วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กระจกนิรภัย MO Memoir : Sunday 10 November 2556

สัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นประตูกระจกห้องลิฟต์ที่ผมจอดรถอยู่เป็นประจำ มันแตกเป็นครั้งที่สอง ปรกติก็เห็นได้เห็นกระจกที่ใช้ทำผนังกั้นหรือประตูต่าง ๆ ในอาคารแตกเสียหายก็หลายครั้ง แต่ประตูที่เห็นแตกนี้แตกต่างออกไปเพราะใช้กระจกนิรภัยทำ Memoir ฉบับนี้ก็เลยขอเล่าถึงกระจกนิรภัยสักหน่อย

กระจกนิรภัยที่ผมเคยเห็นนั้นมีอยู่ ๓ แบบด้วยกันคือ

. Wire mesh glass 
  
เป็นกระจกที่มีตะแกรงลวดโลหะอยู่ภายใน กระจกแบบนี้ได้เห็นตอนไปเรียนต่างประเทศ ไม่เคยเห็นว่ามีการใช้ในเมืองไทย

. Tempered glass 
  
เป็นกระจกนิรภัยที่เวลาแตกแล้วจะแตกทั้งบานเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "เม็ดข้าวโพด" เศษกระจกที่แตกนั้นต้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมหรือใกล้สี่เหลี่ยมให้มากที่สุด เพราะเป็นรูปทรงที่ทำให้ชิ้นส่วนต่างที่แตกนั้นมีความ "แหลม" น้อยที่สุด กระจกแบบนี้ผลิตได้ด้วยการนำแผ่นกระจกธรรมดาไปเผาให้ร้อน จากนั้นนำไปเป่าให้เย็นลงด้วยอัตราที่เหมาะสมด้วยอากาศร้อน ถ้าต้องการให้กระจกสุดท้ายที่ได้นั้นมีรูปร่างแบบใดและขนาดเท่าใดก็ต้องคำนวณเอาไว้ก่อนที่จะนำแผ่นกระจกธรรมดามาเข้ากระบวนการ เพราะเมื่อผ่านกระบวนการเสร็จแล้วจะไม่สามารถตัดแต่งรูปทรงใด ๆ ได้อีก เพราะถ้าพื้นผิวของกระจกชนิดนี้เป็นรอยลึกเพียงนิดเดียว กระจกจะแตกทั้งบาน
 
กระจกแบบนี้แต่ก่อนเห็นใช้ทำกระจกรถยนต์ทุกบานรวมทั้งกระจกหน้าด้วย แต่ตอนนี้สำหรับกระจกหน้าไม่ได้ใช้ tempered glass แล้ว เพราะเวลามันแตกจะทำให้คนขับมองทางไม่เห็น สำหรับรถเก๋งส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นหันไปใช้ชนิด laminated glass กันหมดแล้ว แต่กระจกด้านข้างและด้านหลังก็ยังใช้ชนิด tempered glass อยู่ เพราะ tempered glass มีข้อดีตรงที่ทุบให้มันแตกออกได้ เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่สามารถใช้ประตูเป็นทางเข้าออกได้ก็จะอาศัยช่องทางหน้าต่างเป็นช่องทางหนี ดังนั้นกระจกที่ใช้ทำกระจกหน้าต่างจึงเป็นกระจกชนิดนี้ พวกกระจกหน้าต่างรถโดยสาร (ไม่ว่าติดแอร์หรือไม่ติดแอร์) รถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน ก็ใช้กระจกแบบนี้ทั้งนั้น

. Laminated glass  
 
เป็นกระจกที่สร้างขึ้นจากกระจกอย่างน้อยสองแผ่นมาประกบให้ติดกันโดยมีฟิล์มพลาสติกใสประสานอยู่ตรงกลาง ปัจจุบันแผ่นกระจกบานหน้าของรถเก๋งก็เห็นใช้กระจกชนิดนี้กันหมดแล้ว ข้อดีของกระจกชนิดนี้คือเวลาแตกมันจะเป็นรอยแตกเหมือนกระจกปรกติ คือไม่เกิดลวดลายไปทั้งบาน ทำให้คนขับยังมองเห็นทัศนวิสัยข้างหน้าได้อยู่ แต่ก็ไม่หลุดเป็นชิ้นส่วนที่แหลมคมออกมา เพราะฟิล์มเหนียวที่อยู่ตรงกลางเป็นตัวยึดกระจกเอาไว้ พวกกระจกกันกระสุนปืนก็เป็นกระจกประเภทนี้ เพียงแต่มีการซ้อนกันหลายชั้นมากกว่า อาจจะใช้แต่แผ่นกระจกหรือใช้พลาสติกใสชนิดอื่นร่วมด้วยก็ได้
 
กระจกแบบนี้มีข้อเสียการจะทุบให้แตกจนทะลุนั้นทำได้ยาก ดังนั้นสำหรับช่องทางที่คาดหวังว่าจะใช้เป็นช่องทางออกฉุกเฉิน (กระจกหน้าต่างบานด้านข้างและบานด้านหลังรถ) จึงไม่ใช้กระจกชนิดนี้

รูปที่ ๑ ป้ายระบุกระจกนิรภัยชนิด (บน) tempered (ล่าง) ชนิด laminated

รูปที่ ๒ (ซ้าย) กระจกบานประตูที่แตกออก ลักษณะแตกคือแตกทั้งบานแบบกระจก tempered จุดที่เริ่มก่อให้เกิดรอยแตกจะดูได้จากแนวเส้นรอยแตกที่แผ่ออกมาจากจุดที่เริ่มแตก (ตำแหน่งยึดที่จับประตูด้านล่าง) ตอนแรกที่เห็นก็แปลกใจว่าทำไมมันยังคงรูปร่างอยู่ได้ แต่พอดูด้านข้าง (ขวา) ก็เลยรู้ว่าที่มันยังคงรูปอยู่ได้ก็เพราะเป็นกระจกสองบานประกบกันด้วยฟิล์ม บานด้านขวาคือบานที่แตก ส่วนบานด้านซ้ายนั้นยังปรกติดีอยู่

รูปที่ ๓ (ซ้าย) ดูเหมือนรอยแตกจะเริ่มจากตำแหน่งยึดที่จับประตูด้านล่าง เพราะเห็นมีเส้นรอยแตกแผ่ออกมาตามแนวเส้นลูกศรสีเหลือง ในขณะที่ตำแหน่งยึดที่จับประตูด้านบน (ขวา) จะมีแต่เส้นรอยแตกวิ่งผ่านออกไป

กระจกประตูอาคารจอดรถที่ผมเห็นแตกนั้นมันแตกแบบ tempered glass คือเวลาที่มันแตกมันจะแตกเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ ทั้งบาน เห็นตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมมันไม่ร่วงหล่นลงมา พอดูจากทางด้านข้างก็เลยเห็นว่าเขาใช้กระจกสองแผ่นมาประกบกันด้วยฟิล์มเหนียว-ใสตรงกลาง ทำให้ชิ้นส่วนกระจกเล็ก ๆ ที่เกิดจากการแตกนั้นไม่ร่วงหล่นลงมายังพื้น  
  
กระจกหน้าต่างตามบ้านและอาคารทั่วไปก็เห็นใช้กระจกแผ่นแบบธรรมดากัน เพราะมันราคาถูกกว่ากระจกนิรภัย แต่ถ้าเป็นกระจกที่ใช้เป็นฉากกั้นกันน้ำกระเซ็นไปทั่วห้องน้ำ ก็ต้องใช้กระจกนิรภัย เพราะพื้นในห้องน้ำนั้นจัดว่าลื่นกว่าพื้นปรกติ โอกาสลื่นล้มไปกระแทกกระจกจะสูงกว่า
  
แนวรอยแตกของกระจกนั้นเมื่อเริ่มขยายตัวแผ่ออกไปจะวิ่งด้วยความเร็วเสียง ความเร็วเสียงในที่นี้คือความเร็วเสียงในตัวกลางนั้นซึ่งในที่นี้ก็คือกระจก และความเร็วเสียงในของแข็งก็สูงกว่าความเร็วเสียงในอากาศด้วย ดังนั้นบางทีเวลาที่เขาตรวจพบรอยร้าวในเนื้อโลหะและไม่ต้องการให้มันขยายตัวออกไป ก็จะใช้วิธีการเจาะรูที่จุดสิ้นสุดของรอยร้าวหรือดักหน้ารองร้าวนั้นซึ่งก็พอช่วยให้รอยร้าวมาหยุดที่รูดังกล่าวได้ แล้วค่อยดำเนินการซ่อมแซมใหญ่กันเมื่อโอกาสอำนวย

รอยแตกร้าวนี้เมื่อเริ่มวิ่งออกไปก็จะไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงตำแหน่งขอบหรือตำแหน่งที่เนื้อวัสดุไม่ต่อเนื่อง (เช่นตำแหน่งของรอยแตกร้าวที่เกิดก่อนหน้า) คุณลักษณะเช่นนี้ทางตำรวจใช้บ่งบอกว่าเวลาที่มีการยิงทะลุกระจกนั้น นัดไหนเป็นนัดแรกที่ทำการยิง เพราะรอยแตกร้าวที่เกิดจากกระสุนนัดแรกจะเดินทางไปไกลที่สุด (คือไปจนถึงขอบกระจก) ส่วนรอยแตกร้าวที่เกิดจากกระสุดนัดหลังนั้นจะไปสิ้นสุดที่รอยแตกร้าวของกระสุดนัดที่เกิดก่อนหน้า (รูปที่ ๔) แต่ถ้ากระจกแตกตกลงมาทั้งบาน ก็คงจะบอกอะไรได้ลำบาก


รูปที่ ๔ รอยแตกที่เกิดจากรูที่ ๑ (เส้นสีน้ำเงิน) นั้นไปไกลสุดและไม่ไปหยุดที่รอยแตกรอยอื่น แสดงว่ารูที่ ๑ นั้นเป็นรูแรกที่เกิด ส่วนรอยแตกที่เกิดจากรูที่ ๒ (เส้นสีม่วง) นั้นมีรอยมาสิ้นสุดที่แนวรอยแตกที่เกิดจากรูที่ ๑ (ตำแหน่ง ก) แสดงว่ารูที่ ๒ เกิดหลังจากรูที่ ๑ และรอยแตกที่เกิดจากรูที่ ๓ (เส้นสีเขียว) มีรอยมาสิ้นสุดที่รอยแตกที่เกิดจากรูที่หนึ่ง (ตำแหน่ง ข) และรอยแตกที่เกิดจากรูที่ ๒ (ตำแหน่ง ค) แสดงว่ารูที่ ๓ เกิดขึ้นทีหลังรูที่ ๒ ถ้ารูดังกล่าวเกิดจากการยิงกระสุนผ่าน ก็จะบอกได้ว่ากระสุนนัดแรกเข้าที่รูที่ ๑ กระสุนนัดที่สองเข้าที่รูที่ ๒ และกระสุนนัดที่สามเข้าที่รูที่ ๓

ไม่มีความคิดเห็น: