วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ไฟฟ้าสถิตกับงานวิศวกรรมเคมี (๑) ตัวอย่างการเกิด MO Memoir : Sunday 14 May 2560

สำหรับคนไทยส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตจัดได้ว่าเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งนี้เป็นเพราะอากาศบ้านเรามีความชื้นสูง ประจุไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นจึงกระจายออกไปได้ง่าย ไม่เกิดการสะสม เว้นแต่ผู้ที่ทำงานอยู่ในห้องปรับอากาศ (แถมเดินบนพื้นปูพรม) ที่อากาศแห้งทั้งวัน โอกาสที่จะมีปัญหากับไฟฟ้าสถิตจะมากกว่า เช่นตอนที่ยื่นมือไปจับลูกบิดประตูหรือก๊อกน้ำที่เป็นตัวทำไฟฟ้า จะรู้สึกสะดุ้งเนื่องจากมีประจุไฟฟ้ากระโดดข้ามจากมือไปยังลูกบิดประตูหรือก๊อกน้ำนั้น
 
ในประเทศที่มีอากาศหนาว ภูมิอากาศแห้ง ปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตจากการทำงานจะมากกว่า ประกายไฟที่เกิดจากไฟฟ้าสถิตสามารถจุดระเบิดไอระเหยของเชื้อเพลิงกับอากาศ หรือฝุ่งผง (ที่ลุกติดไฟได้) ที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ก่อให้เกิดการระเบิดได้ ตัวอย่างหนึ่งที่เพิ่งเล่าไปไม่นานนี้คือเรื่อง "Switch loading (น้ำมันเชื้อเพลิง)" (Memoir ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๓๗๔ วันจันทร์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐) ที่ประกายไฟที่เกิดขึ้นระหว่างน้ำมันในถัง กับอุปกรณ์เก็บตัวอย่างน้ำมันหรือท่อจ่ายน้ำมันเข้าถัง ทำให้เกิดการระเบิดขึ้นภายในถังน้ำมันได้
 
ประจุไฟฟ้าสถิตสะสมได้บนวัสดุที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า หรือเป็นตัวนำไฟฟ้าแต่ไม่ได้ถูกต่อลงดิน (ที่เรามักเรียนแบบอเมริกันว่าต่อ ground แต่ถ้าแบบอังกฤษจะเรียกว่า earth) เช่นในกรณีของรถบรรทุกน้ำมันที่กล่าวมาข้างต้น คือถังบรรจุน้ำมันและตัวโครงสร้างรถที่สัมผัสกับถัง ต่างเป็นตัวนำไฟฟ้า แต่ส่วนที่สัมผัสกับพื้นนั้น (คือล้อ) เป็นยางที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า ทำให้ตัวถังบรรจุน้ำมัน (รวมทั้งโครงสร้างโลหะที่มีการเชื่อมต่อทางไฟฟ้ากับถังบรรจุน้ำมัน) ทำหน้าที่คล้ายกับว่าเป็นตัวเก็บประจุขนาดใหญ่
 
เรื่องที่นำมาเล่าในที่นี้นำมาจากบทความเรื่อง "Static Electricity : Rules for Plant Safety" จัดทำโดย Expert Commission for Safety in the Swiss Chemical Industry (ESCIS) ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Plant/Operation Progress vol. 7 No. 1 หน้า 1-22 เดือนมกราคม ปีค.ศ. ๑๙๘๘ จากที่เคยอ่านเห็นว่าบทความนี้ให้ภาพโดยรวมที่ดีของการเกิดไฟฟ้าสถิตในระหว่างการทำงาน และการแก้ปัญหา แต่การทำความเข้าใจเนื้อหาจำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านการทำงานอยู่บ้าง จึงได้นำเอาบทความนี้มาขยายความโดยเฉพาะในส่วนที่เห็นว่าสำคัญ เพื่อให้ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่จะได้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับปัญหาของการเกิดไฟฟ้าสถิตในการทำงานในอุตสาหกรรม โดยจะขอเริ่มจากตอนที่ ๑ คือตอนนี้ ที่เป็นการยกตัวอย่างการทำงานที่ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์สะสมได้ รูปที่นำมาแสดงเป็นรูปที่ปรากฏในหน้าที่ ๑ และ ๒ ของบทความดังกล่าว
 
เริ่มจากรูปที่ ๑ ที่แสดงตัวอย่างที่เกิดจากของเหลวหรือตัวทำละลายที่ไม่เป็นตัวทำไฟฟ้า (non-conductive solvent) ไหลออกจากท่อโลหะลงสู่ภาชนะรองรับ โดยที่ปลายของท่อนั้นอยู่สูงกว่าผิวของเหลว กรณีนี้จะเกิดไฟฟ้าสถิตจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "separation effect" คือการที่วัตถุสองชิ้นที่สัมผัสกันอยู่นั้นแยกตัวออกจากกัน (ในกรณีนี้คือของเหลวแยกตัวออกจากพื้นผิวของแข็ง)
"separation effect" เป็นรูปแบบหนึ่งของการเกิดไฟฟ้าสถิต คืเมื่อวัตถุสองชิ้นสัมผัสกัน วัตถุชิ้นที่ยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนได้อ่อนกว่ามีแนวโน้มจะสูญเสียอิเล็กตรอนให้กับวัตถุที่ยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนได้ดีกว่า แต่ถ้าวัตถุทั้งสองชิ้นเป็นตัวนำไฟฟ้า ประจุที่มีการถ่ายเทก็จะกระจายออกไปไม่เกิดการสะสม
ของเหลวที่เป็นตัวนำไฟฟ้า (conductive solvent) ได้แก่ของเหลวที่โมเลกุลมีขั้วหรือมีไอออนละลายอยู่ ของเหลวที่เป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว (เช่นไฮโดรคาร์บอน) หรือมีความเป็นขั้วต่ำจัดเป็นของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้า (non-conductive solvent) อนึ่งในบทความนี้จะใช้คำว่าตัวทำละลาย (solvent) หรือของเหลว (liquid) ในความหมายเดียวกัน เว้นแต่จะมีระบุไว้อย่างอื่น
  
รูปที่ ๑ ไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากของเหลวหรือตัวทำละลายที่ไม่เป็นตัวทำไฟฟ้า (non-conductive solvent) ไหลออกจากท่อโลหะลงสู่ภาชนะรองรับ

ตัวอย่างของการเกิดไฟฟ้าสถิตตามรูปที่ ๑ นี้ได้แก่การถ่ายของเหลวหรือตัวทำละลายที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้าลงสู่ถังบรรจุ เช่นในกรณีของการเติมน้ำมันจากสถานีจ่ายน้ำมันให้กับรถบรรทุกน้ำมัน ในกรณีนี้การเกิดไฟฟ้าสถิตจะเกิดได้เร็วขึ้นถ้าอัตราการไหลของของเหลวผ่านท่อนั้นสูงขึ้น ถ้าหากท่อป้อนของเหลวเป็นท่อโลหะที่นำไฟฟ้า และท่อนี้ต่อสายดินเอาไว้ ประจุไฟฟ้าที่สะสมบนผิวท่อก็จะรั่วลงสู่ดินไป เหลือแต่เฉพาะส่วนที่อยู่กับของเหลว และถ้าภาชนะบรรจุนั้นทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า (เช่นถังพลาสติก) หรือเป็นภาชนะโลหะที่ไม่ได้ถูกต่อสายดิน (เช่นถังน้ำมันของรถบรรทุกน้ำมันที่ไม่ได้ต่อสายดิน) ไฟฟ้าสถิตก็จะค้างสะสมอยู่ในของเหลวนั้น
 
รูปที่ ๒ เป็นตัวอย่างการเกิดไฟฟ้าสถิตจากการเทผงอนุภาคที่บรรจุอยู่ในถุงออกจากถุง (separation effect เช่นกัน) ในกรณีนี้จะเกิดไฟฟ้าสถิตสะสมที่ตัวถุงและกองอนุภาคที่เทออกมา และตัวอนุภาคที่ฟุ้งลอยอยู่ ตัวอย่างการทำงานประเภทนี้ได้แก่การเทส่วนผสมต่าง ๆ ลงถังผสม (โดยส่วนผสมนั้นอาจเป็นของแข็งอย่างเดียว หรือมีทั้งของแข็งและของเหลว) ในกรณีที่พื้นผิวรองรับผงอนุภาคนั้นเป็นพื้นผิวนำไฟฟ้าและมีการต่อลงดิน (เช่นถังผสมที่เป็นถังโลหะ) ประจุไฟฟ้าที่สะสมบนอนุภาคที่กองอยู่บนพื้นก็จะกระจายตัวออกไปได้เร็ว แต่ส่วนที่อยู่กับอนุภาคที่ฟุ้งกระจายอยู่นั้นจะกระจายตัวออกไปได้ช้ากว่า (ยิ่งเป็นบรรยากาศที่แห้งก็ยิ่งกระจายตัวได้ช้า)
  
