วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เมื่อ Facebook ของโรงพยาบาลเป็นซะเอง (คิดสักนิดก่อนกด Share เรื่องที่ ๔) MO Memoir : Monday 7 June 2557

ระหว่างนั่งเปิด facebook เช้าวันเสาร์ ก็บังเอิญไปเห็นข้อความที่มีคนกดแชร์ส่งต่อ ๆ กันมา ปรกติก็ไม่ค่อยอ่านเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะมันมักสืบหาที่มาที่ไปไม่ได้ และบ่อยครั้งก็พบว่ามันก็เป็นเรื่องเดิม ๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังมาหลายปีแล้ว เพียงแต่เพิ่งจะวนกลับมาใหม่ แต่คราวนี้ที่ในใจอ่านก็เพราะมันเป็นการกดแชร์มาจากหน้า facebook ที่มีชื่อของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เป็นโรงพยาบาลที่มีโรงเรียนแพทย์ขนาดใหญ่ซะด้วย และพอตรวจสอบกลับไปก็พบว่ารูปดังกล่าวปรากฏอยู่บนหน้า facebook ของโรงพยาบาลนั้นจริง โดยขึ้นไปปรากฏตัวแต่วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๗ หรือเมื่อต้นปีนี้เอง
  
ข้อความดังกล่าวกล่าวถึงอันตรายจากการบริโภคสาหร่ายทอดกรอบ ลองอ่านข้อความดังกล่าวในหน้าถัดไปดูก่อนนะ จากนั้นเราจะค่อยมาพิจารณาโดยใช้เหตุผลกันอีกที


รูปที่ ๑ จับภาพมาจากหน้า facebook ของหน่วยงานดังกล่าว ปรากฏว่าช่วงเวลาประมาณวันที่ ๒๓ มกราคม มีแต่การโพสข้อความทำนองเดียวกันเต็มไปหมด
  
"อันตรายจากสาหร่ายทอดกรอบ

อันตราย เรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว เกี่ยวกับสาหร่ายทอดกรอบ.....

ลูกสาวเพื่อน ชอบซื้อสาหร่ายทอดกรอบยี่ห้อหนึ่ง กินทุกเช้าเวลาไปโรงเรียน และเที่ยงเวลาพัก และตอนเย็นกินเล่น ๆ ตอนทำการบ้าน หลังจากติดกินสาหร่ายมานานกว่า 6 เดือน
  
วันหนึ่งพบว่าลูกสาวมาบอกกับแม่ว่าสายตาเธอ ระยะหลังพร่ามาก และที่สำคัญปวดเอวมาก ในชั้นต้น เพื่อนเราคิดว่าลูกสาวคงกำลังมีอาการสายตาสั้น จึงไม่ได้คิดอะไรมาก และพาไปหาจักษุแพทย์ เพื่อทำแว่นสายตา แต่จักษุแพทย์บอกว่าตาปกติ ต่อไป เธอพาลูกสาวไปหาหมอ เพื่อตรวจอาการปวดเอว ปรากฏว่าหมอบอกว่าอาจเกิดจากการที่เธอช่วงหลังชอบฝึกยิมนาสติก จึงให้ยาแก้ปวด และคลายเส้นมากิน
  
หลังจากวัน ผ่านไปอีก 2 เดือน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ลูกสาวยังคงชอบทานสาหร่ายทอดกรอบเหมือนเดิม ซึ่งจู่ ๆ ลูกสาวมาบอกเธอว่า เธอมองทุกอย่างมัวมาก และหลายครั้งเกิดอาการภาพซ้อน ส่วนเอวที่ปวดนี้ มันปวดจุกร้าวภายในเอว ไม่ใช่ด้านนอก ซึ่งยาที่กินก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นแต่ประการใด
  
สุดท้ายเธอตัดสินใจพาลูกสาวไปหาหมอที่ รพ. เพื่อเช็คสุขภาพ ปรากฏว่า เมื่อผลออกมา เธอช๊อค.... เพราะอาการที่สายตาของลูกสาวเธอ คือม่านตาเสีย และเลนส์ตาก็เสื่อมอย่างรวดเร็ว อันเกิดจากการบริโภคเกลือและโซเดียมกลูตาเมท มากเกินขึ้นเป็นเวลานานเกินไป และเอวที่ปวดร้ายภายในนั้น แท้จริงแล้ว คืออาการไตพัง จากการบริโภคสาหร่ายทอดกรอบที่ใส่เกลือและสารชูรสมากและนาน
  
