บทความในชุดนี้จะเกี่ยวข้องกับตัวอย่างวิธีการวางท่อสำหรับอุปกรณ์บางชนิด
ที่จำเป็นต้องคำนึงถึง
การเข้าปฏิบัติงาน ณ ตำแหน่งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการเดินเครื่องตามปรกติหรือการซ่อมบำรุง
การเริ่มต้นเดินเครื่องและการหยุดเดินเครื่อง
และอุปกรณ์สำรองที่ต้องอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมใช้งาน
แบบต่าง ๆ ที่มาแสดงจะเป็นภาพฉาย
(orthographic)
ที่เป็นมุมมองจากทางด้านบน
(plan
view) และจากทางด้านหน้า
(elevation
view) สำหรับผู้ที่ไม่เคยอ่านแบบเช่นนี้มาก่อนก็ขอแนะนำให้อ่าน
Memoir
ฉบับเมื่อวันพฤหัสบดีที่
๑๖ กุมภาพันธ์ เรื่อง "Piping isometric และ orthographic drawing" ก่อน
เพื่อจะได้มีพื้นฐานการอ่านแบบเช่นนี้บ้าง
ปั๊มหอยโข่ง
(centrifugal
pump) ที่ใช้กันในโรงงานนั้นประกอบด้วยตัวปั๊ม
(pump)
และหน่วยขับเคลื่อน
(driver
unit)
หน่วยขับเคลื่อนที่ใช้กันมากที่สุดและแพร่หลายที่สุดเห็นจะได้แก่มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
รองลงไป ถ้าเป็นปั๊มขนาดใหญ่เห็นจะได้แก่ไอน้ำ
แต่ถ้าเป็นปั๊มขนาดเล็กเห็นจะได้แก่อากาศอัดความดัน
แต่ที่จะกล่าวถึงในบทความชุดนี้จะเป็นส่วนของปั๊มขนาดใหญ่ที่มีการติดตั้งถาวรยึดตรึงไว้กับแท่น
ถ้าเทียบขนาดกันแล้ว
ปั๊มจะมีขนาดเล็กกว่ามอเตอร์ไฟฟ้า
(เส้นผ่านศูนย์กลางของปั๊มอาจจะใหญ่กว่าของมอเตอร์บ้าง
แต่ก็ไม่มากเท่าใด
แต่มอเตอร์จะยาวมากกว่า)
แต่ถ้าพูดถึงความถี่ในการซ่อมบำรุง
ตัวปั๊มจะต้องการการซ่อมบำรุงมากกว่า
อย่างน้อยก็ที่ตัว mechanical
seal ที่ต้องมีการเปลี่ยนเป็นระยะ
ดังนั้น ณ
จุดนี้ก็น่าจะเห็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการออกแบบท่อขาเข้าและขาออกของปั๊ม
คือเมื่อหยุดเดินเครื่องปั๊มแล้วควรต้องสามารถถอดชิ้นส่วนท่อด้านขาเข้าและขาออกของปั๊มได้
เพื่อที่จะได้มีที่ว่างสำหรับการทำงานซ่อมบำรุงปั๊ม
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นว่าไม่มีใครเขาติดตั้งวาล์วเข้ากับตัวปั๊มโดยตรง
แต่จะมีช่วงท่อสั้น ๆ
ที่สามารถถอดออกได้คั่นอยู่ระหว่างวาล์วด้านขาเข้า/ออกกับตัวปั๊ม
เมื่อเทียบกับท่อแล้ว
ที่ระยะทางความยาวเท่ากัน
วาล์วจะมีน้ำหนักมากกว่าท่อมาก
และตัวปั๊มเองก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับน้ำหนัก
ดังนั้นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงในการออกแบบท่อคือการรองรับน้ำหนักของท่อที่ต่อเข้า/ออกกับตัวปั๊ม