รูปที่ ๒ ไฟฟ้าสถิตทีเกิดจากการเทผงอนุภาคออกจากถุงพลาสติก

รูปที่ ๓ เป็นกรณีของการลำเลียงของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้าหรือผงอนุภาคของแข็ง (ระบบ pneumatic conveyor หรือในรูปแบบ slurry ที่เป็นของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลว) ด้วยการใช้ท่อพลาสติกหรือท่อแก้ว ในกรณีนี้จะมีการสะสมประจุไฟฟ้าสถิตที่ตัวท่อและหน้าแปลนและตัวของเหลว
 
อันที่จริงการเกิดรูปแบบนี้จะว่าไปแล้วไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ท่อแก้วหรือท่อพลาสติก กับท่อโลหะก็เกิดเช่นเดียวกันดังจะเห็นได้จากในโรงงานที่ทำงานเกี่ยวกับสารไฮโดรคาร์บอน ที่จะต้องมีการทำให้ระบบท่อลำเลียงไฮโดรคาร์บอนนั้นมีการเชื่อมต่อกันทางไฟฟ้าและต่อลงดิน ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าจะพบว่าทำไมตรงหน้าแปลนจึงมีการใช้แหวนที่เรียกว่า "Tooth washer" รองนอตหรือยังอาจมีสายไฟเชื่อมต่อข้ามตัวหน้าแปลนเพิ่มเข้ามาอีก ทั้งนี้เป็นเพราะตัวท่อนั้นมักจะมีการพ่นสี และตัวนอตเหล็กนั้น (ถ้าไม่มีการเคลือบสังกะสี) ก็มักจะมีชั้นสนิมบาง ๆ ปกคลุมอยู่ ซึ่งสองสิ่งนี้ต่างขัดขวางการนำไฟฟ้า จึงจำเป็นต้องใช้ tooth washer เพื่อให้ฟันของแหวนรองนี้กัดเข้าไปจนถึงเนื้อโลหะ เพื่อให้ความมั่นใจว่าระบบมีความต่อเนื่องทางด้านไฟฟ้า ตัวอย่างของการเชื่อมต่อระบบลงดินที่ดูแล้วสงสัยว่าจะมีปัญหาเคยนำมาเล่าไว้ใน Memoir ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑๐๑๑ วันเสาร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เรื่อง "เก็บตกจากการเดินเล่นรอบโรงงาน" ที่ต้องบอกว่าสงสัยว่าจะมีปัญหาเพราะวันนั้นไม่ได้เอามัลติมิเตอร์ไปวัดความต้านทานระหว่างสายดินกับโครงสร้าง เพียงแค่พิจารณาดูด้วยสายตาเท่านั้น
  
รูปที่ ๓ ไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการลำเลียงของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้าหรือผงอนุภาคของแข็งไปในท่อแก้วหรือท่อพลาสติก (อันที่จริงสำหรับท่อโลหะที่ไม่ได้ต่อสายดินไว้ก็เกิดได้เหมือนกัน) กระบวนการผลิตพอลิเอทิลีนแบบ slurry phase ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการลำเลียงของแข็ง (ที่ไม่นำไฟฟ้า) ไปพร้อมกับของเหลว (ตัวทำละลายไฮโดรคาร์บอนที่ไม่นำไฟฟ้า) ไปตามระบบท่อ
  
การเกิดไฟฟ้าสถิตจาก separation effect ไม่จำเป็นต้องเกิดจากวัสดุสองชนิดที่แตกต่างกัน วัสดุชนิดเดียวกันที่แยกตัวออกจากกันก็สามารถเกิดไฟฟ้าสถิตย์ได้ รูปที่ ๔ เป็นตัวอย่างไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการคลี่ม้วนฟิล์มพลาสติกหรือม้วนกระดาษ ในกรณีนี้แม้ว่าจะเป็นวัตถุชนิดเดียวกัน ก็ยังสามารถเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นได้ และเนื่องจากฟิล์มพลาสติกและกระดาษเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ไม่ดี ประจุไฟฟ้าที่สะสมอยู่จะกระจายออกไปได้ช้า

รูปที่ ๔ ไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการคลี่ม้วนฟิล์มพลาสติกหรือม้วนกระดาษ
  
