ในการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟนั้น
นิยามของค่า Response
Factor (RF) คืออัตราส่วนระหว่างพื้นที่พีคต่อความเข้มข้น
ส่วนค่า Relative
Response Factor (RRF) คือค่า
RF
ของสาร
A
ต่อค่า
RF
ของสาร
B
มองอีกมุมหนึ่งคือ
ถ้าเราฉีดสาร A
ใน
"ปริมาณ"
หนึ่ง
ทำให้ตัวตรวจวัด (detector)
ส่งสัญญาณออกมาเป็นพีคที่มีพื้นที่ใต้พีค
Area
(A) แล้วถ้าเราฉีดสาร
B
ในปริมาณที่
"เท่ากับ"
สาร
A
ที่ฉีดเข้าไป
ทำให้ตัวตรวจวัดส่งสัญญาณออกมาเป็นพีคที่มีพื้นที่ใต้พีค
Area
(ฺB)
คำถามก็คือ
Area
(A) ควรเท่ากับ
Area
(B) หรือไม่
ตรงนี้ก็ต้องกลับไปดูก่อนว่าเราใช้หน่วยอะไรวัด
"ปริมาณ"
(โมล
น้ำหนัก จำนวนอะตอมของธาตุบางธาตุ
ฯลฯ)
เพื่อใช้เปรียบเทียบว่ามีการฉีดเข้าไปเท่ากัน
ในกรณีของ
Flame
Ionisation Detector (FID) ที่ใช้หลักการเผาสารอินทรีย์ให้ลุกไหม้
และตรวจวัดปริมาณอนุมูลมีประจุที่เกิดขึ้นระหว่างการเผาไหม้นั้น
ปริมาณอนุมูลมีประจุที่เกิดขึ้นขึ้นอยู่กับจำนวนอะตอม
C
และ
O
เป็นหลัก
ในกรณีของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบด้วยอะตอม
C
และ
H
เท่านั้น
พบว่าถ้าเปรียบเทียบโดยใช้เกณฑ์จำนวนอะตอม
C
ที่ฉีดเข้าไปเท่ากัน
พื้นที่ใต้พีคของแต่ละสารที่ได้จะประมาณได้ว่าเท่ากัน
ตัวอย่างเช่นจากข้อมูลในตารางที่
๑ ของเอกสารที่แนบมา
สมมุติว่าเราฉีด heptane
(C7H16) 0.01 mmol แล้วได้พื้นที่พีคออกมา
1000000
หน่วย
ดังนั้นถ้าเราฉีด methane
(CH4) เข้าไป
0.07
mmol (จำนวนอะตอม
C
ที่ฉีดเข้าไปเท่ากัน)
เราก็ควรจะได้พื้นที่พีคออกมาประมาณ
1000000
หน่วยด้วย
หรือถ้าเราฉีด dimethylpentane
(C5H10(CH3)2) เข้าไป
0.01
mmol (โมเลกุลต่างกัน
แต่จะนวนอะตอม C
เท่ากัน)
เราก็ควรจะได้พื้นที่พีคออกมาประมาณ
1000000
หน่วยเช่นกัน
ในกรณีของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
ข้อมูลที่มีผู้ทำการทดลองไว้ที่แสดงในตารางที่
๑ ของเอกสารที่แนบมาบ่งบอกว่าค่า
RRF
ของไฮโดรคาร์บอนนั้นมีค่าประมาณ
1
จะมียกเว้นบางคือ
benzene
(C6H6) ที่ให้ค่า
RRF
เป็น
1.12
และ
toluene
(C6H5CH3) และ
acetylene
(C2H2) ที่ให้ค่า
RRF
เป็น
1.07
(เบี่ยงเบนไปเกิน
5%)
กล่าวคือสมมุติถ้าว่าเราฉีด
heptane
(C7H16) 0.01 mmol แล้วได้พื้นที่พีคออกมา
1000000
หน่วย
แต่พอเอา toluene
จำนวน
0.01
mol (อะตอม
C
เท่ากัน)
มาฉีด
เราจะได้พื้นที่พีคออกมา
1070000
หน่วย
ในกรณีของสารประกอบที่มีอะตอม
O
เป็นองค์ประกอบนั้น
เมื่อเทียบกับไฮโดรคาร์บอนที่มีจำนวนอะตอม
C
เท่ากันพบว่า
ยิ่งสัดส่วนจำนวน O
ในโมเลกุลเพิ่มขึ้นมากเท่าใด
ค่า RRF
ของสารจะยิ่งลดลงมากเท่านั้น
อย่างเช่นในกรณีของ methane
