาร
รูปที่
1
กลไกการเกิดปฏิกิริยาของตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์
การที่ต้องแยกขั้นตอนการแพร่จากของไหลไปยังพื้นผิวด้านนอก
และการแพร่เข้าไปในรูพรุนออกเป็นขั้นตอนที่
1
และ
2
และแยกขั้นตอนการแพร่ออกจากรูพรุนไปยังพื้นผิวด้านนอกของตัวเร่งปฏิกิริยา
และจากพื้นผิวด้านนอกกลับไปยังของไหลที่ไหลผ่านเป็นขั้นตอนที่
6
และ
7
นั้นเป็นเพราะ
ขั้นตอนที่ 1
และ
7
เป็นการแพร่อยู่ด้านนอกรูพรุนของตัวเร่งปฏิกิริยา
การแพร่ในขั้นตอนนี้จึงขึ้นอยู่กับความหนาของชั้นฟิล์มของของไหล
(ของเหลวหรือแก๊ส)
ที่อยู่รอบ
ๆ อนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยา
ซึ่งความหนาของชั้นฟิล์มของไหลนี้จะขึ้นอยู่กับอัตราการไหลของของไหล
ถ้าของไหลไหลผ่านตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยอัตราเร็วที่สูง
ชั้นฟิล์มที่ห่อหุ้มอยู่นี้ก็จะหายไป
ทำให้ถือได้ว่าการแพร่ในขั้นตอนที่
1
และ
7
ไม่มี
แต่ถ้าของไหลไหลช้า
ชั้นฟิล์มที่หุ้มอยู่ก็จะมีความหนามาก
ทำให้สารตั้งต้นแพร่เข้าไปยังพื้นผิวของตัวเร่งปฏิกิริยาได้ลำบากปฏิกิริยาจะเกิดน้อยลง
ตัวเร่งปฏิกิริยาจะถูกใช้งานไม่เต็มความสามารถ
ส่วนการแพร่ในขั้นตอนที่
2
และ
6
นั้นขึ้นอยู่กับรูปร่างและขนาดโมเลกุลของสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์
และขนาดและรูปร่างของรูพรุนที่โมเลกุลสารตั้งต้นจะแพร่เข้าไปหรือผลิตภัณฑ์จะแพร่ออกมา
การแพร่ในขั้นตอนเหล่านี้ไม่ขึ้นอยู่กับอัตราการไหลของของไหลที่ไหลผ่านอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยา
ถ้าหากอนุภาคของตัวเร่งปฏิกิริยามีขนาดใหญ่
โอกาสที่สารตั้งต้นจะแพร่เข้าไปถึงแกนกลางจะลดลง
การทำให้สารตั้งต้นมีโอกาสแพร่เข้าไปถึงตำแหน่งที่ว่องไวที่อยู่ลึกเข้าไปในรูพรุนทำได้โดยการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีขนาดอนุภาคเล็กลง
ซึ่งวิธีนี้นิยมใช้กันสำหรับการทดลองในห้องปฏิบัติการ
แต่การใช้ขนาดอนุภาคที่เล็กลงก็อาจทำให้เกิดปัญหาความดันลดคร่อมเบดสูงมากได้ในกรณีที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์แบบเบดนิ่ง
การแก้ปัญหาเรื่องความดันลดนี้ทำได้โดยใช้การออกแบบช่วยโดยให้ตัวเร่งปฏิกิริยานั้นมีรูปร่างที่มีพื้นที่ผิวภายนอกเพิ่มมากขึ้น
เช่นขึ้นรูปตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นแบบวงแหวน
ทรงกระบอกกลวง
หรือมีรูปร่างพื้นที่หน้าตัดขวางเป็นกลีบ
เป็นต้น (ดูรูปที่
๒ ข้างล่างประกอบ)
รูปที่
๒
ตัวอย่างรูปแบบตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับใช้ในกรณีที่มีปัญหาเรื่องการแพร่เข้าไปในรูพรุน
ซึ่งเป็นรูปแบบที่ยังคงเป็นอนุภาคขนาดใหญ่
แต่มีพื้นที่ผิวด้านนอกเพิ่มมากขึ้นสำหรับให้สารตั้งต้นที่อยู่ในเฟสของไหลรอบ
ๆ แพร่เข้าไปข้างในรูพรุน
ในปฏิกิริยาคายความร้อนเช่นปฏิกิริยาการออกซิไดซ์แบบบางส่วนในเฟสแก๊ส
(gas
phase partial oxidation) นั้น
อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะรวดเร็วมาก
โอกาสที่สารตั้งต้นจะแพร่เข้าไปในรูพรุนได้ลึกจึงมีน้อย
ดังนั้นตำแหน่งที่ว่องไวที่อยู่บริเวณตอนกลางภายในอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาจะไม่ถูกใช้งาน
และถ้าตำแหน่งที่ว่องไวเหล่านั้นเป็นโลหะมีค่า
(เช่น
Pt,