รูปที่ ๕ เป็นตัวอย่างไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นจากการฉีดพ่นของเหลวออกจากหัวฉีดให้กลายเป็นละอองฝอยเล็ก ๆ ถ้าตัวหัวฉีด (ที่ปรกติทำจากโลหะ) นั้นมีการต่อสายดินไว้ ประจุไฟฟ้าที่สะสมที่หัวฉีดก็จะระบายลงสู่ดินผ่านทางสายดิน แต่ส่วนที่อยู่ในละอองหยดของเหลวนั้นยังคงอยู่ ตัวอย่างของงานประเภทนี้ได้แก่การฉีดพ่นสี การพ่นตัวทำละลายไปบนพื้นผิว (เช่นการล้างผนังภาชนะขนาดใหญ่ที่ใช้การฉีดพ่นตัวทำละลายเข้าไปล้างสิ่งปนเปื้อนที่เกาะผนังภาชนะ) เครื่อง spray dryer แต่จะว่าไปแล้วการเปิดปัญหาไฟฟ้าสถิตรูปแบบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การฉีดของเหลว การฉีดแก๊สบางชนิดเช่นคาร์บอนไดออกไซด์ (เช่นในกรณีของการฉีดเครื่องดับเพลิงชนิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์) จะมีการเกิดอนุภาคน้ำแข็งแห้ง (คาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นของแข็ง) เกิดขึ้นอยู่ในแก๊สที่ฉีดพุ่งออกมา (คาร์บอนไดออกไซด์ในถังเมื่อถูกฉีดพ่นออกมาจะไหลผ่านวาล์ว ทำให้ความดันลดลง อุณหภูมิลดต่ำลง จนบางส่วนกลายเป็นของแข็ง ซึ่งเมื่อไหลผ่านสายยางที่ใช้ฉีด จะเป็นเหมือนกับการลำเลียงอนุภาคของแข็ง (ที่ไม่นำไฟฟ้า) ไปตามระบบท่อ (ที่ไม่นำไฟฟ้าเช่นกัน) ดังเช่นกรณีรูปที่ ๓)


รูปที่ ๕ ตัวอย่างการเกิดไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการฉีดพ่นของเหลวออกเป็นละอองฝอย

รูปที่ ๖ เป็นตัวอย่างการเกิดไฟฟ้าสถิตจากการปั่นกวนของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้า (เช่นไฮโดรคาร์บอน) ในภาชนะโลหะ (ที่ของเหลวในถังสัมผัสกับผิวโลหะโดยตรง) สำหรับภาชนะโลหะที่เชื่อมต่อกับระบบท่อโลหะและโครงสร้างโลหะ ก็จะมีการต่อสายดินผ่านทางระบบท่อหรือทางโครงสร้างได้ (แต่ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่าตรงจุดสัมผัสที่เป็นจุดต่อนั้นไม่มี สี สนิม ปะเก็น แหวนรอง ฯลฯ ที่ไม่นำไฟฟ้านั้นขวางกั้นอยู่) แต่ถ้าเป็นกรณีของภาชนะโลหะที่มีการบุผิวข้างในด้วยวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า (เช่นแก้ว หรือพอลิเมอร์) จะมีปัญหาประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวเคลือบทางด้านสัมผัสของเหลว จะไม่สามารถระบายลงดินผ่านตัวภาชนะโลหะได้ (เพราะชั้นผิวเคลือบไม่นำไฟฟ้า จึงไม่สามารถนำประจุจากทางด้านของเหลวมายังฝั่งสัมผัสโลหะได้)
  
รูปที่ ๖ ไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการปั่นกวนของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้าในถังโลหะ

รูปที่ ๗ เป็นตัวอย่างการเกิดไฟฟ้าสถิตที่พบเห็นได้ง่ายทั่วไปในชีวิตประจำวัน แม้แต่ในบ้านเราสำหรับผู้ที่อยู่ในห้องปรับอากาศต่อเนื่องเป็นเวลานาน ในรูปนี้ยกตัวอย่างการสวมรองเท้าที่พื้นรองเท้าไม่นำไฟฟ้า เดินไปบนพื้นที่ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า (เช่นพรมไนลอนหรือพื้นพลาสติก) นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตสะสมในตัวคน (separation effect ตอนพื้นรองเท้าแยกตัวจากพื้น) พอไปสัมผัสกับลูกบิดประตูหรือก๊อกน้ำโลหะก็จะรู้สึกสะดุ้งเนื่องจากประจุไฟฟ้าที่สะสมอยู่ในตัวนั้นกระโดดข้ามไปยังตัวนำไฟฟ้าที่กำลังจะยื่นมือไปสัมผัส (ถ้าไม่อยากสะดุ้งก็ให้ใช้วิธีหยิบถือวัสดุที่เป็นตัวนำไฟฟ้า เช่นลูกกุญแจ ยื่นไปแตะที่ลูกบิดหรือก๊อกน้ำโลหะก่อน เพื่อทำการระลายประจุไฟฟ้าบนตัวเราผ่านทางลูกกุญแจ) ตัวพื้นคอนกรีตจะมีปัญหาต่ำกว่า เพราะอย่างน้อยคอนกรีตก็ดูดซับความชื้นในอากาศได้ดีกว่าพรมที่ทำจากพอลิเมอร์ที่ไม่นำไฟฟ้า
 
เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยที่มีสัดส่วนของเส้นใยไม่นำไฟฟ้า (เช่นพอลิเอสเทอร์หรือไนลอน) อยู่สูง เวลารีดด้วยเตารีดก็จะพบปัญหาการเกิดไฟฟ้าสถิตเช่นกัน หรือแม้ต่อตอนถอดเสื้อออกหลังจากที่อยู่ในสภาพที่อากาศแห้งเป็นเวลานาน (separation effect เช่นกัน) ตอนเรียนอยู่ต่างประเทศที่อากาศเย็นผมเองก็ชอบใช้เสื้อเชิ้ตที่ทำจากผ้าที่มีสัดส่วนเส้นใยพอลิเอสเทอร์สูง เนื่องจากมันแห้งง่าย และรีดง่าย ไม่ค่อยยับ แต่ผ้าแบบนี้เอามาใส่ในบ้านเราที่อากาศร้อนก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะมันไม่ซึมซับเหงื่อเหมือนพวกผ้าฝ้าย (ผ้าฝ้ายเป็นเส้นใยเซลลูโลส มีหมู่ไฮดรอกซิล -OH ที่มีขั้วอยู่มาก จึงซับน้ำได้ดีกว่า และความชื้นที่ดูดซับไว้นั้นยังทำให้มันมีปัญหาเรื่องการสะสมประจุไฟฟ้าสถิตต่ำกว่า แต่ผ้าฝ้ายมันยับง่ายและรีดยาก)
  
รูปที่ ๗ ไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการสวมใส่รองเท้าที่พื้นรองเท้าไม่นำไฟฟ้า ไปบนพรมหรือพื้นที่ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า

เวลาที่คนเราโดนไฟฟ้าดูด ก็เป็นเพราะกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายลงสู่พื้นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเท้าเปล่ายืนอยู่บนพื้นเปียก สำหรับไฟฟ้าระดับความต่างศักย์ต่ำ ๆ ที่รั่วอยู่รอบ ๆ ตัวอุปกรณ์บางชนิด (เช่นเคสของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ปลั๊กไม่ได้ต่อสายดิน) บางครั้งการสวมรองเท้าที่พื้นเป็นฉนวนร่วมกับการไม่ยืนอยู่บนพื้นเปียก ก็ช่วยป้องกันไม่ให้ไฟดูดได้ (เพราะมันไปตัดการไหลของกระแสไฟฟ้าผ่านตัวลงสู่พื้นดิน) แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าแขนข้างหนึ่งจับตัวอุปกรณ์และอีกข้างหนึ่งไปจับตัวนำที่นำไฟฟ้าลงดินนะ ในกรณีหลังนี้กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านแขนทั้งสองข้างแทน
 
รูปที่ ๘ เป็นตัวอย่างของไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำ (electrostatic induction) คำอธิบายภาพในเอกสารกล่าวว่าการที่ผงอนุภาคไหลผ่านท่อพลาสติก ทำให้ตัวผงอนุภาคและท่อพลาสติกนั้นมีประจุไฟฟ้าสถิตสะสม ประจุไฟฟ้าสถิตย์บนตัวท่อสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดประจุไฟฟ้าสถิตบนตัวเรือนภาชนะโลหะที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับตัวท่อได้ (แสดงว่าตัวภาชนะโลหะต้องไม่มีการต่อสายดิน)

ตอนที่ ๑ ของเรื่องนี้คงจะพอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพอมีเวลาว่างจะมาเขียนตอนที่ ๒ ต่อ


รูปที่ ๘ ไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการเหนี่ยวนำ

ไม่มีความคิดเห็น: