เรื่องใน
Memoir
ฉบับนี้ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการวัดระดับของเหลวที่ได้เกริ่นเอาไว้ใน
Memoir
ฉบับที่แล้ว
ผู้ที่ไปนั่งฟังผมบรรยายเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็คงได้ยินผมได้ให้ความเห็นไปส่วนหนึ่งแล้ว
แต่ใน Memoir
นี้มีรายละเอียดเพิ่มเติมอีก
รูปที่
๑ เป็นแผนผังอย่างง่ายของเครื่องปฏิกรณ์ผลิต
HDPE
(High Density Polyethylene) ใน
slurry
phase ของกระบวนการหนึ่ง
เครื่องปฏิกรณ์พอลิเมอร์ไรซ์
(D1)
เป็นระบบถังกวน
เฮกเซน (C6H14)
ที่ใช้เป็นตัวทำละลายถูกป้อนเข้าไปในเครื่องปฏิกรณ์
แก๊สเอทิลีน (C2H4)
โคโมโนเมอร์(๑)
(เช่นโพรพิลีน
C3H6
หรือบิวทีน
C4H8)
ไฮโดรเจน(๒)
และตัวเร่งปฏิกิริยา(๓)
ต่างถูกฉีดเข้าไปทางด้านล่างของถังปฏิกรณ์แก๊สส่วนหนึ่งจะละลายเข้าไปในเฮกเซนและทำปฏิกิริยากลายเป็นพอลิเมอร์
และส่วนที่เหลือจะอยู่ในรูปของฟองแก๊สลอยขึ้นมาทางด้านบน(๔)
เมื่อเกิดปฏิกิริยา
เอทิลีนและโคโมโนเมอร์จะต่อกันเป็นสายโซ่ที่มีขนาดยาวขึ้น
ถ้าสายโซ่ยังยาวไม่มากพอสายโซ่ที่ได้จะยังละลายในเฮกเซน
สายโซ่ขนาดนี้เรียกว่าโอลิโกเมอร์
(oligomer)
ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้เป็นพอลิเมอร์ได้
แต่เมื่อสายโซ่ยาวมากพอสายโซ่นั้นจะรวมกันเป็นผงอนุภาคพอลิเมอร์แขวนลอยอยู่ในตัวทำละลาย
เฟสของเหลวที่ได้นี้เป็นเฟสที่เราเรียกว่าสเลอรี
(slurry
- เฟสที่มีของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลว)
รูปที่
๑ แผนผังอย่างง่ายของระบบเครื่องปฏิกรณ์ที่เป็นปัญหา
ความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาถูกระบายออก
๒ ทางด้วยกัน
ทางแรกคือการใช้น้ำหล่อเย็นระบายความร้อนออกจากสเลอรีที่อยู่ในถังปฏิกรณ์
D1
โดยใช้น้ำเข้าไประบายผ่าน
jacket
ที่อยู่รอบ
ๆ ถังปฏิกรณ์ D1
หรือโดยการดึงเอาสเลอรีจากถังปฏิกรณ์
D1
ป้อนไปยังเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
(ถ้ามีการติดตั้งเพิ่ม)
แล้วส่งวนกลับมาที่ถังปฏิกรณ์
D1
ใหม่อีกครั้ง
แต่การระบายความร้อนส่วนใหญ่เกิดผ่านทางการระเหยของเฮกเซนที่ใช้เป็นตัวทำละลาย
โดยใช้การคุมความดันในถังปฏิกรณ์
D1
ให้เฮกเซนเดือดที่อุณหภูมิที่ต้องการทำปฏิกิริยา
ไอระเหยของเฮกเซนและแก๊สที่เป็นสารตั้งต้นที่ไม่ทำปฏิกิริยาจะลอยไปยังเครื่องควบแน่น
ที่จะทำการควบแน่นทำให้เฮกเซนเป็นของเหลวและป้อนกลับไปยังถังปฏิกรณ์
D1
ใหม่
ส่วนแก๊สที่ไม่ควบแน่นที่เครื่องควบแน่นจะถูกคอมเพรสเซอร์อัดเวียนป้อนกลับไปยังถังปฏิกรณ์
