วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ขอหวยจากผี MO Memoir : Sunday 26 August 2555

"นักการพนันที่อยากรวยจึงไปคิดขอหวยจากนางไม้ คือไปปลูกกระท่อมให้ไกลบ้านผู้คน แล้วไปทำพิธีขอหน่อกล้วยตานีแบบวิวาห์กับผีนางตานี ก็ไปพูดเองเออเองกับต้นตานีป่า ซึ่งกรุงเทพ ฯ สมัยโน้นตึกรามบ้านช่องยังไม่เยอะ ต้นตานีป่าขึ้นเป็นดง ๆ ทีเดียว เขาก็ไปขุดหน่อกล้วยตานีที่กำลังรุ่นสาวมาปลูกในรั้วกระท่อมของตนทำเหมือนว่าได้เจ้าสาวมาแล้ว ตอนเย็น ๆ ค่ำ ๆ ปลอดผู้คนก็ไปแสดงอาการกอดรัดหน่อกล้วยนั้น เวลากินอาหารก็เรียกกินด้วย"
 
พอเห็นหนังสือขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ "ผี" ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่คงคิดว่าเรื่องในหนังสือดังกล่าวต้องเป็นเรื่องราวน่ากลัว สยดสยอง เต็มไปด้วยการหลอกหลอน ต่าง ๆ ทำให้ไม่คิดที่จะหยิบมันมาอ่าน แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นไปทั้งหมด

 
เท่าที่เห็นนั้น หนังสือผีที่เขียนโดยนักเขียนรุ่นหลังหรือรุ่นปัจจุบันมักจะออกมาในรูปแบบที่กล่าวมาในย่อหน้าข้างต้น โดยฉากที่ใช้ในการประกอบเรื่องราวต่าง ๆ นั้นมักจะเป็นสถานที่สมมุติ หรือถ้าเป็นการอ้างอิงสถานที่จริง ก็มักจะบอกเพียงแค่ว่าชื่อสถานที่ดังกล่าวเป็นอะไรเท่านั้นเอง และก็มักจะเปิดฉากเรื่องราวชนิดที่พยามทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความน่ากลัวตั้งแต่ต้นเรื่อง
แต่หนังสือผีที่เขียนโดยศิลปินอาวุโสหรือท่านผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ผมพบว่าแตกต่างกันออกไป หนังสือของท่านเหล่านั้นผมเห็นว่าเป็นหนังสือที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะท่านเหล่านั้นได้บันทึกเหตุการณ์บ้านเมือง สภาพของชุมชนต่าง ๆ เส้นทางการเดินทางและวิธีการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งการใช้ชีวิตของคนในยุคนั้นที่ท่านเหล่านั้นประสบมา ด้วยคำบรรยายที่อาจกล่าวได้อย่างไม่เกินความจริงว่า "มองเห็นภาพได้ชัดเจน" ก่อนที่จะหักเข้าสู่เรื่องราวเกี่ยวกับผีที่ตั้งใจเขียน
 
หนังสือเรื่องเกี่ยวกับผีของผู้เขียนท่านแรก (เกิด พ.ศ. ๒๔๔๖ - ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๕๑๒ หรือช่วงปลายรัชการที่ ๕ จนถึงต้นรัชการที่ ๙) ที่อยากจะแนะนำให้มีเก็บเอาไว้ให้ครบชุดก็คือของ "เหม เวชกร" หนังสือเรื่องผีของ "เหม เวชกร" นี้ผมมีเก็บเอาไว้สองชุด (แต่ละชุดแยกออกเป็นประมาณ ๕ เล่ม) และเป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมหยิบเอามาอ่านมากที่สุด เมื่อไม่กี่ปีมานี้ก็ยังมีการนำเอาเรื่องผีของ "เหม เวชกร" มาสร้างเป็นละครโทรทัศน์จบเป็นตอน ๆ แม้แต่หนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ/มหาสนุก (จำไม่ได้ว่าเล่มไหน) ก็ยังเอาเรื่องไปเขียนเป็นการ์ตูน แต่ถ้าอยากจะได้อรรถรสที่แท้จริงแล้ว ผมว่าไปหามาอ่านจะดีที่สุด ซึ่งตอนนี้ก็ตั้งใจว่าจะนำเรื่องเกี่ยวกับเส้นทาง "รถไฟ" ที่ปรากฏในเรื่องผีของ "เหม เวชกร" ถึง ๓ เส้นทางมาเล่าให้ฟัง เส้นทางรถไฟเหล่านี้ในปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว และคนที่เคยเห็นก็ลดน้อยลงไปหรือลืมที่จะกล่าวถึง ก็เลยอยากจะเอามาเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ต้องขอรวบรวมข้อมูลก่อน คาดว่าในเดือนหน้าคงจะมีให้อ่าน

