การอ่านผล
NH3-TPD
ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการแปลผล
ในเรื่องการอ่านผล NH3-TPD
ที่เคยเล่าไว้ในบันทึกหลายฉบับก่อนหน้านี้
ผมได้เคยย้ำเอาไว้ว่าควรที่จะวัดปริมาณ
NH3
ที่ตัวอย่างสามารถดูดซับเอาไว้
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสัญญาณที่ได้จากขั้นตอน
desorption
ว่าส่วนไหนของสัญญาณที่เป็นพีค
ส่วนไหนที่เป็น base
line
บังเอิญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
สาวน้อยจากเมืองวัดป่ามะม่วงได้ทำการทดลองวัด
NH3-TPD
กับตัวอย่างที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
MoO3/TiO2
(ปริมาณ
Mo
ประมาณ
4.75
wt% คิดในรูป
MoO3)
ในการทดสอบนั้นใช้การฉีดแก๊สผสม
NH3
เข้มข้น
15%
ใน
He
ครั้งละ
1
ml ผ่านตัวอย่าง
0.1
g ที่อุณหภูมิ
100-102ºC
(แกว่งเล็กน้อยเนื่องจากการควบคุมอุณหภูมิของเครื่อง)
จนตัวอย่างอิ่มตัวด้วย
NH3
ซึ่งดูได้จากพีค
ที่ออกมานั้น NH3
มีขนาด
(ประมาณ)
คงที่
(ดูรูปที่
๑)
จากนั้นจึงไล่
NH3
ที่ตัวอย่างดูดซับเอาไว้ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิจาก
100-500ºC
ด้วยอัตรา
10ºC
ต่อนาที
และคงไว้ที่ 500ºC
นาน
60
นาทีก่อนลดอุณหภูมิตัวอย่างลงเหลืออุณหภูมิห้อง
ผลการวิเคราะห์ที่ได้แสดงไว้ในรูปที่
๒ ในหน้าถัดไป
ลองพิจารณาข้อมูลดูก่อนแล้วกันนะว่าคุณจะแปลผลออกมาอย่างไร
รูปที่
๑ พีค NH3
ที่ได้จากการฉีดแก๊ส
NH3
15% ใน
He
ครั้งละ
1.0
ml ผ่านตัวอย่าง
0.1
g ที่อุณหภูมิ
100-102ºC
เข็มแรกที่ฉีดให้พีคทางด้านซ้ายสุด
(ที่เวลาในช่วง
4-6
นาที)
ส่วนเข็มถัดมาก็ให้พีคที่ออกทางด้านขวาเรื่อย
ๆ
รูปที่
๒ กราฟ NH3-TPD
แสดงสัญญาณ
TCD
และอุณหภูมิ
ณ เวลาต่าง ๆ ในช่วงอุณหภูมิ
100-500ºC
แนวเส้นประสีม่วงคือแนวประมาณของเส้น
base
line
อย่างแรกที่อยากให้สังเกตคือความแรงของสัญญาณ
TCD
ในรูปที่
๑ และรูปที่ ๒ จะเห็นสเกลในรูปที่
๑ นั้นอยู่ที่ระดับหลักหน่วย
แต่ของรูปที่ ๒ นั้นอยู่ที่ทศนิยมตำแหน่งที่
3
ซึ่งต่างกันอยู่มาก
ลักษณะเช่นนี้แสดงว่าปริมาณ
(ความเข้มข้นและ/หรือปริมาตร)
NH3
ที่ฉีดให้ตัวอย่างดูดซับนั้นมีค่ามากเมื่อเทียบกับความสามารถของตัวอย่างที่จะดูดซับ
NH3
เอาไว้ได้
ตัวอย่างดูดซับ NH3
จนอิ่มตัว
(หรือเกือบอิ่มตัว)
ด้วยการฉีด
NH3
เพียงแค่เข็มเดียวเท่านั้น
เพราะพอฉีดเข็มที่ 2
หรือเข็มถัดมาก็พบว่าพีคมีขนาดเฉลี่ยพอ
ๆ กัน (อย่าดูที่ความสูงพีคเพียงอย่างเดียว
เพราะ base
line มีการไต่ขึ้นเล็กน้อยด้วย)
ในการแก้ปัญหานี้ผมคิดว่าเราอาจต้องลด
"ปริมาตร"
แก๊สที่ทำการฉีดแต่ละครั้งให้น้อยลง
เนื่องจากเข็มที่ใช้ฉีดที่เรามีอยู่นั้นขนาดเล็กที่สุดคือ
1.0