D1
ใหม่
เครื่องปฏิกรณ์ในรูปทำการควบคุมระดับความสูงของของเหลวด้วยการให้สเลอรีในเครื่องปฏิกรณ์ล้นออกทางท่อล้น
การไหลออกทางท่อล้นอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก
สิ่งที่ไหลออกทางท่อล้นนั้นไม่ได้มีแต่สเลอรี
แต่ยังมีแก๊สที่ไม่ทำปฏิกิริยา
(ทั้งที่อยู่ในรูปแบบฟองแก๊สและที่ละลายอยู่ในเฮกเซน)
ติดไปด้วย
ดังนั้นจึงต้องทำการแยกส่วนที่เป็นแก๊สออกก่อนโดยให้สเลอรีไหลไปยังถังแยกของเหลว-แก๊ส
(D2)
ก่อน
แก๊สที่ติดมากับสเลอรีจะย้อนกลับไปยังเครื่องปฏิกรณ์
(D1)
ผ่านทางท่อสมดุลความดัน
(pressure
balance line)
หน้าที่ของท่อสมดุลความดันคือทำให้ความดันเหนือผิวของเหลวในถัง
D1
และ
D2
เท่ากัน
ของเหลวจึงจะไหลจากถัง D1
ไปยังถัง
D2
ได้
ถ้าไม่มีท่อสมดุลความดันจะทำให้แก๊สที่ติดมากับสเลอรีนั้นสะสมในถัง
D2
ทำให้ความดันในถัง
D2
เพิ่มสูงขึ้นและอาจทำให้ของเหลวไม่สามารถไหลจากถัง
D1
มายังถัง
D2
ได้
สเลอรีที่แยกออกมาที่ถัง
D2
จะถูกส่งต่อโดยความดันภายในถัง
D2
ไปยัง
Flash
drum D3 ความดันใน
Flash
drum D3 นี้จะต่ำกว่าที่ถัง
D2
ดังนั้นแก๊สที่ยังคงละลายอยู่ในเฮกเซนที่ความดันของถัง
D2
จะระเหยกลายเป็นไอออกมาที่ถัง
D3
แก๊สที่แยกออกมานี้จะถูกส่งต่อไปยังเครื่องควบแน่นและคอมเพรสเซอร์
ส่วนสเลอรีที่ออกมาทางก้นถัง
D3
จะถูกส่งต่อไปยัง
centrifuge
เพื่อเหวี่ยงแยกเอาผงพอลิเมอร์ออกจากเฮกเซน
ที่กล่าวมาข้างต้นคือภาพคร่าว
ๆ
ของกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ผมถูกถามมาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาจากการที่ไปบรรยายที่หน่วยงานแห่งหนึ่ง
คำถามที่เขาถามผมคือ
"ทำไมเมื่อเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาจาก
A
ไปเป็น
B
จึงทำให้ระดับของเหลวในถังปฏิกรณ์
D1
เพิ่มสูงขึ้น"
ตรงนี้ต้องขอกล่าวไว้ก่อนว่า
สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้ไม่ได้เป็น
"คำตอบ"
เพราะผมมีข้อมูลจำกัด
ผมให้แต่เพียงแค่ "สมมุติฐาน"
ที่ตั้งขึ้นจากข้อมูลที่เขาให้มาและข้อมูลที่ผมมีอยู่
โดยจะสมมุติว่าถ้าผมต้องลงไปตรวจสอบหาสาเหตุ
ผมจะตรวจสอบตรงจุดใดบ้าง
ส่วนสมมุติฐานข้อไหนเป็นข้อที่ถูกต้องนั้นเขาต้องเป็นคนไปตรวจสอบเอง
สิ่งแรกที่ผมต้องการความชัดเจนก่อนก็คือ
เมื่อเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาจาก
A
ไปเป็น
B
แล้วเห็นระดับของเหลวในถังปฏิกรณ์
D1
เพิ่มสูงขึ้น