ปั๊มหอยโข่งส่วนใหญ่นั้นตำแหน่งท่อรับของเหลวเข้าจะอยู่ตรงกลางใบพัด
โดยท่อป้อนของเหลวเข้ามาจะต้องวางในแนวนอนก่อนเชื่อมต่อเข้ากับปั๊ม
คือรูปแบบการเดินท่ออาจเป็นแบบเดินมาในแนวนอน
หรือเป็นท่อที่อยู่บน pipe
rack ด้านบน
ก่อนที่จะลดต่ำลงล่างแล้วเชื่อมต่อเข้ากับปั๊ม
ดังนั้นต้องพิจารณาตำแหน่งติดตั้ง
pipe
support ให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้น้ำหนักของระบบท่อส่งไปยังตัวปั๊มด้วย
(รูปที่
๑ ข้างล่าง)
รูปที่
๑ ตัวอย่างท่อด้านขาเข้าปั๊ม
ที่อาจเป็นแบบ (ซ้าย)
ท่อวางมาแนวนอนหรือ
(ขวา)
ท่อมาจาก
pipe
rack ด้านบนแล้วค่อยลดระดับลงมาโค้งเข้าตัวปั๊ม
เริ่มด้วยตัวอย่างแรกในรูปที่
๒ ที่แสดงตัวอย่างแผนผังการวางท่อสำหรับปั๊มหอยโข่งสองตัว
โดยตัวหลักขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
(ตัวซ้ายในรูป)
และตัวสำรองขับเคลื่อนด้วยกังหันไอน้ำ
(ตัวขวาในรูป)
ปั๊มสองตัวนี้วางอยู่ระหว่างเสาโครงสร้างสองต้น
(ที่มีอักษรรูปตัว
H
อยู่ตรงกลาง
ที่หมายถึงเหล็ก wide
flange แต่ถ้าปีกนั้นยื่นออกไปไม่มากจะเรียกว่าไอบีม
(I-beam))
ปั๊มในรูปนี้เป็นชนิดที่มีช่องทางเข้าอยู่ตรงกลางใบพัด
และช่องทางออกอยู่ทางด้านขอบใบพัดโดยเหวี่ยงของเหลวให้ไหลออกไปทางด้านบน
รูปบนแสดง plan
view (มองจากด้านบนลงมา)
รูปล่างแสดง
elevation
view (มองจากด้านหน้าเข้าไป)
ตัวเลขสีแดงที่กำกับเพิ่มเติมไว้ที่วาล์วและข้องอต่าง
ๆ
บางตัวนั้นเพิ่มเข้าไปเพื่อเป็นตัวอย่างช่วยในการอ่านแบบสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์
เพื่อจะได้มองเห็นได้ชัดว่าวาล์วและข้องอต่าง
ๆ นั้นเมื่อมองจากมุมต่างกันมันไปปรากฏตรงไหนในรูป
ตามรูปที่
๒ นี้ท่อของเหลวไหลเข้าปั๊มและไหลออกจากปั๊มจะวางอยู่บน
pipe
rack ที่อยู่เหนือปั๊ม
เมื่อมองจากด้านด้านหน้า
ท่อด้านขาเข้าจะวิ่งเข้าหาปั๊ม
ท่อด้านขาออกจะวิ่งออกไปทางด้านหลังปั๊ม
ท่อด้านขาเข้าเมื่อเข้ามาใกล้ตัวปั๊มก็จะโค้งลงล่างวิ่งลงในแนวดิ่ง
ก่อนที่จะโค้งราบเข้าหาช่องทางเข้าของปั๊ม
ตัว block
valve ของท่อด้านขาเข้าจะอยู่ในส่วนของท่อในแนวดิ่งที่วิ่งเข้าหาปั๊ม
และเชื่อมต่อเข้ากับช่องทางเข้าปั๊มด้วยชิ้นส่วนท่อสั้นที่สามารถถอดออกได้
ทั้งนี้เพื่อเปิดพื้นที่การทำงานในกรณีที่ต้องการซ่อมบำรุงปั๊มและประหยัดพื้นที่ในแนวราบ
ในส่วนของท่อด้านขาออกนั้นก็มีลักษณะทำนองเดียวกัน
คือมีชิ้นส่วนท่อสั้น ๆ
เชื่อมต่อระหว่างช่องทางออกและวาล์วกันการไหลย้อนกลับ
