วันนั้นเป็นวันที่ฟ้ามีเมฆมาก
แต่ไม่ถึงกับมืดครึ้ม
แดดก็ไม่มี บางจังหวะก็มีฝนตกปรอย
ๆ เล็กน้อย ส่วนทะเลแม้ว่าจะเป็นช่วงน้ำลง
คลื่นลมก็ค่อนข้างจะแรง
อันเป็นผลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรง
ณ
ร้านชำเล็ก ๆ สุดถนนหน้าสะพานปลา
ชาวประมงผู้หนึ่งกำลังคุยกับแม่ค้าที่ร้านขายของที่อยู่ที่ทางลงสะพานเทียบเรือ
ผมเองหลังจากซื้อน้ำดื่มจากเขาขวดหนึ่ง
เขาก็เชิญให้นั่งพักก่อน
แต่ผมเองบอกว่าขอยืนสักพักก็แล้วกัน
เพราะนั่งขับรถมานานแล้ว
ขอยืนยืดแข้งยืดขาหน่อย
ก็เลยยืนฟังบทสนทนาของเขาที่เกี่ยวกับเรื่องการทำมาหากินของพวกเขาไปเรื่อย
ๆ
แล้วข้อความหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่น
ก็ถูกกล่าวออกมา
ตอนเด็ก
ๆ เรียนวิทยาศาสตร์
เขาก็สอนให้รู้จักกับ "ลมบก"
และ
"ลมทะเล"
น้ำมีความจุความร้อนสูงกว่าพื้นดิน
เมื่อได้รับแสงแดดในตอนกลางวันพื้นดินจะมีอุณหภูมิสูงกว่าทะเล
ทำให้อากาศเหนือพื้นดินลอยตัวสูงขึ้น
อากาศจากทะเลก็เลยพัดเข้ามา
เป็นลมที่พัดเข้าหาฝั่งที่เรียกว่า
"ลมทะเล"
แต่พอแสงอาทิตย์ลับหายไป
พื้นดินจะเย็นตัวเร็วกว่าทะเล
อากาศเหนือผิวทะเลจะร้อนกว่าและลอยตัวสูงขึ้น
อากาศที่เย็นกว่าทางพื้นดินก็จะไหลออกสู่ทะเล
กลายเป็นลมที่พัดจากบกไปทะเลหรือ
"ลมบก"
แต่พอได้ยินคำว่า
"ลมหม้อข้าวแห้ง"
ก็งงไปเหมือนกัน
ว่ามันคือลมอะไร
ไว้ตากหม้อข้าวหรือยังไง
รูปที่
๑ สถานีรถไฟบ้านกาหลงของรถไฟสายบ้านแหลม-แม่กลอง
สถานนีนี้ดูดีหน่อยเมื่อเทียบกับหลายสถานีรถหว่างทาง
คงเป็นเพราะว่าบริเวณนี้เป็นชุมชนค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับชุมชนรอบข้าง
อย่างน้อยที่บ้านกาหลงก็มีถนนจากสถานีรถไฟไปยังทะเล
ที่เป็นที่เทียบเรือหาปลาของชาวบ้าน
ส่วนบริเวณจากสถานีไปจนถึงชายทะเล
ก็มีการทำนาเกลือบ้าง
"ลมหม้อข้าวแห้ง
ก็หมายความตามนั้นนั่นแหละ
หม้อข้าวแห้งก็คือหม้อข้าวไม่มีอะไรหรือไม่มีข้าวกินนั่นเอง"
แม่ค้าอธิบายให้ผมฟัง
อากาศอย่างนี้นักท่องเที่ยวอาจจะชอบ
เพราะมันไม่ร้อน ออกไปถ่ายรูปได้สบาย
แต่สำหรับชาวบ้านที่หากินกับการจับปลาแล้วเขาไม่ชอบ
เพราะมันออกไปจับปลาไม่ได้
แถมยังไม่มีแดดให้ตากแห้งอาหารทะเลอีก
รูปที่
๒ แผนที่แนบท้ายประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
หน้า ๖๓ เล่ม ๑๒๘ ตอนพิเศษ
๑๒๕ ง วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔
ป่าชายเลนที่ตำบลกาหลงและบางโทรัด
ก็เป็นผลพวงจากดินตะกอนที่พัดออกมาจากปากแม่น้ำท่าจีน
พื้นที่ทะเลชั้นในของอ่าวไทยรูปตัว
ก คือช่วงเมืองเพชรบุรีทางฝั่งตะวันตกถึงศรีราชาทางฝั่งตะวันออก
เป็นจุดรวมของปากแม่น้ำหลายสาย
ไม่ว่าจะเป็น แม่น้ำเพชร
แม่กลอง ท่าจีน เจ้าพระยา
และบางปะกง
ทำให้บริเวณนี้มีการสะสมของดินเลนที่แม่น้ำพัดพามาเป็นจำนวนมาก
เกิดเป็นพื้นที่ป่าชายเลนที่แบ่งกั้นระหว่างแผ่นดินและทะเล
และยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำชายฝั่งหลากหลายชนิดที่สามารถนำมาบริโภคเป็นอาหารได้
เท่าที่ได้ไปสัมผัสมาในวันนั้น
ชาวบ้านบริเวณนี้ถ้าไม่ทำประมงใกล้ชายฝั่ง
(เห็นได้จากการมีเรือขนาดเล็ก)
ก็คงทำนาเกลือ
ไม่ก็คงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
และวิธีการเก็บผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำให้อยู่ได้นานและประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด
ก็คงไม่พ้นจากการตากแห้งและทำเค็ม
แสงแดดจึงมีความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน
นอกเหนือไปจากสายลมที่จะเปิดช่องให้พวกเขาได้ออกไปหาปลาในทะเลได้หรือไม่
รูปที่
๓
เมื่อขับรถเข้าไปจนสุดถนนก็จะพบกับสะพานเทียบเรือที่ยื่นออกไปในทะเล
เหตุผลที่ต้องยื่นออกไปไกลก็เพื่อให้เรือสามารถเข้าเทียบได้เวลาที่น้ำลง
หลักเขตที่เห็นอยู่ไกล ๆ
ตรงลูกศรสีแดงชี้คือเขตแนวฝั่งเดิม
ที่ตอนนี้หดเข้ามาจนถึงแนวหินที่อยู่ทางขอบล่างของรูป
เดาว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่หลายเขื่อน
ทำให้ปริมาณตะกอนที่น้ำฝนชะมาจากทางต้นน้ำที่จะไหลลงทะเลนั้นถูกขวางกั้นเอาไว้ส่วนหนึ่ง
และปัจจัยหลักน่าจะเป็นการบุกรุกป่าชายเลนที่ทำหน้าที่หน่วงการไหลของน้ำ
ทำให้ดินตะกอนนั้นตกสะสม
ส่วนบ้านที่เห็นนี้ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเดิมมันก็ไม่มีหรอก
แต่พอมีข่าวว่าจะมีการสร้างสะพานเทียบเรือออกไปในทะเล
ก็เลยมีคนฉวยโอกาสมาสร้างบ้านตรงตำแหน่งที่คิดว่าจะมีการสร้างสะพาน
เพื่อหวังจะเอาเงินค่าเวนคืนบ้าน
แต่ปรากฏว่าสะพานถูกสร้างออกไปทางด้านข้าง
ก็เลยวืดไป แรก ๆ
ก็ยังพอจะมาอยู่อาศัยบ้าง
เพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นบ้านมีคนอาศัย
แต่ตอนนี้ก็ปล่อยทิ้งร้างแล้ว
แม้แต่บันไดขึ้นบ้านก็ไม่เหลือ
รูปที่
๔ สะพานเทียบเรือเป็นสะพานคอนกรีต
มีกำแพงสีสวยกั้นเป็นระยะ
(แต่ไม่ใช่สะพานสายรุ้งที่มีคนเขาเรียกกัน)
ปลายสะพานมีป้ายติดไว้ว่าทะเลกาหลง
ด้านขวาของสะพานเป็นลำคลองที่ชาวบ้านใช้นำเรือออกทะเลเวลาที่น้ำขึ้น
ในเวลาที่ไปถึงนั้นน้ำลงต่ำมาก
แม้แต่ที่ปลายสะพานก็ยังไปไม่ถึงทะเล
รูปที่
๕ จากปลายสะพานเมื่อมองไปทางทิศตะวันตก
จะเห็นแนวเทือกเขาที่อยู่ทางจังหวัดราชบุรีและเพชรบุรี
วันนั้นอากาศไม่ค่อยดีก็เลยเห็นไม่ค่อยชัด
