การเก็บแก๊สที่สามารถใช้ความดันอัดให้เป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิห้อง
(เช่นไฮโดรคาร์บอน
C3-C4)
นิยมใช้การเก็บในถังความดัน
ถ้าเก็บในปริมาณไม่มากก็นิยมใช้ถังทรงกระบอกที่มีฝาโค้งปิดหัวท้าย
(ที่เรียกว่า
bullet
type) แต่ถ้าต้องการเก็บในปริมาณมากในถังขนาดใหญ่ก็มักจะใช้ถังลูกโลก
(ที่เรียกว่า
spherical
tank) ที่เป็นถังรูปทรงกลม
ข้อดีของถังลูกโลก คือ
ที่ผนังหนาเท่ากัน
ถังลูกโลกจะสามารถรับความดันได้มากกว่าชนิด
bullet
type
ถังทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่วางตั้งนั้น
พื้นถังจะเป็นพื้นราบ
การตรวจสอบผิวโลหะด้านในของถังทำได้ด้วยการสร้างนั่งร้านให้อยู่ใกล้กับพื้นผิวผนังได้
(ซึ่งก่อสร้างได้ง่ายบนพื้นราบ)
แต่ในกรณีของถังลูกโลกนั้นพื้นผิวของถังเป็นส่วนโค้งทั้งหมด
การสร้างนั่งร้านให้เข้าไปใกล้พื้นผิวผนังบริเวณกลางถังคงไม่สะดวกเท่าใดนัก
ก็เลยมีการแข่งขันประกวดความคิดที่นำไปสู่วิธีการที่ปลอดภัยและสะดวกในการเข้าไปตรวจสอบพื้นผิวผนังด้านในของถังลูกโลก
และวิธีการที่ชนะการแข่งขันก็คือ
การใช้เรือยาง (inflatable
boat) ลอยบนผิวน้ำในถังลูกโลก
(รูปที่
๑)
รูปที่
๑ (ซ้าย)
การลอยเรือตรวจสอบผนังด้านในของถังลูกโลก
(วาดขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพสิ่งที่บรรยายไว้ในหัวข้อ
46/6
ของ
ICI
Newsletter ฉบับเดือนพฤศจิกายน
ค.ศ.
๑๙๗๒
(พ.ศ.
๒๕๑๕)
ถ้าเป็นถังลำตัวทรงกระบอก
(ขวา)
ก็สามารถสร้างนั่งร้านได้ง่าย
เรื่องที่เล่าวันนี้นำมาจากหัวข้อ
46/6
ของ
ICI
Newsletter ฉบับเดือนพฤศจิกายน
ค.ศ.
๑๙๗๒
(พ.ศ.
๒๕๑๕)
หรือเมื่อประมาณ
๔๗ ปีที่แล้ว
โดยผู้ชนะการประกวดเสนอให้ทำการเติมน้ำจนเต็มถังลูกโลก
จากนั้นก็ให้ผู้เข้าไปตรวจสอบสภาพภายในถังนั้นใช้เรือยางลอยเข้าไปสำรวจ
โดยเริ่มจากด้านบนก่อน
จากนั้นจึงค่อย ๆ
ปล่อยน้ำออกเพื่อสำรวจผนังที่ระดับต่ำลงมา
และทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
จนสำรวจทั่วทั้งถัง (รูปที่
๒)
รูปที่
๒ การลอยเรือตรวจสอบผนังด้านในของถังลูกโลก
จาก ICI
Newsletter ฉบับเดือนพฤศจิกายน
ค.ศ.
๑๙๗๒
(พ.ศ.
๒๕๑๕)
รายละเอียดการวางแผนการทำงานดังกล่าวมีการอธิบายเพิ่มเติมไว้บางประเด็นในหัวข้อ
49/3
ของ
ICI
Newsletter ฉบับเดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ.
๑๙๗๓
(พ.ศ.
๒๕๑๖)
ซึ่งขอนำมาขยายความเพิ่มเติมตรงนี้
๑.
ในบทความไม่ได้กล่าวว่าถังลูกโลกนั้นใช้เก็บสารอะไร
ประเด็นแรกที่ต้องพิจารณาก็คือโครงสร้างของถังนั้นสามารถรับน้ำหนักของน้ำที่เติมเข้าไปจนเต็มถังได้หรือไม่
ตัวอย่างเช่นความหนาแน่นของแก๊สปิโตรเลียมเหลว
(LPG)
อยู่ระหว่าง
500
kg/m3 (โพรเพนบริสุทธิ์ที่เป็นของเหลว)
ถึง
600
kg/m3 (บิวเทนบริสุทธิ์ที่เป็นของเหลว)
ในขณะที่น้ำมีความหนาแน่นอยู่ที่ประมาณ 1000
kg/m3 ซึ่งสูงกว่าประมาณสองเท่า
ดังนั้นถ้าเติมน้ำจนเต็มถังจะทำให้โครงสร้างต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่าปรกติถึง
2
เท่า
ภาชนะรับความดัน
(pressure
vessel)
ถ้าประกอบเสร็จจากโรงงานก็มักจะได้รับการทดสอบความสามารถในการรับความดันจากโรงงาน
และวิธีการหลักที่มักเป็นตัวเลือกแรกก็คือ
hydraulic
test ที่ใช้การเติมน้ำเข้าไปจนเต็มก่อนเพิ่มความดัน
ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็มั่นใจว่าภาชนะนั้นสามารถรับน้ำหนักของน้ำที่บรรจุอยู่ได้
แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างรองรับน้ำหนักภาชนะ
(เช่นพื้นและฐานรากต่าง
ๆ)
ณ
สถานที่ติดตั้งจริงจะสามารถรองรับน้ำหนักภาชนะนั้นที่มีน้ำบรรจุเต็มได้
แต่ถ้าเป็นภาชนะรับความดันที่ประกอบขื้น
ณ ตำแหน่งติดตั้งจริง
(เช่นถังลูกโลก)
และการออกแบบฐานรากนั้นก็คำนึงถึงการทดสอบความแข็งแรงด้วยการเติมน้ำจนเต็มภาชนะ
ก็จะมั่นใจได้ว่าการเติมน้ำเข้าไปจนเต็มภาชนะนั้นจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวภาชนะรับความดันหรือโครงสร้างรองรับ
๒.
ประเด็นเกี่ยวกับการที่จะทำให้เรือนั้นลอยอยู่บริเวณใกล้กับผนัง
ซึ่งตรงนี้ก็แก้ไขด้วยการใช้แม่เหล็กช่วยยึดตัวเรือเข้ากับผนัง
๓.
ประเด็นเรื่องความปลอดภัยของผู้เข้าไปตรวจ
ซึ่งก็ป้องกันด้วยการให้สวมเสื้อชูชีพ
มีสายนิรภัย และมีผู้คอยเฝ้ามองอยู่ทางด้านนอก
๔.
ประเด็นเรื่องการเติมน้ำจะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องความชื้นในการตรวจสอบหรือไม่
ซึ่งตรงนี้ก็ได้รับการพิจารณาว่าไม่เป็นปัญหา
เพราะปรกติจะต้องมีการเติมน้ำเข้าไปจนเต็มลูกโลกอยู่แล้วก่อนจะให้ใครเข้าไปตรวจสอบ
(ประเด็นนี้ในบทความไม่ได้อธิบายว่าเติมน้ำเข้าไปทำไม
แต่เดาว่าเป็นการเติมน้ำเพื่อเข้าไปไล่แก๊สเชื้อเพลิงหรือสารเคมีเดิมที่บรรจุอยู่ในถัง
เพราะการใช้แก๊สเฉื่อยเข้าไปไล่แก๊สเชื้อเพลิงในถังขนาดใหญ่นั้นจะสิ้นเปลืองแก๊สและใช้เวลามากกว่าจะเจือจางจนหมด
และยังต้องตามด้วยการแทนที่แก๊สเฉื่อยด้วยอากาศอีก
แต่ถ้าใช้น้ำในการไล่
พอระบายน้ำออกอากาศก็สามารถไหลเข้าไปในที่ว่างได้เองทางช่องทางด้านบนที่เปิดอยู่
รูปที่
๓ ICI
Newsletter ฉบับเดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ.
๑๙๗๓
(พ.ศ.
๒๕๑๖)
การมองหาวิธีการใหม่
ๆ ในการแก้ปัญหาขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งคำถามอะไร
บทความหัวข้อ 49/3
ใน
ICI
Newsletter ฉบับเดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ.
๑๙๗๓
(พ.ศ.
๒๕๑๖)
เปรียบเปรยว่าจะเป็นคนขับรถรางหรือคนขับรถบัส
รถรางนั้นต้องวิ่งไปตามราง
ถ้าหากมีสิ่งกีดขวางเส้นทาง
ก็ต้องหาทางนำสิ่งกีดขวางนั้นออกจากเส้นทาง
ไม่งั้นก็ไปสู่จุดหมายปลายทางไม่ได้
ในขณะนี้รถบัสนั้นถ้าหากเส้นทางที่เดินทางอยู่ประจำนั้นมีสิ่งกีดขวาง
ก็สามารถที่จะเลือกเส้นใช้ทางใหม่หรือวิ่งอ้อมสิ่งกีดขวางนั้นไป
ทำให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้เช่นกัน
อย่างเช่นในกรณีการตรวจสอบนี้
ขึ้นอยู่กับว่าคำถามที่ตั้งขึ้นมานั้นไปยึดติดวิธีการ
(คือมีวิธีการอยู่ในหัวแล้ว)
หรือไปยึดติดที่หลักการ
(คือทำอย่างไรจึงจะให้คนตรวจสอบเข้าไปใกล้ผนังได้)
บทความในหัวข้อ
49/3
ยังมีเรื่องสืบเนื่องจากบทความในหัวข้อ
49/2
(ที่เล่าไว้ในเรื่อง
"Isolation ด้วยวาล์วกันการไหลย้อนกลับเพียงตัวเดียว")
ที่กล่าวถึงวิธีการป้องกันการรั่วไหลด้วยวิธีการอื่น
เช่นการทำให้ของเหลวในท่อนั้นแข็งตัวด้วยการให้ความเย็นจากภายนอกท่อ
แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงด้วยว่าโลหะที่ใช้ทำท่อนั้นสามารถทนอุณหภูมิต่ำได้หรือไม่
เช่นถ้าหากคิดจะใช้ไนโตรเจนเหลว
(อุณหภูมิ
-196ºC)
ทำให้ของเหลวในท่อนั้นแข็งตัว
ก็ต้องระวังไม่ให้ท่อนั้นเย็นจัดจนเกินไป
เพราะความเย็นอาจทำให้ท่อนั้นเปราะและแตกหักง่าย
วิธีการนี้น่าจะเหมาะสำหรับการซ่อมบำรุงเพื่อเปลี่ยนชิ้นส่วน
อีกวิธีการหนึ่งคือใช้การบีบอัดท่อให้แบน
(nipping)
เพื่อปิดกั้นการไหล
กรณีนี้น่าจะเหมาะกับการปิดกั้นระบบและรอจนกว่าจะมีการหยุดเดินเครื่องจึงค่อยทำการเปลี่ยน
แต่ก่อนที่จะทำการบีบท่อก็ควรต้องพิจารณาดูก่อนว่าเนื้อโลหะที่ใช้ทำท่อนั้นเหมาะสมต่อการบีบอัดหรือไม่
ไม่ใช่ว่าพอบีบแล้วแทนที่ท่อจะแบน
กลับกลายเป็นแตกแทน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น