"ใครอยากเข้าใจตะวันตก
ผมไม่รู้
แต่ใครควรเข้าใจตะวันตก,
ผมว่าได้แก่คนไทยทุกคนเป็นที่สุด"
นั่นคือประโยคเริ่มต้นบทที่
๑ ในหนังสือ "ตะวันตกวิกฤต
คริสต์ศาสนา"
เขียนโดย
ไมเคิล ไรท์
ในยุคที่การสื่อสารผ่านทางอินเทอร์เน็ตแพร่หลายไปทั่วโลก
แต่ก็ยังเป็นเรื่องน่าแปลกที่ทำไมเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยของเราเอง
หรือเกิดขึ้นในเขตที่เราอาศัยอยู่เอง
คนไทยส่วนหนึ่งกลับไม่เข้าไปสัมผัส
ไม่เข้าไปตรวจสอบ
ไม่เชื่อถือและตั้งข้อสงสัยรายงานข่าวสารที่สื่อในประเทศนำเสนอ
แต่คนไทยจำนวนนั้น
(ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย)
กลับ
"เชื่ออย่างหัวปักหัวปำ"
กับข้อมูลที่สื่อทางชาตินำเสนอ
เขียนถึงจุดนี้บางคนก็คงจะอธิบายว่าทำไมคนไทยจึงตั้งข้อสงสัยกับรายงานข่าวของสื่อเมืองไทย
ด้วยเหตุผลที่ว่าสื่อเมืองไทยนั้น
"ซื้อได้"
คือสามารถจ้างให้รายงานให้เชียร์ใคร
หรือบิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสีใครก็ได้
ถ้าเช่นนั้นมันก็มีคำถามตามมาเช่นกันก็คือ
แล้วสื่อต่างชาติล่ะ มัน
"ซื้อไม่ได้เลยหรือไง"
เมื่อไม่นานมานี้ระหว่างขับรถ
ผมได้ฟังรายการวิทยุที่ส่งกระจายเสียงเป็นภาษาไทยมาจากต่างประเทศ
ตอนท้ายของรายการก็มีการคุยกันระหว่างผู้ดูแลรายการในประเทศไทย
(ที่ถ่ายทอดสัญญาณจากสถานีวิทยุต่างประเทศภาคภาษาไทยนั้น)
กับคนไทยผู้จัดรายการอยู่ต่างประเทศ
คำถามหนึ่งที่ผู้จัดรายการฝั่งไทยถามก็คือ
เขารู้สึกว่ารายงานข่าวของทางต่างประเทศนั้นมันไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเมืองไทย
คำถามก็คือเป็นเพราะอะไร
รูปที่ ๑ หนังสือที่ใช้ในการเขียน Memoir ฉบับนี้ นับจากซ้าย (๑) "ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา" โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๓ (๒) "ตะวันตกวิกฤต คริสต์ศาสนา" โดย ไมเคิล ไรท์ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๖ (๓) "พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต พ.ศ. ๒๑๘๒ " โดย วนาศรี สามนเสน แปลเป็นภาษาไทยจากภาษาอังกฤษ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ. ๒๕๔๘ และ (๔) "กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้" โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สำนักพิมพ์ดอกหญ้า พิมพ์ครั้งที่ห้า พ.ศ. ๒๕๔๔
สิ่งที่ผู้รายงานข่าวภาคภาษาไทยจากต่างประเทศอธิบายมานั้นผมพอจะสรุปได้ดังนี้คือ
ต้องเข้าใจว่านักข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวต่าง
ๆ นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท
เช่น
-
จ้างเพียงคนเดียว
แต่ทำข่าวทั้งภูมิภาค
ขึ้นอยู่กับว่าในภูมิภาคนั้นประเทศใดคิดว่าจะมีข่าวเด่น
ก็จะให้นักข่าวคนนั้นไปประจำในประเทศนั้น
โดยที่นักข่าวคนนั้นไม่ใช่คนที่เกิดในภูมิภาคที่เข้าไปทำงาน
-
ในกรณีที่เห็นว่าประเทศใดประเทศหนึ่งมีความสำคัญ
ก็จะจ้างเอาไว้ประจำประเทศนั้น โดยที่นักข่าวคนนั้นไม่ใช่คนของประเทศนั้น
-
จ้างคนของประเทศที่ต้องการทำข่าว
ให้ทำข่าวในประเทศของตัวเอง
และส่งให้สำนักข่าวต่างประเทศ
แต่ที่แน่