มุมนี้เดาว่าถ้าเป็นตอนเย็นที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า
ก็คงจะได้เห็นวิวสวย ๆ เลข
1
ในรูปคือสะพานไม้ที่มีคนเรียกว่าสะพานสายรุ้ง
(คือสะพานไม้ทาสีสดใสหลากหลายสี)
ที่มีคนเอามาโพสกันทางอินเทอร์เน็ต
ผมเองไม่ได้เดินไปทางนั้นเพราะช่วงนั้นก็มีฝนลงปรอย
ๆ อยู่ (เห็นได้จากหยดน้ำฝนที่เกาะที่ฟิลเตอร์หน้าเลนส์กล้อง)
ส่วนเลข
2
ก็คือแนวเขื่อนกั้นคลื่น
แนวเขื่อนนี้มีการเว้นช่องว่างเป็นระยะเพื่อให้น้ำไหลเข้า-ออกได้
และเปิดทางสัญจรให้กับเรือที่แล่นเข้าออกลำคลองที่ไหลลงสู่ทะเล
รูปที่
๖ ลองซูมเข้าไปดูกลุ่มต้นไม้ที่งอกอยู่ที่แนวเขื่อนเลข
2
ในรูปที่
๕ ยังแปลกใจอยู่เหมือนกัน
ว่าทำไมบริเวณนี้ถึงไม่มีใครคิดจะมาปลูกป่าชายเลนเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการกัดเซาะริมฝั่ง
ซึ่งมันก็คงจะรวดเร็วกว่าการรอให้พุ่มไม้กลุ่มนี้ค่อย
ๆ แผ่ขยายออกมาจนเต็มบริเวณ
(ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อใด)
รูปที่
๗ จากปลายสะพานเมื่อมองไปทางทิศตะวันออก
แนวรั้วไม้ที่เห็นก็เป็นแนวรั้วเพื่อลดความแรงของคลื่นที่กระทบเข้าฝั่ง
แต่เวลาที่คลื่นลมแรงและน้ำขึ้นสูง
แม่ค้าที่เปิดร้านค้าอยู่ตรงปลายสะพานก็บอกว่าคลื่นก็ซัดเอาก้อนหินที่แนวกำแพงกั้นคลื่นเชิงสะพาน
(รูปที่
๓)
กลิ้งลงมาเหมือนกัน
รูปที่
๘ จากปลายสะพานเมื่อมองกลับเข้าไป
ทางด้านซ้ายจะเห็นปากคลองที่ไหลลงสู่ทะเล
ถัดไปที่อยู่ตรงกลางภาพคือศาลเจ้าพ่อกิมท้ง
ที่ต้องเดินข้ามสะพานข้ามคลองไป
รูปที่
๙ มองออกทะเลจากสะพานที่เดินข้ามไปยังฝั่งศาลเจ้าพ่อกิมท้ง
พอน้ำลงคลองทั้งเส้นก็เหลือเพียงแค่นี้
ดินเลนบริเวณนี้ดูแล้วยังสะอาดอยู่
ไม่มีขยะ อาจเป็นเพราะยังไม่ค่อยมีใครเข้ามา
สิ่งหนึ่งที่มักจะตามมาหลังการมีนักท่องเที่ยวเข้ามาดื่มมากินก็คือ
การทิ้งขยะลงทะเล
วันที่ไปถึงนั้นแม่ค้าก็เล่าให้ฟังว่า
แต่ก่อนที่สะพานก็มีถังขยะเพียงใบเดียวก็พอ
แต่ตอนนี้ต้องเพิ่มเป็นสามใบ
เราอาจต้องรณรงค์การทิ้งขยะกัน
โดยไม่ทิ้งขยะในแหล่งท่องเที่ยว
ขยะที่นักท่องเที่ยวทำให้เกิดขึ้นก็ควรที่จะนำออกไปจากแหล่งท่องเที่ยวด้วย
เพื่อที่จะรักษาแหล่งท่องเที่ยวนั้นให้ดูสะอาดตาตลอดไป
รูปที่
๑๐ จากจุดเดียวกับในรูปที่
๙ พอมองเข้ามาก็จะเห็นเรือประมงของชาวบ้านจอดเรียงกันอยู่
เพราะช่วงน้ำลงน้ำในคลองแห้งเกือบหมด
ออกไปไหนไม่ได้
รูปที่
๑๑ รูปนี้เป็นการมองออกไปจากหมู่บ้านไปในทิศทางทางเข้าหมู่บ้าน
ป้ายนี้บอกว่าหมู่บ้านนี้ห่างจากสถานีรถไฟบ้านกาหลง
๕.๕
กิโลเมตร แต่แม่ค้าที่คุยด้วยเล่าให้ฟังว่า
แม่ว่าดูเผิน ๆ จะไม่มีอะไร
แต่ก็มีรถสองแถวใหญ่วิ่งจากถนนพระราม
