เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับให้นิสิตทำความเข้าใจว่าเทคนิค
Gas
chromatograph หรือ
Liquid
chromatograph นั้นแยกสารที่ผสมกันอยู่ออกจากกันได้อย่างไร
การแยกสารด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟนั้นอาศัยความสามารถในการดูดซับสารแต่ละชนิดที่อยู่ในเฟสเคลื่อนที่
(mobile
phase) ได้ไม่เท่ากันของเฟสอยู่กับที่
(stationary
phase)
ซึ่งเฟสอยู่กับที่นี้อาจเป็นของแข็งหรือของเหลวที่ถูกของแข็งมีรูพรุนดูดซับเอาไว้
ถ้าเฟสเคลื่อนที่
(ที่มีสารที่ต้องการแยกละลายอยู่)
มีสถานะเป็นของเหลว
ก็จะเป็นเทคนิคที่เรียกว่า
Liquid
chromatograph ถ้าเฟสเคลื่อนที่มีสถานะเป็นแก๊ส
ก็จะเป็นเทคนิคที่เรียกว่า
Gas
chromatograph
ในที่นี้เพื่อให้เห็นภาพจะขอยกตัวอย่างที่เป็นกรณีของแก๊สโครมาโทกราฟ
เริ่มจากรูปที่
๑ สมมุติว่าเราต้นเรามีแก๊ส
(mobile
phase) ที่มีสาร
A
และสาร
B
อยู่ชนิดละ
1000000
หน่วย
และเรานำเอาแก๊สนี้ไปบรรจุในภาชนะใบที่หนึ่ง
(Stage
1) ที่บรรจุสารดูดซับ
(stationary
phase) เอาไว้
แล้วปล่อยให้สารดูดซับนั้นเกิดการดูดซับสาร
A
และ
B
จนเข้าสู่สภาวะสมดุล
โดยสมมุติให้ที่สภาวะสมดุลนั้น
อัตราส่วนความเข้มข้นของสาร
A
ในเฟสแก๊สและที่สารดูดซับดูดซับเอาไว้ได้คือ
3:1
และอัตราส่วนความเข้มข้นของสาร
B
ในเฟสแก๊สที่สารดูดซับดูดซับเอาไว้ได้คือ
1:3
ดังนั้นที่สภาวะสมดุล
ปริมาณสาร
A
ที่ถูกสารดูดซับดูดซับเอาไว้คือ
=
250000
ที่ยังคงอยู่ในเฟสแก๊ส
=
750000
ปริมาณสาร
B
ที่ถูกสารดูดซับดูดซับเอาไว้คือ
=
750000
ที่ยังคงอยู่ในเฟสแก๊ส
=
250000
รูปที่ ๑ นำแก๊สผสมที่ประกอบด้วยสาร A และ B ในปริมาณที่เท่ากันใส่ในภาชนะที่บรรจุสารดูดซับที่มีความสามารถในการดูดซับสาร A และ B ได้ไม่เท่ากัน สาร A ที่ถูกดูดซับได้น้อยกว่าจะคงค้างอยู่ในเฟสแก๊สได้มากกว่าสาร B ที่ถูกดูดซับได้มากกว่า
ต่อไปขอให้พิจารณารูปที่
๒ สมมุติว่าเรานำเอาเฉพาะส่วนแก๊สจากภาชนะใบที่
1
(Stage 1) ไปบรรจุในภาชนะใบที่สอง
(Stage
2) ที่บรรจุสารดูดซับเช่นเดียวกันกับภาชนะใบที่หนึ่ง
ในภาชนะใบที่หนึ่งนั้นเมื่อสาร
A
และ
B
หายไปจากเฟสแก๊ส
สาร A
และ
B
ที่ถูกตัวดูดซับดูดซับเอาไว้ก็จะระเหยออกมาจากตัวดูดซับ
ส่วนในภาชนะใบที่สองนั้นสาร
A
และ
B
ในเฟสแก๊สจะถูกสารดูดซับที่บรรจุอยู่ในภาชนะใบที่สองดูดซับเอาไว้
และเมื่อการดูดซับในภาชนะทั้งสองใบนั้นเข้าสู่สภาวะสมดุล
สัดส่วนการกระจายตัวของสาร
A
(ที่อยู่ในเฟสแก๊สต่อที่ถูกดูดซับเอาไว้ด้วยตัวดูดซับ)