ml ดังนั้นการฉีดครั้งต่อไปควรอยู่ในช่วง
0.3-0.5
ml
ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจนิดนึงว่า
แม้ว่าเราจะลดปริมาตร NH3
ที่ฉีดเหลือ
0.3-0.5
ml และแม้ว่า
NH3
ปริมาตร
0.3-0.5
ml ที่ฉีดนี้จะ
"มากกว่า"
ความสามารถที่ตัวอย่างจะดูดซับ
NH3
เอาไว้ได้หมด
แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเห็นมันดูดซับจนอิ่มตัวด้วยการฉีดครั้งแรก
ทั้งนี้เป็นเพราะ "เวลาของการสัมผัส
-
contact time" ระหว่างตัวอย่างกับ
NH3
ที่ไหลผ่านนั้นมันลดลงตามปริมาตร
NH3
ที่ฉีดเข้าไป
ทีนี้เรามาลองพิจารณารูปที่
๒ ดูบ้าง จะเห็นว่าที่ตำแหน่ง
(1)
เมื่อเริ่มเพิ่มอุณหภูมิ
เส้น base
line ยังนอนราบอยู่
จนกระทั่งที่อุณหภูมิประมาณ
230ºC
ที่ตำแหน่ง
(2)
เส้นสัญญาณ
TCD
จะไต่ขึ้นไปเรื่อย
ๆ จะไปถึงตำแหน่ง (3)
ที่อุณหภูมิ
500ºC
ซึ่งบริเวณนี้ปรากฏเหมือนกับมีพีคเล็ก
ๆ ซ้อนอยู่บนหัวของพีคใหญ่ทางด้านซ้าย
จากนั้นสัญญาณ
TCD
ก็จะลดลงโดยปรากฏพีคเล็ก
ๆ อีกครั้งที่ตำแหน่ง (4)
และเมื่อเริ่มลดอุณหภูมิลงจาก
500ºC
ที่ตำแหน่ง
(5)
ลงมายังอุณหภูมิห้อง
ก็พบว่าสัญญาณ TCD
ก็ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีสะดุด
ก่อนที่จะมีการกระโดดอีกครั้งที่ตำแหน่ง
(6)
ที่อุณหภูมิประมาณ
200ºC
สิ่งถัดมาที่เราต้องพิจารณาคือสัญญาณ
TCD
ช่วงไหนเป็นสัญญาณที่เกิดจาก
NH3
ที่ตัวอย่างคายออกมา
และสัญญาณบริเวณไหนเกิดจากการรบกวนของระบบ
(เช่นอุณหภูมิเปลี่ยน
ฯลฯ)
สิ่งแรกที่เราตัดออกไปได้ก่อนเลยก็คือบริเวณตั้งแต่ตำแหน่ง
(6)
ไปทางด้านขวาที่เห็นเส้นสัญญาณกระโดยขึ้น
ไม่ใช่สัญญาณที่เกิดจากตัวอย่างคาย
NH3
ออกมาแน่
ๆ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงอุณหภูมิอุณหภูมิต่ำและลดลงเรื่อย
ๆ และตัวอย่างก็ได้ผ่านอุณหภูมิที่สูงกว่านี้มาแล้ว
ดังนั้น NH3
ที่หลุดได้ที่อุณหภูมิต่ำควรหลุดออกไปตั้งแต่ช่วงการเพิ่มอุณหภูมิแล้ว
การที่เห็นสัญญาณ TCD
กระโดดขึ้นในช่วงนี้น่าจะมาจากสาเหตุอื่น
(ต้องกลับไปดูตอนทำการทดลองว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง)
ประเด็นถัดมาที่ต้องพิจารณาก็คือตัวอย่างคาย
NH3
ออกมา
"หมด"
หรือยัง
ตรงนี้เราพิจารณาได้จากปริมาณ
NH3
ที่ตัวอย่างดูดซับเอาไว้ได้
(รูปที่
๑)
กับพื้นที่ใต้กราฟ
TCD-signal
ในรูปที่
๒ ในที่นี้พบว่าเมื่อลองลากเส้น
base
line ตามแนวเส้นประสีม่วงที่แสดงในรูป
พบว่าถ้าปริมาณ NH3
ที่คำนวณได้จากพื้นที่ใต้กราฟนั้น
"ไม่ได้น้อยไปกว่า"
ปริมาณ
NH3
ที่ตัวอย่างดูดซับเอาไว้ได้
แสดงว่าการให้ความร้อนเพียงแค่
500ºC
ก็สามารถไล่
NH3
ออกจากตัวอย่างได้หมด
แต่ถ้าพบว่าปริมาณ NH3
ที่คำนวณได้จากพื้นที่ใต้กราฟนั้น