๒ มายังหมู่บ้านนี้เป็นประจำ
โดยรถสองแถวจะมาสิ้นสุดที่สะพานเทียบเรือเพื่อให้บริเวณลานหน้าสะพานเทียบเรือเป็นที่กลับรถ
และที่ชายทะเลนี้ยังมีวัดใหญ่อยู่วัดหนึ่ง
ชื่อวัดแก้วมงคล
(วัดกาหลงอยู่แถวถนนพระราม
๒ ใกล้สถานีรถไฟ)
รถขายของที่เห็นควันโขมงทางด้านขวาคือรถขายหมูปิ้ง
รูปที่
๑๒ ร้านค้าที่แวะเข้าไปคุยกับแม่ค้า
วันนี้ไม่มีเย็นตาโฟขาย
(ธรรมดา
๒๕ บาท พิเศษ ๓๐ บาท)
ขายเฉพาะวันหยุด
แต่ยังมีเครื่องดื่มขาย
แกเล่าให้ฟังว่าที่นี้ก็มีนักท่องเที่ยวที่แสวงหาความสงบแวะเข้ามาอยู่เรื่อย
ๆ ประเภทซื้อเบียร์ไปนั่งจิบเงียบ
ๆ ริมทะเลบนกองหินที่ป่าชายเลนข้างร้าน
รูปที่
๑๓
ออกจากทะเลบ้านกาหลงพอมาถึงทางรถไฟก็เลี้ยวขวาขับกลับไปทางบางโทรัด
ขาเข้ามานั้นขับจากตะวันออกไปตะวันตก
แดดส่องเข้าหน้าก็เลยไม่ได้ถ่ายรูป
(แต่ถ่ายคลิปวิดิโอที่เอามาให้ดูเมื่อวันอาทิตย์)
ขากลับเห็นถนนว่างดีก็เลยจอดรถ่ายรูปหน่อย
ถนนทางบ้านกาหลงจะกว้างกว่าทางบางโทรัด
และยังไม่มีบ้านปลูกชิดติดถนนเหมือนกับทางบางโทรัดด้วย
ถนนช่วงนี้เป็นช่วงที่ป่าชายเลนอีกฟากของทางรถไฟถูกจับจองเอาไปทำประโยชน์กันหมดแล้ว
ไม่เหลือสภาพว่าเคยมีต้นไม้ที่เป็นส่วนหนึ่งของป่าชายเลนขึ้นอยู่
รูปที่
๑๔ มองข้ามทางรถไฟออกไป
ก็จะเห็นบริเวณพื้นที่โล่งเตียน
บริเวณที่เห็นเป็นที่บ่อน้ำที่อยู่ทางด้านขวาเดาว่าเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
รางรถไฟสายบ้านแหลม-แม่กลองได้รับการปรับปรุงใหม่
ทำให้เวลารถไฟวิ่งไม่โยนไปโยนมามากเหมือนกับสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย
ที่บางช่วงเห็นชัดเลยว่าแนวรางมีลักษณะอย่างกับเป็นลูกคลื่นตามยาว
โดยเฉพาะตรงจุดต่อราง
รูปที่
๑๕
พอจะเข้าเขตบางโทรัดก็จะเจอกับสะพานเจ้าปัญหาที่รถท้องต่ำต้องระวัง
และต้องวัดใจกันด้วยว่าอีกฟากของสะพานมีรถสวนขึ้นมาหรือเปล่า
พอเข้าเขตบางโทรัดถนนจะแคบกว่าแต่ก็ดูร่มรื่นมากว่า
อย่างน้อยอีกฟากของทางรถไฟก็ยังมีไม้ใหญ่ขึ้นต่อกันเป็นแนว
รูปที่
๑๖
ด้านหน้าของบ้านที่สร้างออกไปในบริเวณที่ปัจจุบันกลายเป็นทะเลไปแล้ว
Memoir
ฉบับนี้ก็เป็นฉบับปิดทริปการเดินทางสำรวจชุมชน
ที่อาศัยการดูแผนที่ว่ามีถนนย่อย
ๆ ออกไปโผล่อะไรที่ไหนบ้าง
เผื่อมีโอกาสก็จะได้แวะเข้าไปเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนต่าง
ๆ ถือเสียว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปก็แล้วกัน
คลิปวิดิโอที่แนบมาด้วยก็มาจากกล้องหน้ารถ
เป็นภาพทางเข้าก่อนถึงริมทะเลบ้านกาหลงประมาณนาทีเศษ
บันทึกเก็บเอาไว้ก่อนกาลเวลาจะทำให้สภาพรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น