(ที่ต่ออยู่กับ
block
valve ด้านขาออก)
รูปที่
๒
แผนผังระบบท่อสำหรับปั๊มหอยโข่งที่ท่อด้านขาเข้าอยู่ตรงกลางใบพัด
และท่อด้านขาออกอยู่ทางด้านบน
ระยะต่าง
ๆ ที่ปรากฏในรูป
ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างจากเสา
ระยะความสูงของท่อจากพื้น
ฯลฯ มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
นอกจากนี้ในรูปยังมีหมายเหตุ
("Note
xx") ต่าง
ๆ กำกับอยู่บางตำแหน่ง
รายละเอียดของหมายเหตุต่าง
ๆ นั้นอยู่ในรูปที่ ๓
ดังนั้นก่อนที่จะไปดูแบบตัวอย่างรูปต่อไป
ก็จะขออธิบายขยายความหมายเหตุต่าง
ๆ ก่อน
เริ่มจาก
Note
1 หรือหมายเหตุที่
1
กล่าวถึงให้พิจารณาบริเวณที่ว่าง
(หรือระยะห่าง)
ทั้งด้านหลังและด้านที่อยู่เหนือปั๊มว่ามีเพียงพอ
โดยต้องพิจารณาถึงการปฏิบัติงานปรกติ
(ที่อาจจะมีเพียงแค่พนักงานปฏิบัติงานเดินไปเดินมาเพื่อการตรวจสอบหรือเปิดปิดวาล์ว)
และการซ่อมบำรุงที่อาจต้องมีการยกหรือเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนด้วยการใช้เครื่องทุ่นแรง
Note
2 หรือหมายเหตุ
2
กล่าวถึงให้พิจารณาว่าส่วนที่โผล่ยื่นออกมามากที่สุดนั้นต้องไม่ออกมากีดขวางเส้นทางสัญจร
ตัวที่อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ที่แสดงในรูปคือตัว
block
valve ด้านขาเข้าที่เป็นชนิด
gate
valve ตัว
gate
valve นี้เมื่อเปิดวาล์วเต็มที่
ตัว stem
(หรือก้านวาล์ว)
จะยื่นออกมาจากตัววาล์วมากที่สุด
(ส่วนตัวล้อหมุนหรือ
hand
wheel จะเคลื่อนออกมาด้วยหรืออยู่กับที่นั้นขึ้นอยู่กับชนิดวาล์ว)
และเนื่องจากวาล์วตัวนี้ติดตั้งอยู่ในท่อแนวดิ่ง
ตัว stem
ก็จะยื่นออกมาในแนวนอน
(คือโผล่ออกมากีดขวางทางเดิน)
ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ให้ตัว
stem
ยื่นออกมากีดขวางทางเดินข้างหน้ามากเกินไป
ก็ทำการติดตั้งโดยให้ตัววาล์วเฉียงไปทางด้านข้าง
โดยไม่ให้ตั้งฉากกับทางเดินด้านหน้า
(ดูตัวอย่างที่วาล์วที่มีเลข
1
กำกับ)
และทางเดินด้านข้าง
(ดูตัวอย่างวาล์วที่มีเลข
2
กำกับ)
รูปที่
๓ ความหมายของหมายเหตุที่ปรากฏกำกับอยู่ในรูปต่าง
ๆ
Note 3 หรือหมายเหตุ 3 กล่าวถึง "Boot leg" (หรือ "Drip leg") ตัวนี้เป็นส่วนของท่อที่อาจยื่นแยกออกมาในแนวดิ่งลงลางจากท่อหลักทื่อยู่ในแนวนอน หรือเป็นส่วนหนึ่งของท่อที่แก๊สไหลลงล่างในแนวดิ่งก่อนหักเลี้ยวออกไปในแนวราบ Boot leg นี้จะอยู่ตรงจุดหักเลี้ยว คือแทนที่จะใช้ข้องอในการหักเลี้ยว ก็จะใช้ข้อต่อรูป T แทน แก๊สจะไหลลงมาในแนวดิ่งแล้วหักเลี้ยว 