"น้อยกว่า"
ปริมาณ
NH3
ที่ตัวอย่างดูดซับเอาไว้ได้
ก็แสดงว่าเรายังไล่ NH3
ออกจากตัวอย่างไม่หมด
สำหรับตัวอย่างที่ยกมานี้ดูเหมือนว่าพื้นที่ใต้กราฟที่ได้ในรูปที่
๒ นั้นใกล้เคียงกับปริมาณ
NH3
ที่ตัวอย่างสามารถดูดซับเอาไว้ได้
สัญญาณที่ปรากฏเป็นพีคตรงตำแหน่ง
(4)
น่าสงสัยว่าเป็น
"พีค"
ของการคายซับจริงหรือไม่
เพราะมันเกิดในช่วงที่อุณหภูมิคงที่ที่
500ºC
มาได้สักพัก
ณ อุณหภูมินี้ถ้าตัวอย่างมี
acid
site ที่แรงและไม่คาย
NH3
ออกที่อุณหภูมิ
500ºC
หรือต่ำกว่า
ดังนั้นไม่ว่าเราจะค้างตัวอย่างไว้ที่อุณหภูมิ
500ºC
นานเท่าใด
มันก็จะไม่มีการคาย NH3
ออกมาให้เราเห็น
แต่ถ้าเป็นเป็น acid
site ที่คาย
NH3
ออกที่อุณหภูมิ
500ºC
มันก็ควรจะให้สัญญาณออกมาตั้งแต่อุณหภูมิตัวอย่างสูงถึง
500ºC
(คือตั้งแต่ตำแหน่ง
(3))
ไม่ใช่รอสักพักแล้วค่อยคายออกมา
ดังนั้นการแปลผลตรงตำแหน่ง
(4)
นี้จึงต้องระวังไว้ให้มาก
(โดยส่วนตัวคิดว่าควรจะทำการทดลองซ้ำใหม่)
คำถามถัดมาคือการคายซับนั้นสิ้นสุดที่ตำแหน่ง
(5)
(ได้เส้น
base
line สีฟ้า)
หรือที่ตำแหน่ง
(6)
(ได้เส้น
base
line สีม่วง)
ถ้าจะมองว่า
acid
site ที่คาย
NH3
ออกที่อุณหภูมิต่ำกว่า
500ºC
ควรจะคาย
NH3
ออกไปหมดตั้งแต่ตอนเริ่มเพิ่มอุณหภูมิตัวอย่าง
(ตำแหน่ง
(1)
ถึง
(3))
และช่วงที่คงอุณหภูมิไว้ที่
500ºC
(ถ้าให้เวลานานพอ
ซึ่งในที่นี้จากตำแหน่ง
(3)
ถึง
(5)
ก็ให้เวลานานถึง
60
นาที)
ดังนั้นเมื่อลดอุณหภูมิลงก็ไม่ควรจะมี
NH3
หลุดออกมาอีก
ดังนั้นแนวเส้น base
line ก็ควรจะเป็นแนวเส้นประสีฟ้า
แต่ถ้ามองในแง่ที่ว่าแม้ว่าจะเริ่มทำการลดอุณหภูมิตัวอย่างลง
แต่ NH3
ที่หลุดพ้นตัวอย่างออกมา
ยังคงอยู่ในเฟสแก๊สที่อยู่ระหว่างตัวอย่างกับ
detector
และต้องใช้เวลาในการเดินทางกว่าจะมาถึง
detector
(ขึ้นอยู่กับอัตราการไหลของแก๊สและปริมาตรของระบบ
หรือผลของ back
mixing) เราก็สามารถกำหนดให้แนวเส้น
base
line เป็นแนวเส้นประสีม่วงได้
แต่ตรงนี้ต้องดูปริมาณ NH3
ที่คายออกมาที่ได้จากเส้น
base
line ทั้งสองแบบ
เทียบกับปริมาณที่ตัวอย่างดูดซับได้ด้วย
สำหรับตัวอย่างที่ยกมานี้
พีคตรงตำแหน่ง (3)
ต้องขอเก็บเอาไว้ก่อน
เพราะยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องพิจารณา
เพราะจากการทดลองแยกพีคคร่าว
ๆ กับสาวน้อยจากเมืองวัดป่ามะม่วง
พบว่ามีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าตรงบริเวณดังกล่าวมีพีคเล็กซ้อนอยู่บนพีคใหญ่
โดยพีคเล็กนี้อยู่ทางด้านหลังพีคใหญ่เล็กน้อย
แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องรอผลการทดสอบอย่างอื่นยืนยันอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น