และถ้าเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาจาก
B
กลับมาเป็น
A
จะเห็นระดับของเหลวในถังปฏิกรณ์
D1
ลดลงเหมือนเดิมหรือไม่
คำตอบก็คือลดลงเหมือนเดิม
เหตุผลที่ผมถามคำถามนี้ก็คือผมต้องการความมั่นใจว่าสิ่งที่เห็นดังกล่าวไม่ได้ไปทำให้การทำงานของเครื่องมือวัดผิดพลาด
สิ่งที่สองที่ต้องการความชัดเจนคือ
ที่เขาบอกว่าเห็น "ระดับ"
ของเหลวในถังเปลี่ยนนั้น
เขาวัด "ระดับ"
ของเหลวในถังโดยตรงหรือไม่
คำตอบก็คือเขา
"ไม่ได้"
วัดระดับของเหลวในถังโดยตรง
แต่ใช้ differential
pressure transmitter
วัดความดันแตกต่างระหว่างความดันของแก๊สที่อยู่เหนือผิวของเหลวในถัง
D1
กับความดันที่ก้นถัง
D1
(ซึ่งเท่ากับความดันแก๊สเหนือผิวของเหลวบวกกับความดันที่เกิดจากความสูงของสเลอรี)
จากนั้นจึงใช้ค่า
"ความหนาแน่น"
ของสเลอรีคำนวณหาค่าความสูงของระดับของเหลวในถังจากสูตร
Δp
= ρgh
เมื่อ Δp
คือผลต่างระหว่างความดันที่ก้นถัง
D1
ลบด้วยความดันเหนือผิวของเหลวในถัง
D1
ρ
คือความหนาแน่นของสเลอรี
g
คือความเร่งเนื่องจากแรงดึงดูดของโลก
(9.81
m/s2)
h
คือความสูงของระดับของเหลวในถัง
จะเห็นว่าการที่เห็น
Δp
เพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้หมายความว่าค่า
h
เพิ่มสูงขึ้น
ถ้าค่า ρ
เพิ่มสูงขึ้นก็สามารถทำให้ค่า
Δp
เพิ่มขึ้นได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่ในความเป็นจริงนั้นระดับความสูงของของเหลวในถังไม่ได้สูงขึ้น
แต่เครื่องวัดแสดงผลว่าเพิ่มขึ้นเพราะค่า
ρ
ที่ป้อนให้กับเครื่องวัดนั้นต่ำกว่าค่า
ρ
ที่แท้จริงของสเลอรี
สิ่งแรกที่ผมคิดว่าควรต้องตรวจสอบก่อนคือ
"ระดับที่แท้จริงของของเหลวในถัง"
นั้นมีการเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่
สมมุติว่าระดับที่แท้จริงของสเลอรีในถังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ตรงนี้ก็ต้องมาพิจารณาดูว่าค่า
ρ
ที่แท้จริงของสเลอรีนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะการทำปฏิกิริยาหรือไม่
ในมุมมองของผมนั้นค่า
ρ
ที่แท้จริงของสเลอรีจะขึ้นอยู่กับ
(ก)
ความหนาแน่นของเฮกเซน
(ข)
ปริมาณของโอลิโกเมอร์ที่ละลายอยู่ในเฮกเซน
และ
(ค)
ปริมาณผงพอลิเมอร์ที่แขวนลอยอยู่ในเฮกเซน
โอลิโกเมอร์และผงพอลิเมอร์นั้นมีความหนาแน่นมากกว่าเฮกเซน
ดังนั้นในความเห็นผม
การเปลี่ยนชนิดตัวเร่งปฏิกิริยาก็อาจทำให้ได้ปริมาณโอลิโกเมอร์และพอลิเมอร์ที่แตกต่างกันไป
ทำให้ความหนาแน่นของสเลอรี