ๆ ก็คือถ้าเป็นนักข่าวต่างประเทศ
ก็เชื่อได้ว่าคงไม่มีใครไปอ่านกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญของประเทศไทย
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะเข้าใจผิด
เพราะเขาไม่รู้ว่าปัญหานั้นมันเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายอย่างไร
และถ้าเป็นกรณีที่เป็นนักข่าวประจำภูมิภาคที่จะเข้าไปทำข่าวในประเทศใดประเทศหนึ่งในกรณีที่มีเหตุสำคัญ
(เช่นความรุนแรง)
ก็เป็นการยากที่เขาจะเข้าใจสาเหตุที่เป็นต้นตอของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งมักเป็นเรื่องสืบเนื่องติดต่อกันมานาน
และที่สำคัญก็คือ
นักข่าวก็สามารถ "ถูกซื้อตัว"
ได้เช่นเดียวกัน
ไมเคิล
ไรท์ ยังเขียนต่อในบทที่ ๑
หน้าที่ ๑ ในหนังสือของเขาว่า
"การที่ชาวสยาม
ปฏิเสธ
คริสต์ศาสนา เป็นสิทธิของเขา
(และผมว่าสาธุ
ๆ ดี ๆ)
แต่การที่ชาวสยาม
ไม่ศึกษา
คริสต์ศาสนา
เท่ากับเป็นการหลับตารับเปลือกนอกของตะวันตกโดยไม่รู้ถึงขั้วหัวใจของฝรั่งว่า
เขาคิดอย่างไร,
ฝันอย่างไร,
กลัวอะไร,
และพ่ายแพ้อย่างไร
ชาวสยามโดยมากมักมองเฉพาะความสำเร็จและหรูหราของชาวยุโรป,
ไม่สนใจความสับสน,
ยุ่งยากและความบกพร่องทางปัญญาของตะวันตก,
ที่ล้วนเป็นบทเรียนที่สำคัญไม่แพ้ความรุ่งโรจน์ของยุโรปและอเมริกา"
ในหน้าที่
๕-๖
ของบทที่ ๑ ไมเคิล ไรท์
ยังเขียนต่อว่า
"ศาสนาคริสต์สามารถอธิบายตะวันตกได้ทั้งหมด,
ไม่ใช่สิ่งดีงามเพียงอย่างเดียว
เพราะแม้ชาวตะวันตกจะทำผิดพระศาสนาอย่างร้ายแรงเพียงใด,
ก็มักจะอ้างคริสต์ศาสนาเพื่อสนับสนุนความผิดนั้น
ๆ ได้เสมอ เช่นเมื่อจะสู้รบกันก็จะอ้างทฤษฎี
"สงครามยุติธรรม"
(Just War); จะจับมิจฉาทิฐิไปทรมานฆ่าเสีย
(Inquisition)
ก็จะอ้าง
"พระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง"
(Orthodoxy); หรือจะล่าเมืองขึ้น
(Colonialism)
ก็อ้างว่า
"เพื่อเผยแพร่ศาสนานำคนป่าเถื่อนเข้าสู่ศีลธรรมและสวรรค์"
.....
แม้เรื่องที่ดูไม่เกี่ยวกับศาสนา,
เช่นระบบทุนนิยมและระบบมาร์กซิสต์,
ยังงอกออกมาจากศาสนาคริสต์
:-
ฝ่ายนายทุนอ้างว่า
"พระผู้เป็นเจ้าย่อมประทานรางวัลแก่ผู้ที่ขยันสร้างสรรค์ทำประโยชน์",
ฝ่ายมาร์กซิสต์อ้างว่า
"ผู้มีอำนาจวาสนาจะตกต่ำ,
ผู้ยากไร้และผู้ต่ำต้อยจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"
คำอ้างเหล่านี้ล้วนมีพระคัมภีร์คริสต์ศาสนาสนับสนุน"
ที่มีเครื่องหมาย
","
หรือ
";"
ตามตำแหน่งต่าง
ๆ นั้น ผมลอกตามหนังสือของ
ไมเคิล ไรท์ มาโดยตรง
"ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา"
เป็นหนังสือที่ผมซื้อมาเพราะชื่อของมัน
สิ่งสำคัญที่ผมได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็คือเราจำเป็นต้อง
"อ่านคนเขียน"
ก่อน
ว่าเขาเป็นใคร ตอนที่เขาเขียนเรื่องต่าง
ๆ นั้นเขาผ่านประสบการณ์ใดมาบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาเขียน
แต่มันส่งผลถึงมุมมองและการแปลความหมายเหตุการณ์ที่เขาเขียนถึง
หรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาเขียน
แต่เป็นมุมมองที่เขามองมาจากมุมไหน
ดังนั้นในบทแรกในหน้าที่
๔ ของหนังสือเล่มนี้ นิธิ
เอียวศรีวงศ์ จึงเขียนไว้ว่า
"...