สิ่งหนึ่งที่ผมเสียดายที่ไม่มีปรากฏในหนังสือรวมเล่มก็คือ ไม่มีการบันทึกเอาไว้ว่าเรื่องที่นำมารวมเล่มนั้นปรากฏเป็นครั้งแรกที่ไหน เมื่อใด เพราะเรื่องเหล่านี้ผู้เขียนมักจะไม่ระบุช่วงเวลาที่นำสภาพบ้านเมืองมาใช้เป็นฉากในตัวเรื่อง ดังนั้นปีที่เรื่องนี้ปรากฏจะทำให้ผู้อ่านทราบได้ว่าสิ่งที่กำลังอ่านอยู่นั้นเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนปีพ.. ใด

สุดสัปดาห์ที่แล้วไปเดินตลาดนัดสนามหลวง ๒ เห็นร้านหนึ่งขายหน่อกล้วยตานี คนขายติดป้ายไว้ที่หน่อกล้วยว่าให้เซ่นไหว้ด้วยไก่ ถ้าเชือดสด ๆ จะทำให้เฮี้ยนมากขึ้น (ผมเพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้ก็วันนั้นแหละ) ว่าจะถ่ายรูปป้ายมาให้ดูแล้ว แต่เห็นคนขายนั่งคุมเชิงหน้าดุ ๆ อยู่ ก็เลยต้องขอเดินผ่านไปก่อน
 
กล้วยตานีนั้นทราบแต่ว่าเขาไม่กินกัน แต่ใช้ใบกล้วยในการห่ออาหารหรือทำงานประดิษฐ์ต่าง ๆ เพราะใบเหนียวกว่าใบกล้วยชนิดอื่น อีกอย่างที่รู้ก็คือมักจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "นางตานี" แต่เรื่องดังกล่าวมักจะเป็นไปในทางดุร้าย ราชบัณฑิตสถานก็เคยเอาเรื่องนางตามีมาออกอากาศรายการวิทยุ (รูปที่ ๑)

รูปที่ ๑ เรื่อง "นางตานี" จาก http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=4107

แต่ที่จะเอามาเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องที่เล่าเอาไว้หนังสือ "ผีกระสือที่บางกระสอ" เขียนโดยศิลปินแห่งชาติ "สง่า อารัมภีร" (เกิด พ.ศ. ๒๔๖๔ - ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๕๔๒) เป็นฉบับรวมเล่มพิมพ์ครั้งที่ ๓ โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า ปีพ.ศ. ๒๕๓๗ เนื้อหาดังกล่าวอยู่ในเรื่อง "ผีนางไม้บอกหวย" (หน้า ๒๐๐-๒๐๔) ซึ่งผมได้นำเอาย่อหน้าหนึ่งในเรื่องนั้นมาใช้เป็นย่อหน้าขึ้นต้นของ Memoir ฉบับนี้