(เฮกเซนผสมกับโอลิโกเมอร์และพอลิเมอร์)
เปลี่ยนแปลงไปได้
ผมไม่มีข้อมูลว่าในการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยานั้น
พอลิเมอร์ที่ได้มีความหนาแน่นเปลี่ยนไปหรือไม่
ตรงนี้ผมขอตั้งสมมุติฐานว่าถ้าหากตอนที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา
A
นั้นได้พอลิเมอร์ที่มีความหนาแน่นต่ำกว่าเมื่อใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา
B
(ดังนั้นโอลิโกเมอร์ที่ได้จากการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา
A
ก็จะมีความหนาแน่นต่ำกว่าโอลิโกเมอร์ที่ได้จากตัวเร่งปฏิกิริยา
B
ด้วย)
ดังนั้นความหนาแน่นของสเลอรีที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา
B
จึงน่าจะมีความหนาแน่นสูงกว่าสเลอรีที่ได้จากการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา
A
ดังนั้นแม้ว่าระดับความสูงที่แท้จริงของสเลอรีในถังไม่ได้สูงขึ้น
แต่ความดันก้นถังก็จะเพิ่มขึ้นได้
(ผลจากความหนาแน่นของสเลอรีที่สูงขึ้น)
ทำให้คำนวณได้ความสูงของสเลอรีในถังสูงกว่าความเป็นจริง
ทีนี้ถ้าสมมุติว่าระดับความสูงของสเลอรีมีการเพิ่มขึ้นจริง
ก็ต้องมาพิจารณาต่อว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่สามารถทำให้การไหลของสเลอรีจากถัง
D1
ไปยังถัง
D2
มีปัญหา
จึงทำให้เกิดการสะสมของสเลอรีในถัง
D1
จึงทำให้ระดับความสูงของสเลอรีในถัง
D1
เพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้นตอนนี้ขอให้เราลองมาพิจารณาดูการไหลของของเหลวในท่อล้นสักนิด
(รูปที่
๒)
รูปที่
๒ รูปแบบการไหลของของเหลวในท่อล้น
(ซ้าย)
ไหลไม่เต็มพื้นที่หน้าตัดท่อ
(ขวา)
ไหลเต็มพื้นที่หน้าตัดท่อ
(ก)
ในกรณีที่ของเหลวที่ไหลในท่อล้นนั้นไหล
"ไม่เต็ม"
พื้นที่หน้าตัดท่อ
(รูปที่
๒ ซ้าย)
ความดันเหนือผิวของเหลวในถัง
D1
จะถือได้ว่าเท่ากับความดันเหนือผิวของเหลวในถัง
D2
(เพราะแก๊สมีการเชื่อมต่อกันได้ทางท่อล้นและท่อสมดุลความดัน)
ในกรณีนี้อัตราการไหลของของเหลวจากถัง
D1
ไปยังถัง
D2
จะไม่ขึ้นกับผลต่างของระดับความสูงของของเหลวในถัง
D1
กับ
D2
(ไม่ขึ้นกับค่า
h1)
(ลองนึกภาพคุณเทน้ำใส่แก้วดูก็ได้
ไม่ว่าคุณจะวางแก้วน้ำบนพื้น
บนเก้าอี้ หรือบนโต๊ะ
น้ำจะล้นจากแก้วด้วยอัตราเดียวกันกับที่คุณเทเข้าไป)
(ข)
ในกรณีที่ของเหลวที่ไหลในท่อล้นนั้นไหล
"เต็ม"
พื้นที่หน้าตัดท่อ
(รูปที่
๒ ขวา)
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อระดับสเลอรีในถัง
D2
นั้นสูงจนกระทั่งปลายท่อล้นที่เชื่อมต่อเข้าถัง
D2
นั้นจมอยู่ในระดับผิวสเลอรีในถัง
D2
ในกรณีนี้การปรับสมดุลความดันระหว่างถัง
D1
และ
D2
จะขึ้นอยู่กับปริมาณแก๊สที่ติดเข้ามากับสเลอรีที่ไหลเข้ามาในถัง
D2
และขนาดของท่อสมดุลความดัน
ซึ่งจะขอพิจารณาแยกเป็นสองกรณีดังนี้
(ข๑)
ถ้าท่อสมดุลความดันมีขนาดที่สามารถปรับให้ความดันในถัง
D2
เท่ากับถัง
D1
ได้
สเลอรีจะสามารถไหลจากถัง
D1
ไปยังถัง
D2
ได้โดยไม่ติดขัดอะไร
(ข๒)
แต่ถ้าท่อสมดุลความดันไม่สามารถระบายแก๊สได้ทัน
ทำให้เกิดการสะสมของแก๊สในถัง
D2
ความดันเหนือผิวของเหลวในถัง
D2
จะสูงขึ้น
อัตราการไหลของสเลอรีผ่านท่อล้นจากถัง
D1
ไปยังถัง
D2
จะลดลง
ทำให้ระดับของสเลอรีในถัง
D1
เพิ่มสูงขึ้น
แต่เมื่อระดับของสเลอรีในถัง
D1
เพิ่มสูงขึ้นก็จะทำค่า
h2
(ดูรูปที่
๒ ขวา)
เพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งจะไปทำให้อัตราการไหลของสเลอรีจากถัง
D1
ไปยังถัง
D2
เพิ่มขึ้น
จนในที่สุดระบบก็จะเข้าสู่ค่าสมดุลที่ระดับใหม่
(ค)
อีกจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าควรตรวจสอบคือความดันในถัง
D3
เพราะการไหลของของเหลวจากถัง
D2
ไปยังถัง
D3
นั้นไม่มีการใช้ปั๊ม
(ผมไม่แน่ใจว่าระบบที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
แต่ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นอย่างนี้)
เพราะถ้าความดันในถัง
D3
เพิ่มสูงขึ้น
ก็จะทำให้การไหลของสเลอรีไหลจากถัง
D2
ไปยังถัง
D3
ได้ยากขึ้น
สเลอรีจึงเกิดการสะสมในถัง
D2
ทำให้ระดับสเลอรีในถัง
D2
เพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งถ้าหากระดับสเลอรีในถัง
D2
ที่เพิ่มสูงขึ้นนี้สูงท่วมทางออกของท่อล้นที่ต่อเข้าถัง
D2
ก็จะส่งผลต่อไปยังระดับสเลอรีในถัง
D1
ได้
ในความเป็นจริงความดันในถัง
D3
นั้นจะมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่นั้น
ผมคิดว่ามันมีโอกาสแต่จะเกิดจากสาเหตุใดนั้นคงไม่สามารถให้ความเห็นใดได้
แต่ถ้ามันไม่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น
สมมุติฐานข้อ (ค)
นี้ก็จะตกไป
หวังว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้คงทำให้พวกคุณที่ยังไม่มีความรู้และ/หรือประสบการณ์ทางด้านนี้โดยตรงพอจะมองเห็นภาพต่าง
ๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น
สิ่งที่ผมอยากให้พวกคุณได้เรียนจาก
Memoir
ฉบับนี้ก็คือในการตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบนั้น