จะเท่ากับ
3:1
และในทำนองเดียวกัน
สัดส่วนการกระจายตัวของสาร
A
(ที่อยู่ในเฟสแก๊สต่อที่ถูกดูดซับเอาไว้ด้วยตัวดูดซับ)
จะเท่ากับ
1:3
รูปที่ ๒ (บน) เมื่อนำส่วนที่เป็นแก๊สจากภาชนะใบที่หนึ่งไปใส่ในภาชนะใบที่สอง (ล่าง) การกระจายตัวของสาร A และ B ในเฟสแก๊สและบนตัวดูดซับในภาชนะทั้งสอง เมื่อระบบเข้าสู่สภาวะสมดุล
ในขั้นตอนถัดไป
(รูปที่
๓)
ถ้าเรานำเอาสาร
A
และ
B
ที่อยู่ในเฟสแก๊สออกจากภาชนะใบที่สอง
ไปใส่ในภาชนะใบที่สาม (Stage
3 ที่บรรจุสารดูดซับเอาไว้เช่นเดียวกัน)
จากนั้นก็ย้ายเอาสาร
A
และ
B
ที่อยู่ในเฟสแก๊สออกจากภาชนะใบที่หนึ่ง
ไปใส่ไว้ในภาชนะใบที่สาม
การกระจายตัวของสาร A
และ
B
ในภาชนะทั้งสามใบก็จะเป็นดังรูปที่
๓ (บน)
ก่อน
รูปที่ ๓ (บน) เมื่อนำส่วนที่เป็นแก๊สจากภาชนะในที่สองไปใส่ในภาชนะใบที่สาม และนำส่วนที่เป็นแก๊สจากภาชนะในภาชนะใบที่หนึ่งไปใส่ในภาชนะใบที่สอง (ล่าง) การกระจายตัวของสาร A และ B ในเฟสแก๊สและบนตัวดูดซับในภาชนะทั้งสาม เมื่อระบบเข้าสู่สภาวะสมดุล
จากนั้นปล่อยให้ระบบในภาชนะทั้งสามทำการปรับตัวเข้าสู่สภาวะสมดุล
ส่วนหนึ่งของ A
และ
B
ที่อยู่ในเฟสแก๊สในภาชนะใบที่สามจะถูกสารดูดซับดูดซับเอาไว้
และส่วนหนึ่งของ A
และ
B
ที่ถูกดูดซับเอาไว้ในภาชนะใบที่หนึ่งจะระเหยออกมา
ส่วนในภาชนะใบที่สองนั้น
A
ที่ถูกสารดูดซับดูดซับเอาไว้จะระเหยออกมาเพื่อเพิ่มสัดส่วนปริมาณ
A
ในเฟสแก๊สต่อของแข็งให้เป็น
3:1
และ
B
ที่อยู่ในเฟสแก๊สจะถูกสารดูดซับดูดซับเข้าไปเพื่อลดปริมาณ
B
ในเฟสแก๊สต่อของแข็งให้เหลือ
1:3
และเมื่อการดูดซับในภาชนะทั้งสามใบเข้าสู่สภาวะสมดุล
ปริมาณสารต่าง ๆ
ในแต่ละเฟสจะมีค่าดังแสดงในรูปที่
๓ (ล่าง)
ตรงนี้ถ้าเราคำนวณสัดส่วนปริมาณของสาร
A
ที่อยู่ในเฟสแก๊สต่อที่ถูกดูดซับเอาไว้
จะมีค่าเท่ากับ 3:1
ในภาชนะทั้งสามใบ
และในทำนองเดียวกันถ้าเราคำนวณสัดส่วนปริมาณของสาร
B
ที่อยู่ในเฟสแก๊สต่อที่ถูกดูดซับเอาไว้
จะมีค่าเท่ากับ 1:3
ในภาชนะทั้งสามใบ
โดยที่ปริมาณรวมของสาร A
(หรือ
B)
ในทุกภาชนะรวมกันมีค่าเท่ากับค่าเริ่มต้นคือ
1000000
ถ้าเราทำการคำนวณต่อโดยเพิ่มภาชนะใบที่สี่เข้ามา
ย้ายส่วนที่เป็นแก๊สจากภาชนะใบที่สามไปใส่ในภาชนะใบที่สี่
จากนั้นย้ายส่วนที่เป็นแก๊สจากภาชนะใบที่สองมาใส่ในภาชนะใบที่สาม
และย้ายส่วนที่เป็นแก๊สจากภาชนะใบที่หนึ่งมาใส่ในภาชนะใบที่สอง
และทำการคำนวณการกระจายตัวของสาร
A
และ
B
ในภาชนะแต่ละใบ
โดยสัดส่วนปริมาณของสาร A
ที่อยู่ในเฟสแก๊สต่อที่ถูกดูดซับเอาไว้จะต้องมีค่าเท่ากับ
3:1
และสัดส่วนปริมาณของสาร
B
ที่อยู่ในเฟสแก๊สต่อที่ถูกดูดซับเอาไว้
จะต้องมีค่าเท่ากับ 1:3
ในภาชนะทั้งสี่ใบ
จากนั้นก็เพิ่มภาชนะใบที่ห้าเข้ามาและทำซ้ำเดิมไปเรื่อย
ๆ รูปที่ ๔
ข้างล่างเป็นกราฟผลการคำนวณเมื่อเพิ่มภาชนะจนถึงใบที่สิบ
รูปที่ ๔ การกระจายของสาร A และ B ใน Mobile phase และ Stationary phase หลังจากผ่านไป 10 ขั้นตอน
รูปที่ ๔ การกระจายของสาร A และ B ใน Mobile phase และ Stationary phase หลังจากผ่านไป 10 ขั้นตอน
จากรูปที่
๔ จะเห็นว่าในเฟสแก๊สนั้น
A
จะวิ่งนำหน้าสาร
B
และเมื่อทำการคำนวณซ้ำต่อไปเรื่อย
ๆ จนถึงภาชนะใบที่ยี่สิบ
ก็จะได้กราฟการกระจายตัวของสาร
A
และ
B
ในเฟสแก๊สและที่ถูกสารดูดซับดูดซับเอาไว้ในภาชนะต่าง
ๆ ดังแสดงในรูปที่ ๕ ข้างล่าง
พึงสังเกตว่าเมื่อเราเพิ่มจำนวนภาชนะให้มากขึ้น
การเหลื่อมซ้อนทับกันของกราฟความเข้มข้นของสาร
A
และ
B
ในเฟสแก๊สนั้จะลดลง
(ดูเส้นทึบสีส้มและสีเขียว)
โดยที่กราฟการกระจายตัวนั้นจะมีลักษณะเป็นพีคที่เตี้ยลงไปเรื่อย
ๆ แต่กว้างขึ้น ส่วนตารางที่
๑ ที่แนบท้ายมานั้นเป็นตัวเลขผลการคำนวณ
อันที่จริงผมคำนวณเอาไว้ถึง
20
ขั้นตอน
แต่ตัดเอามาให้ดูเพียงแค่
10
ขั้นตอนแรก
ถ้าเราคำนวณต่อไปเรื่อย
ๆ เราจะพบว่าตำแหน่งยอดพีคของสาร
A
และ
B
นั้นจะมีการเคลื่อนตัวไปทางขวา
และจะแยกห่างออกจากกัน
ถ้าหากความสามารถของสารดูดซับในการดูดซับสาร
A
และ
B
นั้นแตกต่างกันมาก
เราจะเห็นพีคสาร A
และ
B
แยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าแตกต่างกันน้อย
จะพบว่าต้องมีจำนวนขั้นตอนที่มากขึ้นจึงจะเกิดการแยกกันอย่างชัดเจน
แต่ละขั้นตอน (stage)
ที่กล่าวในที่นี้เปรียบเสมือนความยาวคอลัมน์ที่ใช้ในการแยกสารนั่นเอง
ยิ่งคอลัมน์ยาวมากขึ้นก็เปรียบเสมือนมีขั้นตอนมากขึ้น
รูปที่ ๕ การกระจายของสาร A และ B ใน Mobile phase และ Stationary phase หลังจากผ่านไป 20 ขั้นตอน
รูปที่ ๕ การกระจายของสาร A และ B ใน Mobile phase และ Stationary phase หลังจากผ่านไป 20 ขั้นตอน
มาถึงจุดนี้หวังว่าคงจะพอมองภาพเห็นแล้วว่าทำไมสารที่เคลื่อนออกจากคอลัมน์ของแก๊สโครมาโทกราฟจึงมีลักษณะเป็นพีคที่มีการกระจายตัว
แต่ในทางปฏิบัตินั้นพีคมักมีการลากหาง
ซึ่งเรื่องนี้ได้อธิบายไว้แล้วใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๔๔ วันศุกร์ที่
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เรื่อง
"ทำไมพีคจึงลากหาง"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น