แพทย์อธิบายว่า ลำพังสาหร่ายเองนั้น คือพืชน้ำชนิดหนึ่งที่อาศัยการดูดซึมสารทุกชนิดในน้ำจืดและน้ำทะเล ดังนั้นภายในสาหร่ายเอง ก็อุดมไปด้วยสารพิษจากที่มันดูดมาเก็บไว้ภายใน เพื่อนำสาหร่ายมาผลิต หากไม่ได้ให้ความร้อนที่สูงกว่า 1 พันองศา และอบนานกว่า 2 ชั่วโมง สารพิษทั้งหมดในสาหราย จะคงอยู่เท่ากับเรากินสารพิษในน้ำ ที่สาหร่ายดูดเข้าไปเก็บไว้ที่ตัวเอง
  
เมื่อมาอบแห้งแล้วโรยด้วยเกลือและโซเดียมกลูตาเมท ย่อมทำให้สาหร่ายอบแห้ง ไม่ต่างอะไรกับสารพิษที่ผู้ทานเข้าแล้วมีผลสะสมสารพิษในร่ายกายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนสภาพอวัยวะพังในที่สุดนั่นเอง นอกจากนี้แล้วสาหร่ายทอดบางครั้งอาจมีสารปนเปื่อนมาจากการผลิตซึ่งที่ผ่านมามีการตรวจพบสารปนเปื่อน จากสาหร่ายที่มาจากประเทศจีน อีกทั้งการทอดจากน้ำมันที่ไม่ได้คุณภาพ บอกต่อ ๆ กันไปเพื่อเป็นวิทยาทาน

www.facebook.com/thai.soursop
ผู้เขียน..สุวรรณา/คุณภาพชีวิต/www.manager.co.th"

เรื่องนี้โพสที่นำมาแสดงข้างบนอยู่ในส่วนที่เป็นรูปภาพของ facebook ของโรงพยาบาลดังกล่าว (รูปที่ ๒ ในหน้าถัดไป) ผมตามไปดูรูปเรื่องดังกล่าวก็ได้เห็นปัญหา
  
อย่างแรกเลยก็คือที่หน้านั้นมันจะปรากฏชื่อโรงพยาบาล และก็ตามด้วยเนื้อหาที่ยาวเกินกว่าจะแสดงในหน้าเดียวได้ ต้องกด ... "ดูเพิ่มเติม" ตรงนี้เชื่อว่าสำหรับคนจำนวนไม่น้อย เมื่อเห็นข้อความลักษณะดังกล่าวก็คงจะคิดแล้วว่าเป็นบทความของโรงพยาบาล แต่เมื่ออ่านต่อไปจนจบแล้วจะพบลิงค์อ้างอิงไปยังที่อื่นอีก ซึ่งเมื่อนำลิงค์ดังกล่าวไปค้นหาด้วย google ดูก็พบว่าเรื่องดังกล่าวมีการโพสเอาไว้ตั้งแต่ก่อนปีพ.ศ. ๒๕๕๗ และมีการชี้แจงและถกเถียงกันเพื่อให้เห็นว่าข้อมูลดังกล่าวมีความไม่จริงปะปนอยู่มาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว หรือก่อนที่จะมีการนำมาเผยแพร่ในเว็บของโรงพยาบาลนี้เสียอีก นั่นแสดงว่าบทความดังกล่าวเป็นบทความที่คนอื่นเขียนเอาไว้ เพียงแต่คนดูแล facebook ของโรงพยาบาลเอามาแชร์ต่อ

รูปที่ ๒ ภาพที่ไปจับมาจากหน้า face ของโรงพยาบาลดังกล่าวโดยตรง พึงสังเกตว่าจำนวนคนถูกใจน้อยกว่าจำนวนคนกดแชร์มากเหลือเกิน (ในกรอบสีแดง)

นอกจากนี้ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสังเกตคือจำนวนคนกดไลค์ (ชอบ) นั้นมีประมาณเพียงครึ่งเดียวของคนกดแชร์ (แบ่งปัน) เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมานั้นพบว่าจำนวนคนกดไลค์มักจะมากกว่าจำนวนคนกดแชร์ เว้นแต่ว่าเป็นข้อความที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม ที่บางคนบังเอิญไปอ่านเห็นแล้วประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าไปรุมด่าคนเผยแพร่ข้อความนั้น ซึ่งพอพบคนที่แชร์ข้อความทำนองนี้มาทีใด ผมก็มักจะบอกให้เขาอย่าไปแชร์ต่อ ให้ลบทิ้งไปซะดีกว่า แต่ในกรณีของเรื่องสาหร่ายนี้สงสัยว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป คือคิดว่าเป็นจากธรรมชาติของคนที่ชอบอยากจะอวดว่าได้พบเห็นอะไรใหม่ ๆ ก่อนคนอื่น ก็เลยรีบกดแชร์ โดยที่ยังไม่ได้อ่านเนื้อหาและพิจารณาให้ถี่ถ้วน