Au, Ag) ก็จะเป็นการสิ้นเปลือง
ดังนั้นในกรณีของปฏิกิริยาคายความร้อนสูงหรืออนุภาคตัวเร่งปฏิกริยามีขนาดใหญ่
จึงมักเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาให้ตำแหน่งที่ว่องไวอยู่เฉพาะบริเวณผิวนอกเท่านั้น
เช่นโดยการใช้วัสดุที่เฉื่อยและรับความร้อนได้ดี
(เช่นพวกเซรามิกต่าง
ๆ)
ทำหน้าที่เป็นแกนกลาง
และเคลือบตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นชั้นบาง
ๆ ลงไปบนผิววัสดุดังกล่าว
รูปที่ ๓ แสดงตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในการออกซิไดซ์
o-xylene
ไปเป็น
phthalic
anhydride อนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวใช้ลูกบอลเซรามิก
(เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
8
mm เป็นแกนกลาง)
และทำการเคลือบตัวเร่งปฏิกิริยา
V2O5/TiO2
ลงไปบนผิวด้านนอกของลูกบอลเซรามิก
รูปที่
๓ ตัวเร่งปฏิกิริยา V2O5/TiO2
ที่ใช้ในการออกซิไดซ์
o-xylene
ไปเป็น
phthalic
anhydride V2O5/TiO2
นั้นถูกเคลือบเป็นชั้นบาง
ๆ หนาประมาณ 0.1-0.2
mm บนพื้นผิวลูกบอลเซรามิก
เมื่อใดก็ตามที่ขั้นตอนของการแพร่นี้ช้ากว่าขั้นตอนของการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ปฏิกิริยาเคมีนั้นจะถูกควบคุมโดยกระบวนการแพร่
(diffusion
limited หรือ
mass
transport limited)
เมื่อใดก็ตามที่อัตราเร็วในการเกิดปฏิกิริยาเคมีถูกควบคุมโดยการแพร่
แสดงว่าตัวเร่งปฏิกิริยายังไม่ถูกใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
การที่อัตราเร็วของปฏิกิริยาถูกควบคุมด้วยการแพร่ของสารนั้นเกิดได้สองที่ด้วยกัน
คือการแพร่ผ่านชั้นฟิลม์จากของเหลวหรือแก๊สที่ไหลอยู่รอบ
ๆ ตัวเร่งปฏิกิริยาเข้ามายังพื้นผิวภายนอกของตัวเร่งปฏิกิริยา
(external
mass transfer limitation)
และการแพร่จากพื้นผิวของตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าไปในรูพรุนของตัวเร่งปฏิกิริยา
(internal
mass transfer limitation)
ในกรณีที่ปฏิกิริยาถูกควบคุมโดยขั้นตอนการแพร่
เราจะพบว่า
1.
อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะแปรผันกับน้ำหนักของตัวเร่งปฏิกิริยา
ยกกำลังที่น้อยกว่าหนึ่ง
2.
ในกรณีที่การแพร่ภายนอกรูพรุน
(ขั้นตอนที่
1
และ
7)
เป็นตัวกำหนดอัตราการเกิดปฏิกิริยา
จะพบว่าที่อุณหภูมิหนึ่ง
ๆ
อัตราเร็วในการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นได้โดยการทำให้การกวนหรือการผสมดีขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากความเร็วของแก๊สหรือของเหลวที่ไหลเร็วขึ้นจะทำให้
ชั้นฟิล์มที่หุ้มตัวเร่งปฏิกิริยาอยู่มีความหนาลดลง
ทำให้สารตั้งต้นแพร่เข้าไปทำปฏิกิริยาได้ง่ายขึ้น
3.
ในกรณีที่การแพร่ภายในรูพรุน
(ขั้นตอนที่
2
และ
6)
เป็นตัวกำหนดอัตราการเกิดปฏิกิริยา
จะพบว่าที่อุณหภูมิหนึ่ง
ๆ
อัตราเร็วในการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นได้โดยการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีขนาดเล็กลง
ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อตัวเร่งปฏิกิริยามีขนาดเล็กลง
สารตั้งต้นจะแพร่เข้าไปถึงบริเวณภายในได้มากขึ้น
ทำให้สามารถใช้งานตำแหน่งที่ว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาที่อยู่ลึกเข้าไปในรูพรุนได้
4.