แม้ว่าประวัติศาสตร์ในยุคนี้จะมีหลักฐานของชาติตะวันตกเพิ่มพูนขึ้นมาก
แต่ความสนใจของนักเดินทาง
พ่อค้า และนักสอนศาสนาตะวันตกมีอยู่จำกัด
และไม่ช่วยให้เราเข้าใจภูมิภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากทัศนะของประชาชนในภูมิภาคนี้เลย
การศึกษาประวัติศาสตร์ของภูมิภาคโดยอาศัยหลักฐานภายนอกจึงไม่ทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ได้ดีไปกว่าการสังเกตุการณ์
"จากกราบเรือหรือเมืองป้อมที่เป็นโรงเก็บสินค้า"
ของฝรั่ง"
ตอนที่ผมศึกษาอยู่ทางประเทศนั้น
เวลาที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับแนวทฤษฎีใด
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาถามก็คือได้ไปอ่านบทความต้นฉบับแล้วหรือยัง
ทั้งนี้เป็นเพราะการอ่านแนวความคิดที่คนอื่นนำมาเล่าต่อกันเป็นทอด
ๆ
นั้นมันทำให้แนวความคิดเดิมที่คนแรกนำเสนอเอาไว้นั้นมันผิดเพี้ยนไปได้
หนังสือสองเล่มที่ผมกล่าวมาข้างต้นนั้น
ผมได้ให้นิสิตป.เอก
คนแรกของผม
(และก็เพียงคนเดียวที่ได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาและจบไปทำงานแล้ว)
ไปอ่านให้หมด
ก่อนที่จะเริ่มเรียนกับผม
วัน
วลิต เป็นชาวฮอลันดาชื่อ
"เยเรเมียส
ฟาน ฟลีต (Jeremisa
Van Vliet)" แต่เป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วไปว่า
"วันวลิต"
เขาผู้นี้เข้ามาทำงานในกรุงศรีอยุธยาในช่วงปีพ.ศ.
๒๑๗๖-๒๑๘๕
หรือใช้เวลา ๙ ปีอยู่ในกรุงศรีอยุธยา
เขาได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเมืองไทยอย่างละเอียดและยังเรียนรู้ภาษาไทยได้อย่างรวดเร็ว
ที่สำคัญก็คือได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยไว้ถึง
๓ เล่ม (แต่เป็นภาษาฮอลันดา)
"พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต
พ.ศ.
๒๑๘๒"
นั้น
พิเศษ เจียจันทร์พงษ์
เขียนไว้ในบทคำนำเสนอของหนังสือดังกล่าวว่า
"โดยเฉพาะคุณลักษณะของกษัตริย์แต่ละพระองค์ที่วันวลิตระบุไว้เป็นแบบฉบับในการเขียนเลยนั้น
แทบจะไม่มีปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับของคนไทยเลย
....
ข้อความส่วนนี้ทำให้พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิตแตกต่างไปจากการเขียนพงศาวดารของคนไทยอย่างชัดเจน
...
อย่างไรก็ดี
แม้ วันวลิต จะไม่มีข้อจำกัดในด้านนี้
แต่ก็ควรพิจารณาว่าทั้งหมดเป็นความคิดเห็นของวันวลิต
ผู้เป็นปุถุชนคนหนึ่ง
ที่มองจากด้านของตนเองผู้มีประโยชน์เฉพาะตนเป็นอย่างหนึ่ง
หรือด้านที่เป็นข่าวสารที่ได้รับมาทางหนึ่งทางใด
ดังจะพบว่าในบางรัชกาลที่วันวลิตกล่าวถึงความดีไม่ดีของพระมหากษัตริย์อยุธยา
จะมีความแตกต่างไปบ้างจากการรับรู้ที่ได้จากการอ่านพงศาวดารที่คนไทยเขียน"
ม.ร.ว.
คึกฤทธิ์
ปราโมช
ก็เป็นบุคคลท่านหนึ่งที่เขียนหนังสือและบทความไว้หลากหลาย
หนึ่งในหนังสือที่ท่านเขียนได้แก่
"กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้"
ที่เขียนขึ้นโดยอิงจากหนังสือของ
วันวลิต
และก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาเรื่องราวที่เขียนขึ้นโดย
วันวลิต นั้น ม.ร.ว.