ทีนี้เรามาลองดูเนื้อหากันดูบ้าง ผมขอเริ่มจากประโยคที่ว่า " ...หากไม่ได้ให้ความร้อนที่สูงกว่า 1 พันองศา... "

บทความนี้ไม่ได้ระบุ "หน่วย" ของอุณหภูมิ ตรงนี้ต้องระวังนิดนึงถ้าหากบทความนั้นแปลมาจากภาษาต่างประเทศ เพราะหน่วยวัดอุณหภูมิที่ใช้กันในชีวิตประจำวันนั้นมีสองหน่วยหลักคือ "องศาเซลเซียส" และ "องศาฟาเรนไฮต์" ถ้าต้องการแปลงหน่วยองศาฟาเรนต์ไฮต์มาเป็นองศาเซลเซียสแบบคิดง่าย ๆ ในใจก็เอา 2 หาร ถ้าต้องการละเอียดก็ต้องเอา 32 ไปหักออกก่อน จากนั้นจึงค่อยหารด้วย 1.8 ในกรณี 1000 องศานี้ ถ้าเป็นองศาฟาเรนไฮต์ก็จะประมาณ 500 กว่าองศาเซลเซียส แต่ในกรณีนี้มันไม่สำคัญเท่าใดนัก เพราะที่อุณหภูมิขนาดนี้ ถ้าเผาในที่มีออกซิเจน ถ้าอุณหภูมิดังกล่าวมีหน่วยเป็นหน่วยองศาเซลเซียส ตัวสาหร่ายเองก็คงเหลือแต่ขี้เถ้าไม่เหลือซากใด ๆ ในเวลาอันสั้น และถ้าเป็นหน่วยฟาเรนไฮต์ ตัวสาหาร่ายก็คงเหลือแต่ขี้เถ้าเช่นกัน แต่คงใช้เวลาเพิ่มขึ้นบ้าง และอันที่จริง อุณหภูมิจุดติดไฟ (fire point) ของน้ำมันพืชมันก็ไม่ได้สูงเท่าใด ในภาวะที่มีออกซิเจน พอให้ความร้อนมันไปได้ไม่กี่ร้อยองศาเซลเซียส (ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมัน) มันก็ลุกติดไฟได้แล้ว (แบบที่เราเห็นเวลาเขาทำผักบุ้งไฟแดง)
  
แต่ถ้าจะแย้งว่าอาจทอดในบรรยากาศที่ไม่มีออกซิเจนมันก็ไม่ได้อีก เพราะที่อุณหภูมิระดับ 1000 องศานี้โมเลกุลน้ำมันพืชและสาหร่ายเองจะแตกออกเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ เต็มไปหมด คงเหลือแต่ก้อนคาร์บอน
  
ผมเคยสอนนิสิตทำการทดลองเรื่องการวิเคราะห์ปริมาณซัลเฟตในน้ำ ซึ่งเริ่มจากการตกตะกอนซัลเฟตด้วยสารละลาย BaCl2 ก่อน จากนั้นจึงกรองตะกอนซัลเฟตที่ได้โดยใช้กระดาษกรอง และนำไปเผาในเตาเผา ผู้ที่ผ่านการทดลองนี้มาจะทราบว่าถ้ามีออกซิเจนเพียงพอ อุณหภูมิแค่ 700-800 องศาเซลเซียสก็เผากระดาษกรองให้กลายเป็นไอได้หมดได้ในเวลาเพียงแค่ไม่นาน แต่ถ้าออกซิเจนมีไม่พอ กระดาษกรองจะกลายเป็นแผ่นคาร์บอนสีดำ ไม่มีสภาพเป็นกระดาษดังเดิม
  
เรื่องการสลายตัวของสารเนื่องจากอุณหภูมิในกรณีของไฮโดรคาร์บอนนั้นเคยเขียนไว้แล้วครั้งหนึ่งใน Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๕๙ วันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง "Thermalcracking - Thermal decomposition" โครงสร้างโมเลกุลของน้ำมันพืชเอง มันมีส่วนที่เป็นสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนขนาดยาวอยู่ และสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนขนาดยาว โมเลกุลมันแตกออกได้ง่ายกว่าโมเลกุลไฮโดรคาร์บอนขนาดเล็กเสียอีก

ประโยคถัดมาที่ขอนำมาพิจารณาคือ "...ภายในสาหร่ายเอง ก็อุดมไปด้วยสารพิษจากที่มันดูดมาเก็บไว้ภายใน..."

ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องปรกติ ถ้าหากในน้ำมีสารพิษ สิ่งมีชีวิตก็จะดูดซับสารพิษนั้นเข้าไปไว้ในตัวมันเอง แต่การสะสมของสารพิษนั้นจะมากที่สุดในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตอนบนของห่วงโซ่อาหาร ความเข้มข้นสารพิษในตัวของสัตว์น้ำที่กินพืชน้ำ จะสูงกว่าความเข้มข้นของสารพิษในตัวตัวพืชน้ำเอง และความเข้มข้นของสารพิษในตัวสัตว์ที่กินสัตว์น้ำ (เช่น นก กินปลาที่กินพืชน้ำที่มีสารพิษเป็นอาหาร) ก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกครับ ดังนั้นถ้าว่ากันตามนี้ การกินอาหารสัตว์ทะเลหรือสัตว์ที่เลี้ยงในกระชังที่กินพืชที่เติบโตในแหล่งนั้นที่มันอาศัยอยู่นั้นเป็นอาหาร จะมีโอกาสได้รับสารพิษสะสมเข้าสู่ร่างกายมากกว่าการกินพืชน้ำ ตรงนี้ลองดูกรณีของยาฆ่าแมลง DDT ดูก็ได้ เพียงแค่ลองใช้คำว่า DDT accumulation ค้นหาใน google ดูก็จะเห็นวงจรการสะสมของสารพิษในห่วงโซ่อาหาร
  
รูปที่ ๓ ความเข้มข้นการสะสม DDT ในห่วงโซ่อาหาร พวกที่อยู่ข้างล่างเป็นอาหารให้กับพวกที่อยู่ข้างบน
ประโยคถัดมาที่ขอนำมาพิจารณาคือ "...อันเกิดจากการบริโภคเกลือและโซเดียมกลูตาเมท..."

เกลือในที่นี้ก็คือเกลือแกง (NaCl) ส่วนโซเดียมกลูตาเมทก็คือผงชูรส สารเคมีทั้งสองนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะกับสาหร่ายทอด แต่มีการใช้กับการปรุงอาหารทั่วไป ถีงไม่กินสาหร่ายทอด แต่กิน "โซเดียม" (ในรูป Na+) มากเกินไป (ไม่ว่าจะมาจากการใส่เกลือโดยตรงหรือเครื่องปรุงรสที่มีเกลือผสมอยู่เช่นน้ำปลา) ก็ส่งผลต่อการทำงานของไตและความดันโลหิตของร่างกายได้ ถ้าเอาข้อมูลในย่อหน้านี้รวมกับในย่อหน้าข้างบน ก็จะสรุปได้ว่า การกินปลาเค็ม จะส่งผลให้เกิดอันตรายมากกว่าการกินสาหร่ายทอดอีก เพราะปลามันอยู่ทางด้านบนของห่วงโซ่อาหาร ดังนั้นมันจึงควรมีสารพิษสะสมมากกว่า และแถมมีโซเดียม (จากเกลือ) อีก ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับโซเดียมมากเกินพอและสารพิษจึงควรมากกว่าด้วย

ณ จุดนี้ก็ย้อนกลับไปทำให้เกิดคำถามว่า แล้วข้อความที่บอกว่า "แพทย์อธิบายว่า ..... " นั้น เป็นจริงหรือไม่ ตรงนี้ต้องแยกประเด็นออกมาพิจารณาเป็นอย่างแรกก่อนว่า เนื้อหาของบทความนี้มาจากเหตุการณ์จริงหรือเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ถ้าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นก็แล้วไป และถ้าเป็นเหตุการณ์จริง ก็ทำให้เกิดประเด็นที่ต้องพิจารณาตามมาคือคำถามเรื่องความรู้ของบุคคลที่ถูกเรียกว่า "แพทย์" ในบทความดังกล่าว ว่าบุคคลนั้นเป็นแพทย์จริงหรือไม่ ถ้าไม่เป็นจริงก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นจริงละก็ ก็น่าสงสารใครก็ตามที่ต้องไปรับการรักษากับแพทย์คนนั้น

ข้อความประเภทนี้ควรต้องตรวจสอบแหล่งที่มาข้อมูล และโดยทั่วไปก็มักจะพบว่าหาต้นตอไม่ได้ว่าการเผยแพร่ครั้งแรกนั้นอยู่ที่ใด ใครเป็นผู้ดูแลแหล่งเผยแพร่ข้อความเป็นครั้งแรก ข้อความมักไม่ชัดเจนว่าเกิดขึ้น ที่ไหน เมื่อใด ใครเป็นคนเขียน มักขึ้นต้นด้วยคำว่า "อันตราย" และมักจบท้ายด้วยการบอกว่าช่วยแชร์ ช่วยบอกต่อ ๆ กันไป ที่สำคัญก็คือพอมีคนอ่านเข้าก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่รีบเชื่อแบบฝังใจทันทีว่าข้อความดังกล่าวเป็นจริงทั้งหมด แม้จะมีการชี้แจงอย่างไรว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นจริง โดยที่เขาไม่สามารถโต้แย้งได้ เขาก็จะใช้วิธีการป้องกันตัวเองว่า "ไม่รู้ล่ะ ป้องกันเผื่อเอาไว้ก่อนดีกว่า"

แต่มีประเด็นหนึ่งที่สำคัญที่อยากฝากเอาไว้ก็คือ หน่วยงานใด ๆ ก็ตามที่ควรเป็นแหล่งความรู้ทางวิชาการที่เชื่อถือได้ ควรที่จะพึงระมัดระวังการเผยแพร่ข้อความใด ๆ ออกสู่สาธารณะ เนื้อหาใด ๆ ที่จะเผยแพร่ออกสู่สาธารณะผ่านทางช่องทางใด ๆ ที่สาธารณะชนรับรู้ว่าเป็นของหน่วยงานนั้นยิ่งควรต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนมีการเผยแพร่ ไม่ใช่เพียงแค่ให้ใครสักคนมานั่งหาอะไรก็ได้มาเผยแพร่หน้าเว็บ เพื่อให้หน้าเว็บมันมีเรื่องราว ดูไม่เบื่อ หรือเรียกความสนใจ และไม่ควรนำบทความใด ๆ ที่สืบหาต้นตอหรือผู้เขียนไม่ได้นั้นมาเผยแพร่ เพราะถ้าหากสิ่งที่เผยแพร่ไปนั้นไม่ถูกต้อง มันจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของหน่วยงานนั้นในระยะยาว

เวลาสอนวิชาสัมมนา ผมมักบอกนิสิตเสมอว่า ในวิชานี้คุณคงได้เรียนจากอาจารย์หลาย ๆ ท่านว่าควรนำเสนออย่างไรจึงจะดูดีน่าเชื่อถือหรือ "พูดอย่างไรให้คนเชื่อ" แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ "ฟังอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก" ซึ่งการจะรับฟังข้อมูลโดยไม่ถูกหลอกได้นั้น ต้องตัดเอาเทคนิคการนำเสนอต่าง ๆ ออกไปจากข้อมูลที่ได้รับฟังมาให้หมด เหลือแต่เพียงเนื้อหาแท้จริงของข้อมูล จากนั้นจึงพิจารณาความสมเหตุสมผลหรือข้อขัดแย้งในข้อมูลที่ได้รับมา สิ่งสำคัญคือการแปลความหมายข้อมูลนั้นอย่าแปลโดยด่วนสรุปไปที่ข้อสรุปใดข้อสรุปหนึ่ง ต้องแปลออกมาให้เป็นกลางให้ได้ก่อน แต่การจะทำดังกล่าวได้นั้นจำเป็นต้องมีความรู้ในหลาย ๆ ด้านนอกเหนือไปจากด้านที่ตนเองเรียนเฉพาะทางด้วย


Memoir ฉบับนี้คงเป็นฉบับสุดท้ายของปีที่ ๖ ฉบับถัดไปจะขึ้นต้นปีที่ ๗ สรุปว่าในรอบปีที่ ๖ นี้ออก Memoir ไปทั้งสิ้น ๑๘๙ ฉบับ รวมทั้งสิ้น ๑๐๑๐ หน้า A4 (ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนไปได้ยังไง)

ไม่มีความคิดเห็น: