วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ปราสาทจอมพระ MO Memoir : Tuesday 20 October 2563

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีความจำเป็นต้องเดินทางไปทอดผ้าป่าที่วัดแห่งหนึ่ง ณ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ เส้นทางที่เลือกใช้ก็คือจากสระบุรีไปยังสีคิ้ว ก่อนเปลี่ยนไปใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๔ ที่ไปยังปักธงชัย นางรอง ปราสาท แล้วค่อยวกขึ้นเหนือไปยังตัวจังหวัดสุรินทร์ ระยะทางสี่ร้อยกิโลเมตรเศษใช้เวลาเดินทางร่วม ๘ ชั่วโมง ในสภาพที่ฝนตกตลอดทาง เรียกว่าแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน แต่ก็แยกไม่ออกว่า เช้า สาย เที่ยง บ่าย หรือเย็น เพราะไม่ได้เห็นท้องฟ้าเลย ซึ่งก็เป็นผลจากพายุดีเปรสชั่นที่พัดเข้าภาคอีสานในวันนั้นพอดี ทำให้ต้องขับรถเปิดไฟหน้าไปตลอดทาง

ระหว่างทางฝนก็ไม่ได้ตกหนักมาก เอาเป็นว่าส่วนใหญ่จะเปิดที่ปัดน้ำฝนแค่ปัดเป็นจังหวะก็พอ แต่อาจเป็นด้วยที่มันตกต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน และพื้นที่รับน้ำฝนมีบริเวณกว้าง ก็เลยทำให้หลายท้องที่นั้นโดนน้ำท่วมไป โชคดีที่ทางหลวงสาย ๒๔ ไม่โดนไปด้วย ทางหลวงสาย ๒๔ นั้นก็เป็นถนนด้านละ ๒ ช่องจราจร แต่ทิศมุ่งตะวันออกสภาพทางจะแย่ (ไม่) หน่อย คือมีหลุมบ่อเป็นระยะตลอดทาง ไม่เหมือนกับฝั่งด้านมุ่งตะวันตก ที่สภาพผิวจราจรดีกว่ามาก อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าฝั่งมุ่งตะวันตกนั้นเป็นเส้นทางเดิมสมัยที่ยังเดินรถคนละเลนวิ่งสวนกันอยู่หรือเปล่า เพราะที่เคยเจอมาก็มักพบว่ามันจะเป็นอย่างนี้ คือพอมีการขยายถนนจาก ๒ ช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจรด้วยการสร้างถนนใหม่ขึ้นมาอีก ๒ ช่องจราจรขนานไปกับถนนเส้นเดิม ฝั่งด้านถนนเส้นเก่ามักจะมีปัญหาเรื่องพื้นผิวจราจรน้อยกว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมันถูกสารพัดรถวิ่งบดอัดมาเป็นเวลานาน จนทำให้ดินข้างใต้มันถูกอัดจนแน่นตัว

รูปที่ ๑ แผนที่ทางหลวงประเทศไทยจัดทำโดยบริษัท Esso ประเทศไทย ฉบับปีพ.ศ. ๒๕๓๕ จะเห็นว่าตอนนั้นทางหลวงหมายเลข ๒๔ ช่วง สีคิ้ว-ปักธงชัย-โชคชัย ยังไม่มี ผู้ที่จะเดินทางไปสุรินทร์ก็คงต้องใช้เส้นทางเข้านครราชสีมา ผ่านบุรีรัมย์ ไปยังสุรินทร์ ที่เป็นเส้นทางขนานไปกับทางรถไฟ

เคยไปสุรินทร์ครั้งแรกเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ แต่ตอนนั้นนั่งรถตู้ไป เดินทางจากชลบุรีเข้าทางสระแก้ว จากนั้นก็มุ่งเข้าสู่ทางตาพระยา โนนดินแดง และไปโผล่บรรจบสาย ๒๔ ที่นางรอง แต่ครั้งนี้ขับรถไปเอง รถก็อายุ ๑๗ ปีแล้ว เพิ่งจะเปลี่ยน น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ หม้อน้ำ ยางรองแท่นเครื่อง ยางรถยนต์ และกระจกหน้าไป นอกนั้นทุกอย่างก็ยังใช้การได้ดีอยู่ การกินน้ำมันของเครื่องยนต์ก็ยังเหมือนเดิม ขาไปวิ่งด้วยแก๊สโซฮอล์ ๙๑ แต่ขากลับเติม ๙๕ กลับมา

ด้วยการที่เสียเวลาเดินทางมากกว่าที่คิดไว้หลายชั่วโมง พอไปถึงที่พักในตัวจังหวัดก็เกือบจะค่ำแล้ว ก็เลยไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน วันรุ่งขึ้นต้องขับรถอีกกว่า ๔๐ กิโลเมตรเพื่อไปร่วมงาน แล้วต้องรีบเดินทางกลับเลย เพราะดูจากสภาพอากาศแล้วขากลับก็คงใช้เวลาราว ๆ ๘ ชั่วโมงเหมือนเดิม แต่เอาเข้าจริงก็ทำเวลาได้ดีกว่าขาไปนิดหน่อย เพราะสภาพอากาศและเส้นทางขากลับนั้นดีกว่าตอนขามา ไปครั้งนี้ก็เลยไม่ได้แวะเที่ยวอะไรเลย นอกจาก "ปราสาทจอมพระ" ที่อยู่บนเส้นทางจากท่าตูมมายังสุรินทร์ ก็เลยถือโอกาสแวะถ่ายรูปเสียหน่อย ทั้ง ๆ ที่ฝนยังตกปรอย ๆ แต่ก็ไม่สามารถเดินเข้าไปใกล้บริเวณปราสาทได้ เพราะมันมีน้ำท่วมพื้นแฉะไปหมด

รูปที่ ๒ ป้ายอธิบายความเป็นมาของปราสาทจอมพระ

ปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตวัด ไม่มีการเก็บค่าเข้าชม ส่วนที่ว่าความเป็นไปของปราสาทนี้เป็นอย่างไรนั้น ก็สามารถอ่านได้จากป้ายที่กรมศิลปากรทำไว้ (รูปที่ ๒) Memoir ฉบับวันนี้ก็คงไม่มีอะไรมาก เป็นแค่เพียงบันทึกการเดินทางและสถานที่แห่งหนึ่งที่ได้ไปเห็นมาเท่านั้นเอง

รูปที่ ๓ มองจากป้ายเข้าไปยังบริเวณซากปราสาท 

รูปที่ ๔ บริเวณกองหินที่อยู่ทางด้านทิศซ้ายของซากปราสาท 

รูปที่ ๕ สภาพมุมหนึ่งของกองหิน

รูปที่ ๖ เดินบนคันดินมายังด้านหลังปราสาท ก็เลยขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อย

รูปที่ ๗ มองย้อนออกไปยังทิศทางที่เดินเข้ามา

ไม่มีความคิดเห็น: