วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รถไฟเล็กลากไม้สายตะวันออก (ศรีราชา) ภาค ๗ MO Memoir : Saturday 1 August 2558

ดูเหมือนว่าหนังสือที่มีการพิมพ์แจกเป็นที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพบุคคลต่าง ๆ ทางห้องสมุดของมหาวิทยาลัยจะเก็บกระจัดกระจายเอาไว้หลายที่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจำแนกตามเนื้อหาที่ปรากฏในเล่มหรือเปล่า เพราะถ้าเล่มนั้นเป็นประวัติของผู้เสียชีวิตเป็นหลัก หนังสือนั้นก็ไปปรากฏอยู่ในหนังสือหมวดชีวประวัติ ส่วนเล่มที่เจอนี้ไปพบอยู่ในหนังสือหมวดเบ็ดเตล็ดหรือความรู้ทั่วไปฉบับภาษาไทย คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องที่อยู่ข้างใน
 
รูปที่ ๑ หน้าปกของหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจศพคุณลักษณะ อิงสุวรรณ ณ วัดประยุรวงศาวรวิหาร วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่อยู่ในหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย
  
รูปที่ ๒ รูปคุณลักษณา อิงสุวรรณ ถ่ายรูปร่วมกับบิดาและมารดา

ตามประวัติที่เขียนไว้ในหนังสือ คุณลักษณา อิงสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๔๕๒ (ปลายรัชกาลที่ ๕) ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๒๐ ช่วงวัยเยาว์ได้ไปศึกษาอยู่ ณ ประเทศจีน และหลังสำเร็จการศึกษาแล้วก็ได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่จงหัววิทยาลัย ที่เป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงสุดของชาวจีนในประเทศไทยในช่วงเวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๘๓)
  
ตามประวัติที่กล่าวไว้ในหนังสือ คุณลักษณา ไม่เพียงแต่เป็นนักกีฬาทั้งประเภทลู่และลาน (ซึ่งจัดได้ว่าแตกต่างไปจากหญิงไทยในสมัยนั้น) แต่ยังเป็นผู้ที่มีฝีมือในการถ่ายภาพด้วย ในหนังสืออนุสรณ์นั้นผู้จัดทำก็ได้นำเอาภาพส่วนหนึ่ง (เพียงส่วนน้อยของที่มี) มาพิมพ์ลงไว้ในหนังสือ ที่น่าเสียดายคือภาพที่นำมาลงนั้นไม่มีคำบรรยายใด ๆ ทำให้หลายต่อหลายภาพไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสถานที่ไหน เว้นแต่เป็นสถานที่สำคัญหรือโบราณสถานที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ที่คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ที่ยังพอระบุได้ว่าเป็นที่ใด ตอนที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมากรีดดูหน้าต่าง ๆ เล่น ๆ ผมก็ไปสะดุดกับรูปถ่ายใบหนึ่งที่ผู้จัดทำหนังสือนำมาลง นั่นคือภาพทางรถไฟที่มุ่งตรงไปยังเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ในทะเล (รูปที่ ๓ ข้างล่าง)
  
รูปที่ ๓ ภาพถ่ายฝีมือคุณลักษณา อิงสุวรรณ ในหนังสือไม่มีการระบุสถานที่และวันที่ทำการบันทึกภาพ แต่ทางรถไฟบ้านเราที่เคยมีลงไปในทะเลก็เห็นจะมีแต่ทางรถไฟบรรทุกไม้ไปยังท่าเทียบเรือที่เกาะลอย ศรีราชา เท่านั้น และลักษณะของเกาะที่เห็นในภาพมันก็ตรงกับเกาะลอย ที่เห็นเป็นยอดแหลม ๆ เล็ก ๆ ทางซ้ายบนเกาะก็คือวัดที่อยู่บนเกาะนั้น ภาพในหนังสือเป็นภาพขาวดำที่มีความชัดเจนภาพหนึ่ง ผมสงสัยว่าภาพนี้อาจจะถ่ายก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุด

คำไว้อาลัยที่เขียนโดยคุณวิโรจน์ อูนากูล (ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๐) เล่าไว้ว่า "บางโอกาส คุณครูจะพาพวกเราไปทัศนศึกษาตามจังหวัดใกล้เคียง เที่ยวตามป่าเขาลำเนาไพร ชมน้ำตก เช่นน้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายก บางครั้งก็พาเที่ยวไต่เขา เช่นภูเขาที่จังหวัดสระบุรี นักเรียนชอบเล่นน้ำทะเล คุณครูก็พาเที่ยวชายทะเลบางแสนในวันสุดสัปดาห์เสมอ คุณครูมีความเห็นว่า เด็กในปัจจุบันจะมีความรู้แต่เพียงภายในโรงเรียนเท่านั้นยังไม่พอ จำเป็นต้องหาความรู้และประสพการณ์จากนอกโรงเรียนด้วย" (สะกดและเว้นวรรคตามข้อความที่ปรากฏในหนังสือ)
  
บันทึกนี้ทำให้ทราบว่าคุณลักษณา ได้เดินทางไปบางแสนบ่อยครั้ง ทำให้เชื่อได้ว่าท่านคงจะได้มีโอกาสเดินทางไปยังศรีราชา (ห่างจากบางแสนไปเพียง ๑๐ กิโลเมตร) และคงได้ไปเห็นศรีราชาในขณะที่ยังมีรถไฟเล็กบรรทุกไม้วิ่งอยู่

ตรงนี้ขอแทรกเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาจนถึงยุคสิ้นสุดสงครามเวียดนาม (พ.ศ. ๒๕๑๘) ซะหน่อย ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทางเอเชียจะเริ่มนั้น จีนนั้นรบอยู่กับญี่ปุ่น ส่วนไทยก็ไม่เกี่ยวข้องอะไร แต่พอญี่ปุ่นบุกไทยเพื่อใช้เป็นทางผ่านไปพม่ากับมลายู ไทยก็จำเป็นต้องมาอยู่ข้างญี่ปุ่น (คืออยู่ฝ่ายตรงข้ามกับจีน) แต่พอญี่ปุ่นยอมจำนน ไทยก็มาอยู่ทางฝ่ายแพ้สงคราม ในขณะที่จีนอยู่ฝ่ายชนะสงคราม คนจีนในไทยก็เลยดีใจกันยกใหญ่ ซึ่งตรงนี้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างไทยกับคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในขณะนั้น แต่จีนก็ดีใจอยู่ได้ไม่นาน พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยึดอำนาจและทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ไทยเองจำเป็นต้องปล่อยให้มีกองกำลังของกองทัพจีนที่แตกพ่ายพรรคคอมมิวนิสต์มาตั้งหลักแหล่งทางภาคเหนือของประเทศ บริเวณรอยต่อ ไทย-พม่า-ลาว เพื่อไว้เป็นกันชน ส่วนไทยเองก็หันไปรับรองรัฐบาลจีนคณะชาติที่ไต้หวัน ก่อนที่จะหันมาเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ และช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่สถานการณ์การรบระหว่างกองกำลังฝ่ายรัฐบาลและพรรมคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ (รัฐบาลค่อนข้างจะเป็นฝ่ายตั้งรับ)

บทความวันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ถือเพียงแค่เป็นการนำเอาภาพใบหนึ่งที่ปรากฏบนหน้าหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกซุกเอาไว้บนชั้นหนังสือในห้องสมุดมาเผยแพร่ให้ชมกัน ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหนังสือเล่มนี้เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ทางห้องสมุดจะยังเห็นคุณค่าของมันอีกหรือไม่ จะนำมันไปเก็บไว้ในหมวดหมู่หนังสือเก่า หรือจะขายทิ้งทอดตลาดออกไป

ไม่มีความคิดเห็น: