วตฺตา
จ :
รู้จักพูดให้ได้ผล
รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ
รู้ว่าเมื่อไรควรพูดอะไรอย่างไร
คอยให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือน
เป็นที่ปรึกษา
ข้อความข้างต้นผมนำมาจาก
https://th.wikipedia.org/wiki/กัลยาณมิตร
เป็นหนึ่งในคุณสมบัติ ๗
ข้อของ "กัลยาณมิตร"
(กัลยาณมิตรธรรม
7)
เมื่อกว่า
๓๐ ปีที่แล้ว สำหรับนิสิตปี
๑ ของคณะเรา มีการซ้อมเชียร์กัน
๓ ช่วงเวลาด้วยกัน คือ
"เชียร์เที่ยง"
ที่จัดกันตอนเที่ยงหลังอาหารเที่ยง
เลิกก่อนเข้าเรียนช่วงบ่าย
เชียร์เที่ยงนี้เน้นไปที่การซ้อมร้องเพลงมหาวิทยาลัยและเพลงประจำคณะ
หลังเลิกเรียนตอนเย็นก็มี
"เชียร์เย็น"
ที่เน้นไปที่การร้องเพลงเล่น
สังสรรค์
เป็นการทำความรู้จักกันระหว่างรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่
เชียร์เย็นนี้มักเป็นพวกที่ไม่ได้ไปเล่นกีฬาใด
ๆ เป็นพวกทำหน้าที่เป็นกองเชียร์ให้กับนักกีฬา
เพลงที่ร้องกันบางเพลงก็ออกทะลึ่งนิด
ๆ แต่ไม่ถึงกับหยาบคายหรือหยาบโลน
และสุดท้ายก็คือ
"เชียร์ดึก"
ที่มักจะจัดกันในซอบหลืบลับหูลับตาของคณะ
เพลงเชียร์ดึกนี้เรียกว่าเป็นเพลงที่ฟังแล้วไม่ต้องคิดอะไรมากเลยก็ได้
เพราะมันออกมาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม
ไม่ต้องผวนคำ
แต่การร้องเพลงเชียร์ดึกนี้มันก็มีกติกาของมันอยู่เหมือนกัน
คือไม่ร้องให้ผู้หญิงได้ยิน
ไม่นำไปร้องให้คนอื่นที่ผ่านไปผ่านมาได้ยิน
เรียกว่าเหมาะสำหรับร้องกันในวงเหล้าหรือระหว่างหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทกันมากกว่า
ตัวเนื้อเพลงนั้นจะมีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือเปล่าผมเองก็ไม่ทราบ
รู้แต่ว่ามันมีการสอนกันแบบปากต่อปาก
จำต่อ ๆ กันมา
ผู้ชายวิศวสมัยนั้น
แม้ว่าเมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิท
สังสรรกันเองในสถานที่ที่ไม่มีคนอื่นภายเห็น
ก็อาจจะเล่นกันแรง
พูดจากันด้วยคำหรือประโยคแบบที่เรียกว่าคนภายนอกฟังแล้วอาจรับไม่ไหว
แต่เขาก็รู้กันนะครับว่า
คำพูดใด พฤติกรรมใด
มันควรจำกัดอยู่ระหว่างเพื่อนฝูงที่สนิทกันเท่านั้น
ไม่ควรนำมาเผยแพร่ข้างนอก
(เพื่อนไม่แกล้งกัน)
และถ้ามีใครสักคนกำลังจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสม
(เช่นการกระทำที่ทำให้ภาพลักษณ์ของตัวผู้กระทำเอง
หรือสถาบันเกิดความเสียหาย
ไม่ว่าการกระทำนั้นจะกระทำโดยตั้งใจหรือเผลอเรอก็ตาม
)
ก็มักจะมีเพื่อนฝูงในกลุ่มคอยสะกิดเตือนกันว่าอย่าทำ
นั่นเป็นเหตุการณ์สมัยที่สื่อสังคมออนไลน์ยังไม่เกิด
------------------------------
บางสิ่งบางอย่าง
"ภาพนิ่ง"
มันบอกไม่ได้
แต่ "คลิปวิดิโอ"
นั้นมันบอกได้
เคยมีกรณีของนิสิตหญิงกลุ่มหนึ่งไปสังสรรค์กันระหว่างหมู่เพื่อนผู้หญิงด้วยกัน
และมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
พอสนุกสนานกันได้ที่ก็มีการออกมาเต้นรำทำท่าทำทางกัน
เท่านั้นยังไม่พอเพื่อนฝูงในกลุ่มรายหนึ่งไม่เพียงแต่ทำการบันทึกคลิปวิดิโอการเต้นนั้นเอาไว้
แล้วยังเอามาเผยแพร่บนหน้า
facebook
ของเขา
แถมยังทำการ tag
บุคคลที่ปรากฏอยู่ในคลิปวิดิโอดังกล่าว
(ในคลิปเห็นได้ชัดว่าผู้ออกมาแสดงท่าทางคงจะมีอาการมึนเมาบ้างแล้ว)
โชคดีของนิสิตหญิงคนที่ปรากฏตัวอยู่ในคลิปตรงที่เพื่อนคนอื่นใน
facebook
ของเขาพอเห็นคลิปวิดิโอนั้นเข้าก็รีบบอกให้นิสิตหญิงผู้นั้นไปบอกให้เพื่อนคนโพสคลิปนั้นรีบนำคลิปดังกล่าวออกจากหน้า
facebook
ซึ่งเพื่อนของเขาก็รีบดำเนินให้ตามคำร้องขอ
การโพสท่าถ่ายรูปบางท่าและ/หรือด้วยเครื่องแต่งกายบางรูปแบบนั้น
สำหรับคนบางอาชีพถือได้ว่าเป็นเรื่องปรกติที่ทำกันทั่วไป
แต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อยแล้ว
ด้วยหน้าที่การงานหรือบทบาทในสังคม
การโพสท่าร่วมกับการแต่งกายเช่นนั้นมันดูไม่เหมาะสม
เคยมีกรณีของบัณฑิตหญิงรายหนึ่ง
โพสท่าถ่ายรูปแต่งตัวออกแนว
sexy
นิด
ๆ เรียกว่าถ้าเทียบกับภาพที่เหล่านางแบบหรือสาวพริตตี้ต่าง
ๆ ขอบโพส รูปที่เขาโพสออก
facebook
ก็ยังดูเรียบร้อยอยู่
แต่ด้วยบทบาทหน้าที่การงานและทางสังคมของเขานั้น
ภาพนั้นค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยง
โชคดีที่เขามีเพื่อนที่เห็นรูปดังกล่าวแล้วคิดว่ามันไม่ค่อยจะเหมาะสม
จึงได้เตือนให้เขาลบรูปนั้นทิ้งไป
รูปนั้นจึงหายไปภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เขาโพส
--------------------------
กรณีที่ยกมาข้างต้นนั้นผมเห็นว่าสองคนนั้นโชคดีที่มีเพื่อนที่ดี
ที่เห็นว่าถ้ามีการเผยแพร่ใด
ๆ ที่สุ่มเสี่ยงอาจทำให้เจ้าตัวเกิดความเสียหายได้
(จะเนื่องด้วยสามารถทำให้ผู้อื่นที่เห็นเกิดความเข้าใจผิด
หรืออาจมีการนำไปขยายผลในทางที่ผิดก็ตามแต่)
ก็รีบทำการตักเตือนให้ยุติการเผยแพร่ดังกล่าว
เพื่อนที่น่ากลัวกว่าคือพวกที่คอยยุส่ง
(พวกที่โพสทำนองเช่น
ไม่ต้องกังวล คนอื่นไม่เข้าใจนายไม่เป็นไร
พวกเราเข้าใจนายดี มันต้องอย่างนี้
เจ๋งสุดยอด เอาอีก ฯลฯ)
ใครที่เต็มไปด้วยเพื่อนพวกนี้ควรต้องระวังคำยุส่งของเขาให้ดี
เพราะความเสียหายถ้าเกิดขึ้นแล้วมันเฉพาะเจาะจงลงไปที่ตัวผู้กระทำ
คนที่คอยยุส่งไม่ได้รับผลกระทบนั้นไปด้วย
และความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วนั้นมันยากที่จะแก้ไข
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากระทำโดยเผยแพร่ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ที่สามารถกระจายออกไปได้เร็ว
ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ก็มีตัวอย่างเช่นนี้ให้เห็น
เวลาเล่น
facebook
จะกดไลค์กดแชร์ข้อความอะไรก็ตาม
ก็ควรที่จะอ่านประโยคต่างๆ
และการใช้คำในข้อความเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน
ถ้าคิดจะกดไลค์หรือกดแชร์ก็ควรพิจารณาด้วยว่าข้อความเช่นนั้นมันเหมาะที่จะให้ทุกคนที่เป็นเพื่อนกันอยู่บน
facebook
เห็นหรือไม่
หลากหลายข้อความนั้นมันใช้ภาษาที่เหมาะที่จะแบ่งปันกันในระหว่างเพื่อนฝูงที่สนิทกันจริง
ๆ มากกว่าที่จะให้ทุกคนที่เป็นเพื่อนอยู่บน
facebook
เห็นหมด
เพราะถ้าสิ่งที่กดไลค์หรือกดแชร์นั้นมันมีข้อความที่ไม่เหมาะสม
คนอื่นที่มาเห็นเข้าคงห้ามไม่ให้คิดไม่ได้ว่านั่นเป็นตัวตนอีกด้านหนึ่งของเราที่เราเก็บซ่อนเอาไว้ไม่แสดงออกมาเวลาที่เจอหน้ากันตรง
ๆ
อยู่ในสถาบันการศึกษายังมีครูบาอาจารย์ที่ทำหน้าที่คอยว่ากล่าวตักเตือน
เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของเขา
แต่อยู่ในสถานที่ทำงานนั้นแม้แต่เพื่อนกันก็ยังแทงข้างหลังกันได้
วิธีการหนึ่งที่เห็นใช้กันก็คือการยุส่ง
อยากทำอะไรก็เชียร์ให้ลงมือทำไปเลย
อย่าไปกังวลใด ๆ
แต่ถ้าทำผิดพลาดเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วจะคอยซ้ำเติม
เหมือนเล่นตระกร้อนั่นแหละครับ
ชงตั้งลูกให้ขึ้นสูงแบบสวย
ๆ แล้วหาจังหวะเตะตบลงพื้นแรง
ๆ
------------------------------
การเรียนในมหาวิทยาลัยมันทำได้อย่างมากแค่บอกว่าความรู้อยู่ที่ไหนบ้าง
ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ทั้งหมด
มันมีสิ่งที่ต้องไปศึกษาเอาเองอีกเยอะ
ปัญหาคือเมื่อต้องไปค้นหาความรู้เอาเองนั้น
มันมีแหล่งให้ค้นหรือเปล่า
ในบ้านเราเมื่อสักกว่ายี่สิบปีที่แล้ว
แหล่งข้อมูลมีจำกัดมาก
ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็ยังไม่มีให้ค้น
บริษัทใหญ่ ๆ
ยังไม่มีต้นฉบับเอกสารมาตรฐานอุตสาหกรรมต่าง
ๆ ที่ต้องใช้ในการทำงานให้พนักงานได้มีโอกาสศึกษาเลย
ดังนั้นวิศวกรสมัยนั้นแม้ว่าใครอยากจะทราบว่าแต่ละเรื่องมันมาได้อย่างไร
บางทีเขาก็ไม่สามารถค้นได้
ไม่เหมือนคนที่ได้ไปเรียนต่างประเทศ
ที่เป็นแหล่งต้นตอของข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้ง่าย
แต่วิศวกรรุ่นเก่า ๆ
เหล่านั้นเขาก็แก้ปัญหากันมาได้ด้วยการใช้ประสบการณ์
และถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นด้วยวาจา
ซึ่งมันทำให้ข้อมูลมันมีการผิดเพี้ยนหรือหายไปตามเวลา
สมัยผมจบเข้าทำงานใหม่ ๆ
ก็เรียนกันแบบนี้
คือเดินตามวิศวรุ่นพี่
แล้วเขาก็อธิบายการทำงานให้ฟังด้วยวาจา
วิศวกรบ้านเราเมื่อจบไปทำงานแล้ว
การศึกษาก็ยังคงมีความจำเป็นอยู่อยู่
เพียงแต่อาจจะไม่ได้ลงลึกไปในบางด้าน
อาจจะเน้นไปทางกว้างแทน
หรือไม่ก็เฉพาะเจาะจงไปยังกระบวนการที่เขารับผิดชอบ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวใหม่
ๆ ในอีกหลากหลายมิติให้ต้องศึกษา
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พอถามอะไรเขาลึก
ๆ ทางเทคนิคลงไปบางเรื่องแล้วเขาตอบไม่ได้
ยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้จับงานด้านนั้นมานานด้วย
เรื่องพวกนี้มันก็ลืมกันได้
และเมื่อเขาผ่านพ้นงานช่วงนั้นมาแล้ว
เขาก็คงหาเวลายากที่จะกลับไปหาคำตอบที่ค้างคาใจ
เพราะด้วยหน้าที่ของเขาทำให้เขามีปัญหาใหม่ที่ต้องแก้ไข
แต่บางครั้งการที่ใครสักคนตอบว่า
"ไม่รู้"
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้นะครับ
แต่เป็นเพราะว่าเขาอยากรู้ว่าคนที่ถามเขานั้น
"รู้จริง"
หรือเปล่า
ในฐานะที่ทำงานเป็นอาจารย์ผู้หนึ่ง
ผมจะบอกนิสิตเสมอว่าถ้าเราเข้าใจ
"หลักการ"
เราจะสามารถมองเห็น
"วิธีการ"
ได้หลากหลายวิธี
ดังนั้นการสอนนั้นจึงควรที่จะยก
"หลักการ"
ขึ้นมาก่อน
จากนั้นจึงค่อยยก "ตัวอย่างวิธีการ"
เพื่อให้ผลออกมาเป็นไปตามหลักการนั้น
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนได้รู้ว่า
มันยังมีวิธีการอื่นอีก
การยกแต่วิธีการโดยไม่อธิบายถึงหลักการ
ก็นำไปสู่การใช้ "สูตรสำเร็จ"
ที่ทำให้ผู้รับรู้เข้าใจผิดได้ว่ามันใช้งานได้ในทุกกรณี
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่อันตราย
และในเมื่อมันมีวิธีการเพื่อให้ได้ผลตามหลักการนั้นหลายวิธี
ก็ควรที่ต้องบอกถึงข้อเด่น-ข้อด้อยของวิธีการต่าง
ๆ เหล่านั้นด้วย บางวิธีการนั้นทำได้ง่าย
แต่มีความเสี่ยงสูง
ดังนั้นต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
ในขณะที่บางวิธีการนั้นวุ่นวายมากกว่า
แต่มีความเสี่ยงต่ำกว่า
จึงมีความปลอดภัยที่สูงกว่า
แต่การจะเลือกใช้วิธีการไหนนั้น
ก็ต้องคำนึงถึงสถานการณ์และสภาพแวดล้อม
สำหรับนิสิตปี
๔ ของภาควิชา
เช้าวันนี้ก็คงเป็นวันสุดท้ายในชีวิตการเรียนระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของพวกคุณ
คงเหลือแต่รอฟังผลสอบเท่านั้น
สิ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือขอให้มี
"สติ"
และใช้
"ปัญญา"
ไตร่ตรอง
ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป
บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเป็น
"กระแส"
ที่ใคร
ๆ เขาทำกันนั้น เอาเข้าจริง
ๆ อาจเป็นเพียงแค่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำ
เพียงแต่เขาแสดงออกมาเยอะและใช้เทคนิคการนำเสนอชักจูงจนเราทำให้เราหลงไปได้ว่าคนส่วนใหญ่เป็นกัน
ลองกลับไปดูที่ facebook
ของพวกคุณ
(ถ้ามี)
ก็ได้ครับว่าคุณมีเพื่อนในนั้นกี่คน
และมีสักกี่คนที่โพสข้อความต่าง
ๆ เป็นประจำ
ขอให้ทุกคนโชคดี
ประสบแต่ความสุขความสำเร็จในชีวิตหน้าที่การงานและครอบครัวต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น