คึกฤทธิ์
ได้เกริ่นนำเอาไว้ว่า
"ในการอ่านเรื่องที่จะได้แปลต่อไปนี้
ผู้อ่านควรทำใจไว้ก่อนว่า
ผู้ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้น
เป็นฝรั่ง
ถึงจะอ่านหนังสือไทยออกขนาดอ่านจดหมายเหตุต่าง
ๆ ในกรุงศรีอยุธยาได้
และพูดภาษาไทยขนาดที่จะซักถามข้อความต่าง
ๆ จากคนไทยได้ แต่จิดใจก็ยังเป็นฝรั่ง
เพราะฉะนั้นที่จะให้เข้าใจคนไทยและเข้าใจถึงจิตใจคนไทยอย่างแท้จริง
ตลอดจนวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยได้อย่างถ่องแท้นั้น
จึงเป็นของยาก แม้หนังสือต่าง
ๆ
ที่ฝรั่งเขียนขึ้นเกี่ยวกับเมืองไทยในปัจจุบันนี้ก็อยู่ในลักษณะเช่นเดียวกัน
จะเชื่อถือไปหมดทุกข้อทุกกระทงไม่ได้
ทั้งนี้เป็นข้อสังเกตข้อแรก"
หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ.
๒๕๑๙
หรือเมื่อ ๓๘ ปีที่แล้ว
เมื่อตอนเรียนมัธยมปลายนั้น
ครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา
(ต้องกราบขออภัยที่ผมจำชื่อของท่านไม่ได้
จำได้แต่ว่าท่านเป็นคนตัวอ้วน
ร่างใหญ่)
กล่าวเอาไว้ประโยคหนึ่งว่า
"วิชาภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เป็นวิชาท่องจำ
แต่เป็นวิชาที่ต้องใช้เหตุผลในการทำความเข้าใจ"
ซึ่งกว่าที่ผมจะเข้าใจประโยคที่ท่านกล่าว
ก็ล่วงเลยเวลามาจนหลังเรียนจบปริญญาตรี
สภาพชีวิต
ความเป็นอยู่ของชุมชนนั้น
ถูกกำหนดโดยลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ
กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนใด
ก็อิงอยู่กับภูมิประเทศและภูมิอากาศของสังคมนั้นด้วย
กฎเกณฑ์ใด ๆ
ที่ไม่สามารถทำให้คนในชุมชนนั้นสามารถดำรงชีพอยู่ได้
ก็ไม่แปลกที่คนในชุมชนนั้นจะปฏิเสธ
เรื่องนี้ผมเคยคุยกับผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้เคร่งศาสนาพุทธผู้หนึ่ง
ที่คิดว่าศาสนาพุทธนั้นดีที่สุด
ในหัวข้อที่ว่าการฆ่าสัตว์นั้นเป็นบาป
ผมก็เลยย้อนถามกลับไปว่าถ้าไปบอกพวกเอสกิโมที่อาศัยอยู่ตามขั้วโลกในภูมิประเทศที่เย็นจัด
พื้นเป็นน้ำแข็ง (เกือบ)
ตลอดทั้งปี
ที่ปลูกอะไรกิน (แทบ)
ไม่ได้
หรือชนเผ่าที่เร่ร่อนอยู่ในทะเลทายในตะวันออกกลาง
ว่าอย่าฆ่าสัตว์ เพราะมันบาป
แล้วจะให้คนเหล่านั้นเขากินอะไร
แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธเกิดขึ้นและเผยแผ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้นั้น
คนในภูมิภาคแถบนี้อยู่ในดินแดนที่ปลูกพืชผักกินได้ทั้งปี
หรือไม่ก็มีเทคโนโยลีที่จะถนอมพืชผัก
(หรือแม้กระทั่งเนื้อสัตว์)
เก็บไว้กินได้ตลอดทั้งช่วงฤดูหนาว
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นคนทางยุโรปยังไม่รู้จักการถนอมพืชผัก
(หรือเนื้อสัตว์)
ไว้กินเช่นคนเอเชีย
ดังนั้นศาสนาที่ห้ามการฆ่าสัตว์เช่นศาสนาพุทธ
จึงยากที่จะได้รับการยอมรับจากผู้คนที่อาศัยอยู่ทางด้านตะวันตกของประเทศอินเดีย
คนเอเชียมีเทคโนโลยีในการถนอมอาหารมาเป็นเวลานับพันปีแล้ว
แต่เรากลับมาเรียนหนังสือยกย่อง
ฟรานซิส เบคอน
ว่าเป็นผู้คนพ้นว่าความเย็นจากหิมะช่วยเก็บเนื้อไก่ไว้ได้นานขึ้น
ซึ่งเป็นการค้นพบของชาวตะวันตกเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี่เอง
เรื่องที่คนไทยเห็นว่าคำพูดฝรั่งถูกต้องไปเสมอนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่เป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว
เรื่องหนึ่งก็ได้เคยเล่าเอาไว้แล้วใน
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๖๔ วันพุธที่ ๑๖
มกราคม พ.ศ.
๒๕๕๖
เรื่อง "กระสุน Siamese type 66 (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๓๔)"
ลองย้อนกลับไปอ่านดูได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น