ถ้าทำการหาค่าคงที่ต่าง
ๆ ของการเกิดปฏิกิริยาโดยใช้สมการของ
Arrhenius
จะพบว่าค่าสัมประสิทธิ์ของอุณหภูมิจะมีค่าต่ำ
และค่าพลังงานกระตุ้นที่วัดได้อาจจะมีค่าเพียง
10-15
kJ/mol (อัตราเร็วในการแพร่ของแก๊สแปรผันกับรากที่สองของอุณหภูมิ
(T0.5)
ไม่ได้เป็นไปตามสมการของอารีเนียส์
(e-(Ea/RT))
ดังเช่นในกรณีของการเกิดปฏิกิริยา)
ส่วนปฏิกิริยาที่ถูกควบคุมโดยปฏิกิริยาเคมี
จะมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.
อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะแปรผันกับน้ำหนักของตัวเร่งปฏิกิริยาหรือความเข้มข้น
2.
อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาะการผสม
3.
ค่าพลังงานกระตุ้นที่วัดได้มักจะมีค่าสูงกว่า
25
kJ/mol
ชั้นตอนการดูดซับของสารตั้งต้นบนตำแหน่งว่องไวเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการเกิดปฏิกิริยาบนตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์
เพราะการเกิดปฏิกิริยาบนตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์นั้นจำเป็นต้องมีการดูดซับของสารตั้งต้นอย่างน้อยหนึ่งชนิดบนพื้นผิวของตัวเร่งปฏิกิริยา
ในกรณีที่สารตั้งต้นมีมากกว่าหนึ่งชนิด
จะเกิดการแข่งขันการดูดซับบนพื้นผิว
ถ้าหากสารตั้งต้นตัวหนึ่งสามารถเกาะลงบนพื้นผิวได้ดีกว่าสารตั้งต้นอีกตัวหนึ่งมาก
ปฏิกิริยาจะเกิดได้น้อยเพราะความเข้มข้นของสารตั้งต้นบนพื้นผิวของสารที่เกาะได้น้อยจะมีค่าต่ำ
ที่สภาวะที่เหมาะสมปริมาณของสารตั้งต้นแต่ละตัวที่อยู่บนพื้นผิวควรมีปริมาณที่พอเหมาะ
(ดูตัวอย่างได้ในเรื่องกลไกการเกิดปฏิกิริยาแบบ
Langmuir-Hinshelwood)
ขั้นตอนการเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการหาอัตราเร็วของการเกิดปฏิกิริยา
ในการทดลองเพื่อหาค่า kinetic
parameter ต่างๆ
(เช่นค่า
pre-exponential
factor - k0 activation energy -
Ea)
จำเป็นที่จะต้องให้ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนควบคุมอัตราเร็วของการเกิดปฏิกิริยา
มิฉะนั้นค่าพลังงานกระตุ้น
Ea
ที่คำนวณได้จะผิดไปจากความเป็นจริง
การหลุดของผลิตภัณฑ์จากตำแหน่งที่ว่องไวมายังวัฏภาคของไหลจัดว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้เกิดการทำปฏิกิริยาต่อไป
ตัวอย่างเช่นเราต้องการสังเคราะห์สารประกอบกรดคาร์บอกซิลิกโดยการออกซิไดซ์สารประกอบไฮโดรคาร์บอนด้วยออกซิเจน
เมื่อเกิดกรดคาร์บอกซิลิกบนตำแหน่งที่ว่องไวแล้ว
กรดนั้นควรที่จะหลุดออกจากตำแหน่งที่ว่องไวโดยเร็ว
มิฉะนั้นมันเองอาจทำปฏิกิริยากับออกซิเจนต่อไปอีกจนกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ
ส่วนขั้นตอนของการแพร่ของผลิตภัณฑ์จากภายในรูพรุนออกมายังพื้นผิวและผ่านแผ่นฟิลม์ออกไปนั้น
จะมีลักษณะทำนองเดียวกันกับการแพร่ของสารตั้งต้นเข้ามา
หมายเหตุ
MO
Memoir ฉบับอื่นที่เกี่ยวข้อง
(๑)
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๖๓ วันอาทิตย์ที่
๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง "ตัวเลขมันสวย
แต่เชื่อไม่ได้"
(๒)
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๗๓ วันศุกร์ที่ ๖
พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เรื่อง "GHSV
หรือ
WHSV"
(๓)
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๓๘๘ วันเสาร์ที่
๒๑ มกราคม ๒๕๕๕ เรื่อง
"จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์
ตอนที่ ๓ แบบจำลอง Langmuir-Hinshelwood"