90 องศาออกไปทางด้านข้าง ตัว Boot leg จะเป็นท่อปลายปิดที่ต่อตรงเลยออกมา หน้าที่ของ Boot leg นี้คือการดักเอาของแข็งหรือของเหลวออกจากแก๊ส ดังเช่นในกรณีของท่อไอน้ำที่มักจะมีไอน้ำควบแน่นกลายเป็นของเหลวอยู่ในระบบท่อเสมอ สำหรับท่อไอน้ำที่วิ่งลงในแนวดิ่งนั้นจะมีน้ำที่ควบแน่นไหลลงมาตามผนังท่อ จึงจำเป็นที่ต้องแยกเอาน้ำที่ควบแน่นนี้ออกก่อนด้วยการเปลี่ยนทิศทางการไหลของไอน้ำให้ออกไปทางด้านข้าง แล้วปล่อยให้น้ำที่ควบแน่นนี้ไหลตรงต่อไปตามผนังท่อไปสะสมอยู่ในส่วนที่เป็น Boot leg แล้วระบายทิ้งออกทาง steam trap อีกที (รูปที่ ๔) ตรงนี้พึงสังเกตในรูปที่ ๒ ที่ปั๊มสำรองใช้ไอน้ำขับเคลื่อน จะติดตั้งวาล์วไอน้ำเข้ากังหันไอน้ำไว้ในแนวนอนก่อนเข้าตัวกังหันไอน้ำ ไม่ติดตั้งในส่วนที่เป็นแนวดิ่ง ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำที่เกิดจากการควบแน่นนั้นสะสมทางด้านขาเข้าของวาล์ว
รูปที่
๔ Boot
leg หรือ
Drip
leg ที่ใช้ในการแยกเอาน้ำที่ควบแน่นออกจากไอน้ำก่อนนำไอน้ำไปใช้งาน
Note
4 หรือหมายเหตุ
4
กล่าวถึงการจัดให้มี
pipe
support (แท่นรองรับน้ำหนักท่อ)
ให้กับท่อด้านขาเข้าปั๊ม
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตัวปั๊มนั้นต้องรับน้ำหนักของท่อและวาล์วด้านขาเข้า
สำหรับท่อที่วางในแนวราบต่อตรงเข้ามายังตัวปั๊ม
(ตัววาล์วด้านขาเข้าก็อยู่ในส่วนของท่อแนวราบนี้ด้วย)
เช่นปั๊มสูบของเหลวที่ต่อเข้ากับก้น
tank
เก็บของเหลว
ก็ควรต้องมี pipe
support ที่เหมาะสมกับขนาดของท่อ
ส่วนในกรณีของท่อที่วางอยู่บน
pipe
rack ที่อยู่เหนือตัวปั๊ม
ในบางกรณีจุดรับน้ำหนักท่ออาจจะเป็นจุดรองรับท่อที่อยู่บน
pipe
rack โดยไม่มีจุดรองรับทางด้านล่าง
แต่จะมีไว้ก็ไม่เสียหายถ้าเกรงว่าถ้าหากท่อร้อนแล้วขยายตัว
การขยายตัวของท่ออาจทำให้เกิดความเค้นกระทำต่อช่องทางของเหลวเข้าปั๊มมากเกินไป
(รูปที่
๕)
รูปที่
๕ การติดตั้งที่กระทำตอนที่ท่อเย็น
อาจจะไม่มีแรงกระทำใด ๆ
ต่อตัวปั๊ม แต่เมื่อท่อร้อนและเกิดการยืดตัว
อาจเกิดแรงกระทำต่อตัวปั๊มได้
Note
5 หรือหมายเหตุ
5
กล่าวถึงการติดตั้ง
"Drip
ring" (หรือ
"Bleed
ring") ไว้ระหว่างวาล์วกันการไหลย้อนกลับและ
block
valve ด้านขาออก
โดยปรกติท่อด้านขาออกจากปั๊มหอยโข่งนั้นจะมีช่วงท่อสั้น
ๆ ที่สามารถถอดออกได้ต่ออยู่
(เพื่อไว้สำหรับการซ่อมบำรุงปั๊ม)
ตามด้วยวาล์วกันการไหลย้อนกลับ
(check
valve หรือ
non-return
valve) ที่ต่อตรงเข้ากับ
block
valve ด้านขาออกโดยไม่มีช่วงท่อสั้น