รูปที่ ๒ หนังสือ "ผีกระสือที่บางกระสอ" เขียนโดย สง่า อารัมภีร
 
ในการเรียกนางตานีนั้น สง่า อารัมภีร เล่าต่อมาดังนี้

""มามะน้องจ๋า มากินข้าวกับพี่เถอะ วันนี้พี่แกงป่าเนื้อ ข้าวร้อน ๆ ด้วยซี มาเถอะ พี่จะคดข้าวให้" พูดนำนองนี้เวลานอนจะเข้ามุ้งก็เรียกให้เข้านอนด้วย เวลาล่วงไปประมาณ ๓ วันถึง ๗ วัน ไม่เกินกว่านี้ ก็จะปรากฏร่างสตรีสาวสวยมานอนร่วมด้วย เวลาปรากฏตัวเขาเล่าว่า นางลอยเข้ามาทางช่องจั่วหน้าบ้าน แรก ๆ นางก็ไม่พูดไม่จาก้มหน้าก้มตาแคะกระดานเอียงอายไปตามประสาสาวรุ่น เมื่อถูกไอ้หนุ่มโอ้โลมปฏิโลมจั๊กจี้เข้า นางก็หัวเราะคิก ๆ คัก ๆ เมื่อสมสวาทกันแล้ว พอใจกันแล้ว นางก็จะพูดด้วยเหมือนคนธรรมดา พอรุ่งเช้านางก็จะหายไป จะกลับทางจั่วหรือลงกะได ชาวบ้านเขาไม่ได้เล่าไว้ แต่เป็นว่าฝ่ายชายจะแพ้แรงมาก เพราะนางดื่มสวาทรุนแรงไม่เหมือนหญิงธรรมดา นอนกับนางทีไรเป็นต้องนอนตื่นตะวันสายทุกทีซิน่า

นั่นแสดงว่าถ้าไม่มั่นใจในความแข็งแรงของร่างกาย ก็ไม่ควรเสี่ยง เพราะโอกาสตายคาอกน่าจะค่อนข้างสูง

"ทีนี้เมื่อคุ้นเคยกันแล้ว ชายก็จะชวนคุย ลองถามเรื่องหวย หรือจะถามเป็นเชิงให้นางแนะนำดังนี้
"นี่แน่ะน้องจ๋า พรุ่งนี้พี่จะไปเล่นหวยเล่นโปดี เล่นแล้วจะมีช่องทางร่ำรวยไหม"
นางก็จะตอบให้ทราบ แนะนำให้ทราบ เพราะขึ้นชื่อว่าสตรีแล้ว ไอ้ที่จะไม่รักผัวของตัวนั้นหายากจริง ๆ""

ที่เอาเรื่องนี้มาเล่าในวันนี้ เพราะถ้าเรียกมาได้ใน ๓ วัน ก็น่าจะทันออกหวยงวดสิ้นเดือนนี้ (ถ้าได้มาแล้วก็อย่าลืมเอาไปทำบุญด้วย) แต่ก็ไม่ใช่ว่าหนุ่มใดก็ได้จะทำพิธีนี้ได้นะ เพราะ สง่า อารัมภีร เล่าต่อเอาไว้ว่า

"คนจะทำพิธีนี้ได้ต้องเป็นคนหนุ่มโสด หากมีลูกเมียแล้วจะไม่ปรากฏผลตามนี้เลย เวลาไปไหนมาไหนกลางวันก็ห้ามไปเกาะแกะเกี้ยวพาราสีกับสาวอื่น ๆ ขืนไปทำเจ้าชู้เวลากลางคืนอาจเจ็บตัว อาจจะถูกตบหน้าหรือถูกหยิกเอาด้วยมือน้อย ๆ ก็ได้ เพราะนางตานีมีหูทิพย์ตาทิพย์ นางจะอยู่ร่วมกับผัวของนางจนกล้วยตานีตกเครือแล้วก็ตาย เมื่อกล้วยตายแล้ว นางจะหายไป ก่อนจากไปนางจะให้ผ้าสไบสีตองอ่อนที่นางคาดอกไว้เป็นที่ระลึก ผู้ที่ได้ผ้าคาดอกนี้จะไปไหนมาไหนให้เอาติดตัวไปด้วย เมื่อเอาผ้าสีตองนั้นโพกหัว ศัตรูที่ดักตีกบาลหรือดักทำอะไรก็ตามทีจะแลไม่เห็นตัวผู้โพกผ้า ผ้านี้ใช้ได้ตลอดชีวิตทีเดียว"

ไม่เพียงแต่กล้วยตานีเท่านั้น ยังมีต้นไม้อื่นที่ทำพิธีเช่นนี้ได้ด้วย ซึ่ง สง่า อารัมภีร ก็ได้เล่าต่อในเรื่องดังกล่าวว่า

"ต้นไม้ที่จะทำพิธีเช่นนี้มีอีก ๒ ชนิด คือต้นทับทิมและต้นตะเคียน นางทับทิมนั่นห่มผ้าคาดอกสีทับทิม นางตะเคียนห่มผ้าสีตะเคียน ท่านผู้ใหญ่ที่เห็นเรื่องนี้ในสมัยโน้นเล่าว่า ทั้งนางตานี นางทับทิม และนางตะเคียนนี้ นางทับทิมสวยกว่าเพื่อน และใจดีที่สุด ส่วนนางตะเคียนนั้นค่อนข้างดุ คือสวยก็สวยดุ ๆ ให้ร่วมสวาทอย่างดุ ๆ ไม่หวานระรื่นชื่นใจเหมือนนางตานี และซึ้งตรึงใจเหมือนนางทับทิม ..."

หนุ่มไหนชอบรสสวาทแบบไหนก็เลือกกันเอาเองก็แล้วกัน ที่น่าเสียดายคือไม่ยักบอกรายละเอียดเอาไว้ให้ด้วยว่าถ้าจะเชิญนางตะเคียนหรือนางทับทิมต้องทำอย่างไร แถมต้นไม้ทั้งสองต้นนี้ก็เป็นไม้ยืนต้นมีอายุยืนนาน ถ้าต้องรอให้ต้นตะเคียนหรือต้นทับทิมเฉาตายเสียก่อนนางทั้งสองจึงจะจากไป มีหวังหนุ่มนั้นคงไม่ต้องไปหาภรรยาเป็นผู้เป็นคนอีกแล้ว
เรื่องนางตะเคียนทางราชบัณฑิตยสถานก็เคยนำมาเป็นบทออกอากาศทางวิทยุเช่นเดียวกัน (รูปที่ ๓) ส่วนนางทับทิมนั้นลองค้นดูแล้วไม่พบว่ามีการกล่าวถึงที่ไหนอีก

รูปที่ ๓ เรื่อง "นางตะเคียน" จาก http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=4106

ในปัจจุบันมีต้นไม้ใหม่ ๆ ที่เริ่มมีผีมายึดเป็นที่ประจำ ผีพวกนี้มักจะปรากฏตัวในสถานที่บางแห่งในเวลากลางคืน เช่นโคนต้นขนุน (ที่เรียกกันว่าผีขนุน) โคนต้นมะขาม ที่อยู่ริมถนน (ตามสถานที่บางแห่งในกรุงเทพ) หรือโคนต้นมะพร้าวที่อยู่ริมชายหาด (เคยเห็นที่ริมหาดแถวพัทยากลาง) สีและรูปแบบของเครื่องแต่งกายนั้นเอาแน่นเอานอนไม่ได้ ผีที่ประจำอยู่ตามต้นไม้เหล่านี้เท่าที่ค้นดูแล้วไม่เคยปรากฏในเรื่องเล่าเก่า ๆ สัณนิฐานว่าคงเป็นผีรุ่นใหม่ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามสภาพสังคมปัจจุบัน

เขียนเสร็จแล้วพึ่งจะนึกได้ว่า เรื่องนี้มันควรเป็นเรื่องสำหรับผู้ชายอ่าน แต่กลุ่มเราตอนนี้มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น คงไม่ว่าอะไรกันนะ :)