เราควรพยายามตั้งคำถามให้เป็นกลางและถามคำถามพื้น
ๆ ก่อน จากนั้นจึงค่อยนำข้อมูลที่มีอยู่มาทำการพิจารณา
ตัวอย่างคำถามพื้น
ๆ ที่ผมยกมาในที่นี้คือเขาบอกว่า
"ระดับ"
เพิ่มสูงขึ้น
แต่ผมกลับถามว่าเขาวัด
"ระดับ"
โดยตรงหรือวัด
"สิ่งอื่นที่ไม่ใช่ระดับ"
แต่นำมาคำนวณหา
"ระดับ"
ซึ่งตรงนี้ถ้าเราคิดว่าทำการวัด
"ระดับ"
โดยตรง
ก็จะทำให้เรามองข้ามสมมุติฐานเรื่อง
"ความหนาแน่นมีการเปลี่ยนไปหรือไม่"
ได้
ส่วนที่ว่าผมรู้รายละเอียดของกระบวนการนี้ได้ยังไงนั้น
บ่ายวันวานบางคนก็ได้ทราบคำตอบแล้ว
:)
หมายเหตุ
(๑)
โคโมโนเมอร์ใส่ลงไปเพื่อให้สายโซ่พอลิเมอร์อยู่ห่างจากกัน
จะทำให้พอลิเมอร์ที่ได้รับแรงกระแทกได้ดีขึ้น
และทำให้ความหนาแน่นของพอลิเมอร์ลดลง
(เพราะที่ว่างระหว่างสายโซ่เพิ่มมากขึ้น)
โคโมโนเมอร์ที่ใช้มักจะเป็นอัลฟาโอเลฟินส์
(โอเลฟินส์ที่มีพันธะคู่
C=C
อยู่ที่คาร์บอนอะตอมแรก)
ถ้าใช้โคโมเมอร์โมเลกุลใหญ่เช่น
เฮกซีน (C6H12)
หรือออกทีน
(C8H16)
พอลิเมอร์ที่ได้อาจกลายเป็น
LLDPE
แทนที่จะเป็น
HDPE
(๒)
ไฮโดรเจนทำหน้าที่เป็นตัวปิดการต่อสายโซ่ให้ยาวขึ้น
ถ้าใส่ไฮโดรเจนมากจะทำให้ได้พอลิเมอร์สายโซ่สั้นซึ่งมีความหนืดต่ำไหลได้ง่าย
ในทางตรงกันข้ามถ้าใส่ไฮโดรเจนน้อยจะทำให้ได้พอลิเมอร์ที่มีความหนืดสูงไหลได้ยาก
การวัดความหนืดของพอลิเมอร์จะวัดด้วยค่า
Melt
Flow Index (MFI) ซึ่งวัดจากน้ำหนักพอลิเมอร์ที่ไหลผ่านรูเมื่อมีแรงกด
ณ อุณหภูมิ ขนาดรู และแรงกดตามที่กำหนด
ในเวลาที่กำหนดไว้
(๓)
ระบบตัวเร่งปฏิกิริยา
Ziegler-Natta
ประกอบด้วยสองส่วน
ส่วนแรกเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาหลักซึ่งมักเป็นสารประกอบ
Ti
บนตัวรองรับ
MgCl2
และส่วนที่สองเป็นสารประกอบอัลคิลกับโลหะ
ที่ใช้กันมากที่สุดตัวหนึ่งได้แก่สารประกอบอัลคิลอะลูมิเนียมเช่น
triethyl
aluminium (Al(C2H5)3)
(๔)
ในทางปฏิบัตินั้นจะควบคุมองค์ประกอบของแก๊สที่ป้อนเข้าถังปฏิกรณ์
D1
แต่ความเข้มข้นที่แท้จริงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรซ์นั้นคือความเข้มข้นของสารตั้งต้นแต่ละตัวที่ละลายอยู่ในเฮกเซน
ไม่ใช่ความเข้มข้นในเฟสแก๊ส
ดังนั้นแม้ว่าตัวทำละลายจะไม่เกี่ยวข้องกับกลไกการเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรซ์
แต่ถ้าเปลี่ยนตัวทำละลายก็จะทำให้ค่าการละลายของแก๊สต่าง
ๆ เปลี่ยนไปได้
ดังนั้นแม้ว่าจะป้อนแก๊สที่ความเข้มข้นเดียวกัน
แต่ใช้ตัวทำละลายต่างกัน
ก็มีสิทธิที่จะได้พอลิเมอร์ที่แตกต่างกันได้