ๆ คั่นกลางอยู่ เมื่อเราหยุดการทำงานของปั๊ม
จะมีของเหลว (ภายใต้ความดัน)
ค้างอยู่ระหว่างตัววาล์วกันการไหลย้อนกลับและ
block
valve ด้านขาออกนี้
ของเหลวที่ค้างอยู่ทางด้านขาเข้าของวาล์วกันการไหลย้อนกลับสามารถระบายออกผ่านทางตัวปั๊มได้
แต่ของเหลวที่อยู่ทางด้านขาออกของวาล์วกันการไหลย้อนกลับนั้นจะไม่มีช่องทางให้ระบายออก
ดังนั้นเพื่อให้สามารถระบายของเหลวที่ค้างอยู่นี้ออกได้อย่างปลอดภัยจึงควรต้องมีการติดตั้งท่อ
drain
(ช่วงท่อสั้น
ๆ ที่มีท่อเล็กแยกออกมาและมีวาล์วตัวเล็กติดตั้งอยู่)
หรือทำการติดตั้ง
drip
ring
ที่มีลักษณะเป็นแผ่นวงแหวนหนาแทรกเข้าไประหว่างวาล์วกันการไหลย้อนกลับและ
block
valve ด้านขาออก
ตัว drip
ring นี้จะมีรูเจาะทะลุในแนวรัศมีที่สามารถติดตั้งท่อและวาล์วปิดเปิดได้
การติดตั้ง drip
ring ยังอาจใช้แทน
bleed
valve ที่ใช้ในระบบ
double
block and bleed valves ได้ด้วย
(รูปที่
๖)
รูปที่
๖ ตัวอย่างการติดตั้ง drip
ring เข้าระหว่าง
gate
valve สองตัว
ให้กับระบบ double
block and bleed valves ที่ใช้ในกรณีที่ต้องการ
isolate
ระบบ
(ตัดการเชื่อมต่อกับระบบอื่น)
โดยไม่ต้องการถอดชิ้นส่วนท่อและ/หรือใส่
slip
plate เข้าแทรก
โดยเมื่อทำการปิดวาล์วทั้งสองแล้วก็ให้เปิดวาล์วระบายที่
drip
ring ตัวนี้
ถ้ามีของไหลรั่วผ่านวาล์วจากทางด้านความดันสูงมาได้
ของไหลนั้นก็จะรั่วออกจากวาล์วระบายแทน
โดยไม่รั่วผ่าน block
valve อีกตัวไปยังระบบที่ต้องการ
isolate
Note
6 หรือหมายเหตุ
6
กล่าวถึงระยะทางความยาวท่อและจำนวนข้อต่อต่าง
ๆ (หมายถึงข้องอ
วาล์ว)
ของท่อด้านขาเข้าปั๊ม
ควรสั้นที่สุดและมีจำนวนน้อยที่สุด
เพราะตรงนี้มันมีเรื่อง
Net
Positive Suction Head หรือ
NPSH
เข้ามาเกี่ยวข้อง
(ถ้ายังไม่ทราบว่า
NPSH
คืออะไร
สามารถอ่านได้ใน Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๒๘ วันพฤหัสบดีที่
๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง
"ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๘ Net Positive Suction Head (NPSH)")
Note
7 หรือหมายเหตุ
7
กล่าวถึงการจัดให้มีจุดรองรับน้ำหนักท่อที่เพียงพอ
และตัวท่อควรมีความยืดหยุ่นที่เพียงพอ
(เช่นในบางกรณีอาจต้องมีการง้างท่อบ้างเพื่อใส่
slip
plate แทรกเข้าไประหว่างหน้าแปลนเมื่อต้องการ
isolate
ระบบ)
Note
8 หรือหมายเหตุ
8
กล่าวถึงระยะความสูงของท่อจากพื้น
ที่อาจต้องเพิ่มขึ้นถ้าหากท่อนั้นพาดผ่านตัวปั๊ม
Note
9 หรือหมายเหตุ
9
กล่าวถึงระยะความสูงของท่อถ้าหากมีการเดินท่อพาดเหนือตัวมอเตอร์ที่ใช้ขับเคลื่อนปั๊ม
ต้องมั่นใจว่าความสูงดังกล่าวเพียงพอสำหรับให้อุปกรณ์ช่วยยก
(ที่อาจมีการใช้เมื่อมีการซ่อมมอเตอร์หรือเปลี่ยนมอเตอร์)
เข้าไปทำงานได้
(มอเตอร์มันตัวใหญ่และหนักกว่าปั๊ม
การเปลี่ยนมอเตอร์บางครั้งก็มีการทำเพื่อเปลี่ยนความเร็วรอบการหมุนของใบพัดให้เหมาะสมกับอัตราการไหลที่ต้องการ)
Note
10 หรือหมายเหตุ
10
กล่าวถึงตำแหน่งการติดตั้งวาล์วกันกันการไหลย้อนกลับแบบ
swing
check valve ทางท่อด้านขาออก
โดยอาจติดตั้ง swing
check valve ในแนวนอนได้ถ้าหากว่าหลังติดตั้งแล้วยังมีที่ว่าง
(ที่วัดจากโครงสร้างที่อยู่ใกล้เคียง)
มากกว่า
600
มิลลิเมตร
(ขนาดช่องว่างที่คนเดินผ่านได้สบาย)
Note
11 หรือหมายเหตุ
11
กล่าวถึงการออกแบบท่อด้านขาเข้าของปั๊ม
ที่ต้องไม่มีตำแหน่งที่เป็นกระเปาะเกิดขึ้นที่อาจทำให้แก๊สสะสมในบริเวณดังกล่าวได้
การเกิดกระเปาะนี้อาจเกิดขึ้นในท่อตรงได้เมื่อท่อดังกล่าวร้อนขึ้น
และถ้าท่อดังกล่าวขยายตัวตามความยาวไม่ได้ท่อส่วนนั้นก็จะเกิดการโก่งตัวเกิดกระเปาะให้แก๊สสะสมได้
(รูปที่
๗)
รูปที่
๗ ท่อเข้าปั๊มที่อยู่ในแนวตรงหรือลาดลงเข้าหาปั๊มในขณะที่ท่อเย็น
อาจเกิดการโก่งตัวได้เมื่อท่อร้อนและขยายตัวตามความยาวไม่ได้
ทำให้เกิดกระเปาะบนแนวเส้นท่อที่แก๊สสามารถค้างอยู่ได้
Note
12 หรือหมายเหตุ
12
กล่าวถึงเส้นทางการออกแบบปรกติสำหรับระบบท่อที่ไม่มีการขยายตัวมากเนื่องจากความร้อน
Note
13 หรือหมายเหตุ
13
กล่าวถึงรัศมีความโค้งของท่องอ
(ในกรณีของปั๊มที่ช่องทางรับของเหลวเข้าและจ่ายของเหลวออกอยู่ทางด้านข้าง)
ในกรณีที่ท่อด้านขาเข้าและด้านขาออกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเดียวกัน
ให้ใช้ข้องอรัศมีความโค้งยาว
(long
radius elbow)
Note
14 หรือหมายเหตุ
14
กล่าวถึงการออกแบบการวางท่อให้คำนึงถึงการต้องถอดตัวปั๊มออกมาเพื่อทำการซ่อมบำรุงด้วย
(คือต้องมีที่ว่างให้ทำงาน)
Note
15 หรือหมายเหตุ
15
กล่าวถึงที่ว่างที่อยู่ด้านบน
ที่ควรต้องมากเพียงพอสำหรับการยกปั๊มออกไป
คือให้คำนึงถึงความสูงของอุปกรณ์ที่ใช้ยก
และเมื่อยกปั๊มขึ้นจากตำแหน่งแล้วปั๊มนั้นต้องสูงกว่าอุปกรณ์ตัวอื่นรอบข้าง
เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายปั๊มออกจากตำแหน่งได้
ลากยาวมาเกือบ
๗ หน้าแล้ว ก็คงต้องขอจบตอนที่
(๑)
ลงก่อนเพียงเท่านี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น