(CH4) methanol (CH3OH) และ
formic
acid (HCOOH) ที่มีค่า
RRF
เป็น
1.00
0.23 และ
0.01
ตามลำดับ
การที่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนให้ค่า
RRF
ประมาณ
1
(หรือคลาดเคลื่อนไปไม่เกิน
5%)
นั้นมันทำให้ง่ายในการวิเคราะห์ตรงที่เราสามารถใช้พื้นที่พีคเป็นตัวเปรียบเทียบจำนวนอะตอม
C
ของแต่ละพีคได้
ส่วนจะเป็นสารใดในจำนวนโมลเท่าใดนั้นก็ต้องเอาจำนวนอะตอม
C
ในโมเลกุลสารนั้นไปปรับค่าอีกที
ตรงนี้มันทำให้ง่ายในการสร้าง
calibration
curve ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
คือทำให้เราไม่จำเป็นต้องสร้าง
calibration
curve สำหรับทุกสาร
สร้างเพียงแค่ของสารใดสารหนึ่งพอ
แล้วใช้ค่า RRF
เป็นตัวปรับ
เช่นเราอาจสร้าง calibration
curve ของ
ethane
(C2H6 RRF = 0.97) ขึ้นมา
ถ้าเราจะเอา curve
นี้ไปใช้กับ
ethylene
(C2H4 RRF = 1.02) เราก็ต้องพื้นที่
calibration
curve ของ
ethane
มาคูณด้วย
1.02/0.97
หรือ
1.05
ก่อน
ก็จะได้ calibration
curve สำหรับ
ethylene
(กล่าวอีกนัยหนึ่งคือที่จำนวนโมลที่ฉีดเท่ากัน
ethylene
จะให้สัญญาณที่แรงกว่า
ethane
อยู่
5%)
RRF
มันบอกว่าถ้าเราเอาสารใดสารหนึ่งฉีดเข้า
GC
ในปริมาณหนึ่ง
และถ้าเราเอาสารอีกชนิดหนึ่งมาฉีดเข้า
GC
ในปริมาณที่เท่ากัน
(อย่างเช่นในกรณีของไฮโดรคาร์บอนคืออะตอม
C
เท่ากัน)
พื้นที่พีคที่วัดได้ของทั้งสองสารนั้นจะออกมาประมาณเท่ากันแค่นั้นเอง
RRF
มัน
"ไม่ได้"
บอกว่าถ้าเราเอาสารใดสารหนึ่งปริมาณ
1
หน่วยฉีดเข้า
GC
แล้วได้พื้นที่พีคออกมาในปริมาณหนึ่ง
และถ้าเราเอาสารเดิมนั้นมาเพียงแค่
0.001
หน่วย
(หรือ
1
ใน
1000)
มาฉีดเข้า
GC
เราจะต้องได้พื้นที่พีคออกมาเพียงแค่
1
ใน
1000
ของพื้นที่พีคที่ได้จากการฉีดสารนั้นเข้าไป
1
หน่วย
เพราะตรงนี้มันขึ้นอยู่กับ
"linearity"
ของตัวตรวจวัด
ว่าความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสารกับพื้นที่พีคที่ได้นั้น
มีความสัมพันธ์ที่ประมาณได้ว่าเป็นเส้นตรงนั้น
เป็นช่วงกว้างเท่าใด
จริงอยู่ที่ว่า
FID
นั้นมีการตอบสนองที่มี
linearity
ในช่วงกว้าง
แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวพบว่าเวลาทำงานกับสารอินทรีย์ที่ต้องทำการวิเคราะห์ในช่วงความเข้มข้นที่กว้างเมื่อใด
จำเป็นต้องตรวจสอบ linearity
ของ
FID
ทั้งในช่วงความเข้มข้นสูงและความเข้มข้นต่ำเสมอ
และมักจะพบว่าถ้าได้
calibration
curve
ที่เป็นเส้นตรงสองเส้นที่มีค่าความชันแตกต่างกันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติเหนือความคาดหมาย
ที่เคยเจอนั้น
ที่ความเข้มข้นต่ำจะให้ค่าความชันที่สูงกว่าอยู่เรื่อยโดยเส้นตรงดังกล่าวจะมุ่งเข้าหาจุดตัดแกน
ในขณะที่ช่วงความเข้มข้นสูงนั้นแม้ว่าจะประมาณว่าเป็นเส้นตรงได้ดี
แต่เมื่อต่อเส้นตรงนั้นออกไปมักจะพบว่าจะไปตัดแกน
y
ที่ตำแหน่งเหนือจุดตัดแกนเป็นประจำ
(ตอนทำ
regression
ต้องไม่นำเอาจุด
(0,0)
มาใช้คำนวณนะ)
เรื่องการสร้าง
calibration
curve นี้ดูเพิ่มเติมได้ใน
Memoir
ปีที่
๑ ฉบับที่ ๒๑ วันอังคารที่
๙ ธันวาคม ๒๕๕๑ เรื่อง
"ลากให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่าน"
การที่ไม่ตรวจสอบ
linearity
ของตัว
FID
ว่ามันครอบคลุมช่วงที่ทำการวิเคราะห์หรือไม่นั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาในการแปลผลได้
อย่างเช่นสมมุติว่าเราทำปฏิกิริยา
catalytic
cracking ของไฮโดรคาร์บอนตัวหนึ่ง
เรานำสารตั้งต้นมาฉีดเข้า
GC
แล้วได้พื้นที่พีคออกมา
1000000
หน่วย
(มีพีคปรากฏเพียงพีคเดียว)
และเมื่อเรานำผลิตภัณฑ์มาฉีดเข้า
GC
พบว่ามีพีคปรากฏออกมาหลายพีค
(ทั้งของสารตั้งต้นที่ยังไม่ทำปฏิกิริยา
และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น)
และเมื่อนำพื้นที่ของแต่ละพีคมาบวกรวมเข้าด้วยกันพบว่าเท่ากับพื้นที่พีคของสารตั้งต้นที่ฉีดเข้าไป
(คือ
1000000
หน่วย)
คำถามก็คือเราจะถือได้เลยไหมว่า
จำนวนอะตอมคาร์บอนที่ออกมากับสายผลิตภัณฑ์นั้นเท่ากับจำนวนอะตอมคาร์บอนที่ป้อนเข้าไป
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีสารตกค้างอยู่ในระบบ
(เช่นเกิดเป็น
coke
ที่เป็นของแข็งเกาะสะสมอยู่ภายในระบบ)
สมมุติว่าในการวัดดังกล่าว
พีคที่มีขนาดเล็กที่สุดมีพื้นที่
10000
หน่วยหรือ
1
ใน
100
ของสารตั้งต้นที่ป้อนเข้าระบบ
เราก็ควรทดลองฉีดสารตั้งต้นในปริมาณ
1
ใน
100
ของที่ใช้ในการทดลอง
เพื่อที่จะดูว่าพีคที่ได้นั้นมีพื้นที่ลดลงเหลือเพียง
1
ใน
100
ของ
1000000
หน่วย
(หรือ
10000
หน่วย)
หรือไม่
ถ้าพบว่าเมื่อฉีดสารน้อยลงเหลือ
1
ใน
100
ส่วนแล้วได้พื้นที่พีคลงลงเหลือ
1
ใน
100
ส่วนด้วย
นั่นก็แสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณกับความแรงของสัญญาณที่วัดได้นั้นยังคงประมาณได้ว่าเป็นเส้นตรงอยู่
(ค่า
Response
Factor หรือ
RF
คงที่)
สัดส่วนของสารแต่ละตัวในสายผลิตภัณฑ์จะเทียบเท่ากับสัดส่วนพื้นที่พีคของสารนั้นเทียบกับพื้นที่พีคของสารตั้งต้นในสายป้อน
แต่ถ้าพบว่าเมื่อฉีดสารเข้าไป
1
ใน
100
ส่วนกลับได้พื้นที่ออกมา
12000
หน่วย
นั่นแสดงว่าที่ความเข้มข้นต่ำ
ๆ นั้นค่า RF
(พื้นที่ต่อความเข้มข้น)
เพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้นการเอาพื้นที่พีคด้านขาออกมาบวกรวมเข้าด้วยกันโดยตรง
โดยอิงจากค่า RF
ที่ความเข้มข้นสูง
จะทำให้ได้ปริมาณผลิตภัณฑ์ขาออกที่สูงเกินจริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น