วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

สิ่งที่ได้มาโดยมิชอบ ย่อมร้องขอความเป็นธรรมไม่ได้ (เมื่อนิสิตคณะวิศวะ ฟ้องอาจารย์คณะอื่นที่พยายามช่วยไม่ให้นิสิตรีไทร์) MO Memoir : Tuesday 16 July 2562

เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วครับ ในปีการศึกษา ๒๕๔๒ ซึ่งตามมาด้วยการฟ้องศาลปกครอง จนศาลปกครองมีคำพิพากษาในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ เหตุการณ์นี้จะเรียกว่าเป็น ชาวนากับงูเห่าเวอร์ชันนิสิตคณะวิศวะกับอาจารย์นอกคณะก็น่าจะได้นะครับ เมื่อนิสิตได้เกรด F แล้วรีไทร์ แล้วพยายามขอให้อาจารย์ช่วย อาจารย์ก็พยายามช่วยทุกวิถีทางแล้ว แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนก็คือ ....

เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้มาจากเอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง "กฎหมายปกครองสำหรับบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมและต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖ และได้นำมาเล่าไว้เรื่องหนึ่งในเรื่อง "สิทธิในการรู้คะแนนสอบของผู้อื่น" (Memoir ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๔๐๐ วันอังคารที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐) กรณีนี้น่าจะเป็นบทเรียนให้กับอาจารย์ที่คิดจะช่วยเหลือนิสิตในทางที่ผิด
 
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ยื่นฟ้องจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการที่ทางมหาวิทยาลัยจัดสอบโดยมิชอบเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๓ ทำให้นิสิตผู้นั้นทราบเวลาสอบล่วงหน้ากระชั้นชิด ทำให้มีเวลาทำข้อสอบวิชาการเงินส่วนบุคคลเพียงชั่วโมงครื่งแทนที่จะเป็น ๓ ชั่วโมง ทำให้ผลสอบออกมาได้เกรด D และนิสิตที่อยู่ในสภาพวิทยาทัณฑ์อยู่แล้วต้องพ้นสภาพนิสิต นิสิตจึงร้องต่อศาลขอให้ทางมหาวิทยาลัยจัดสอบให้ใหม่
 
เนื่องจากประกาศของมหาวิทยาลัยเป็นคำสั่งปกครอง และมหาวิทยาลัยได้ประกาศให้นิสิตพ้นสภาพนิสิตไปแล้ว ทางนายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรทุกข์ชั่วคราว โดยให้ทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้นิสิตลงทะเบียนเรียนได้ก่อน (เผื่อว่านิสิตเป็นผู้ชนะคดี)

เรื่องมันเริ่มจากการที่มีนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ (โชคดีที่ไม่ใช่ภาควิชาที่ผมสอน) ลงเรียนวิชาเลือกนอกคณะคือวิชาการเงินส่วนบุคคล วิชานี้ไม่ได้กำหนดวันสอบไล่ไว้ในตารางสอบ กำหนดแต่เพียง TDF ที่ย่อมาจาก To be delcared by the faculty ซึ่งก็คือผู้สอนกับผู้เรียนค่อยตกลงวันสอบกัน
 
คำว่า "Faculty" นี้ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษแบบ British จะหมายถึงคณะวิชา ไม่ใช่อาจารย์ผู้สอน แต่ถ้าเป็นแบบอเมริกันจะหมายถึงอาจารย์ผู้สอน (teaching staff)
 
เดิมนั้นวิชานี้จะมีทั้งการสอบกลางภาคและการสอบปลายภาค แต่ในภาคการศึกษานั้นเปลี่ยนการสอบกลางภาคเป็นการทำข้อสอบเชิงกรณีศึกษานอกห้องสอบ โดยให้นิสิตทุกคนกลับไปทำและนำกลับมาส่งใน ๒ สัปดาห์ (ช่วงนั้นการสอบกลางภาคจะอยู่ตอนปลายเดือนธันวาคม เรียกว่าสอบเสร็จก็ฉลองปีใหม่ได้เลย)
 
วันที่ ๒๖ มกราคมเป็นวันครบกำหนดการส่งกระดาษคำตอบกลางภาค นิสิตทุกคนนำมาส่ง ยกเว้นผู้ฟ้องคดี และอาจารย์ยังได้แจ้งด้วยว่าการสอบไล่นั้นจะแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม โดยกลุ่มแรกสอบวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ กลุ่มที่สองสอบวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ โดยกลุ่มของนิสิตวิศวะนั้นให้เข้าสอบในกลุ่มแรกคือวันที่ ๙ กุมภาพันธ์
 
ถึงวันสอบของกลุ่มแรกคือวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ นิสิตผู้ฟ้องคดีก็มาสอบ พร้อมกับเอาข้อสอบของกลางภาคมาส่ง (อันที่จริงมันต้องส่งตั้งแต่ ๒๖ มกราคมแล้ว) อาจารย์ผู้สอนก็อุตส่าห์ยอมรับไว้โดยระบุว่าส่งผิดเวลา (เรียกว่าช้าไป ๒ สัปดาห์) แถมตรวจให้คะแนนด้วย
 
ปรกติในการสอบนั้น ผู้เข้าสอบจะต้องอยู่ในห้องสอบไม่น้อยกว่า ๔๕ นาที (แม้ว่าจะทำข้อสอบเสร็จแล้วก็ตาม) จึงจะมีสิทธิ์ออกนอกห้องสอบได้ แต่ในวันนั้นนิสิตคนดังกล่าวเข้าสอบเพียงไม่ถึง ๔๕ นาที ก็ขอไปสอบในวันที่สองแทน
 
ลองคิดดูเล่น ๆ นะครับ ถ้าคุณเป็นคนที่เรียนกับเขาในวิชานั้น เขาเข้ามาสอบ เห็นข้อสอบแล้ว แล้วบอกว่าไม่อยากจะสอบวันนี้ ขอไปสอบอีกวัน แถมอาจารย์อนุญาตให้อีก คุณว่ามันเป็นธรรมกับคุณไหม

การสอบในวันที่สองนั้นก็มีเหตุการณ์ทำนองเดิมอีก ตรงนี้ถ้าผมจำที่เขาเล่าเอาไว้ไม่ผิดก็คือ พอนิสิตเข้าสอบไปได้สักพักก็ขอส่งกระดาษคำตอบ โดยอ้างว่าติดสอบวิชาอื่น อาจารย์ผู้ควบคุมสอบก็ยอมให้ออกไปจากห้องสอบ (ตรงนี้แสดงว่าการสอบในวันแรกนั้นเขาไม่มีการสอบซ้ำซ้อนกับวิชาอื่น) แต่ก่อนที่จะหมดเวลาสอบ เขาก็กลับมาใหม่ และขอทำข้อสอบต่อ ซึ่งอาจารย์ก็อนุญาตให้ทำข้อสอบต่อได้
 
ลองคิดดูเล่น ๆ อีกครั้งนะครับ คนที่สอบวิชาเดียวกับคุณ เข้ามาสอบได้สักพักก็ขอส่งข้อสอบแล้วออกไปข้างนอก หายไปพักใหญ่ ๆ ก็กลับมาใหม่ และขอทำข้อสอบเดิมต่อ คุณว่ามันเป็นธรรมกับคุณไหม

พอผลสอบประกาศออกมา นิสิตคนนั้นได้เกรด F (Fail หรือตก) ครับ แต่มีการร้องขอกับอาจารย์ผู้สอนให้เกรด I (Incomplete หรือยังไม่สมบูรณ์) ซึ่งอาจารย์ก็ยอมให้เกรด I กับนิสิตคนนั้น
 
การให้เกรด I นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนิสิตไม่ได้มาสอบ และได้ทำเรื่องแจ้งเหตุผล หรือว่าการส่งงานนั้นยังไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ใช่สำหรับการสอบข้อเขียนที่มีการส่งกระดาษคำตอบกันหมดแล้ว ดังนั้นการที่อาจารย์ให้เกรด I กับนิสิตในเหตุการณฅ์นี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

เอกสารที่สแกนมาให้ดูนั้นเป็นฉบับย่อ เท่าที่จำได้ในการฟังการสัมมนาก็คือมีการจัดสอบแก้ I ให้สองครั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) โดยครั้งแรกนั้นจำไม่ได้แน่ว่านิสิตไม่มาหรือสอบไม่ผ่าน แต่อาจารย์ผู้สอนก็ยังให้โอกาสที่จะสอบแก้ I ใหม่อีกครั้งในวันที่ ๓๐ มีนาคม โดยกำหนดเวลาสอบไว้ ๓ ชั่วโมง แต่ในการสอบครั้งหลังนี้เป็นการฝากให้ผู้อื่นคุมสอบแทน ถึงวันสอบปรากฏว่านิสิตมาสาย และเมื่อครบกำหนดเวลาสอบที่กำหนดไว้ผู้คุมสอบก็ไม่มีการต่อเวลาให้ ทำให้นิสิตคนดังกล่าวได้เกรด D ในวิชานั้น ส่งผลให้ต้องพ้นสภาพนิสิต
 
การสอบแก้ I ต้องกระทำภายใน ๒ สัปดาห์แรกของภาคการศึกษาถัดไป ในกรณีของภาคปลายมันจะมีเวลาการเปิดเรียนภาคฤดูร้อนเป็นภาคเรียนถัดไป ดังนั้นสำหรับผู้ที่ติด I แล้วควรต้องรู้ว่าเส้นตายของการแก้ I คือวันไหน ในเหตุการณ์นี้ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่าการสอบแก้ I ครั้งแรกนั้นห่างจากเส้นตายพอควร แต่เมื่อผลออกมาไม่ดีและมีการขอสอบใหม่ จึงทำให้ช่วงเวลาที่ทราบว่าสอบครั้งแรกไม่ผ่านและเส้นตายของการสอบนั้นแคบเข้ามามาก

คำสั่งของมหาวิทยาลัยที่ให้นิสิตพ้นสภาพการเป็นนิสิตถือเป็น "คำสั่งปกครอง" ดังนั้นในกรณีนี้นิสิตจึงสามารถร้องต่อศาลปกครองได้ และได้ร้องขอให้ศาลปกครองสั่งให้ทางมหาวิทยาลัยจัดการสอบแก้ I ให้ใหม่ (เพื่อเปิดโอกาสให้เขามีเวลาสอบเต็มที่ ๓ ชั่วโมงเต็ม) ซึ่งศาลปกครองก็ได้รับเรื่องเอาไว้พิจารณา
 
แต่เมื่อศาลได้พิจารณาหลักฐานทั้งหมดแล้วพบว่า การที่อาจารย์ให้เกรด I กับนิสิตนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง (ที่ถูกต้องคือการให้เกรด F) ดังนั้นการที่มีการจัดให้นิสิตมีโอกาสสอบแก้ I นั้นจึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องด้วย จึงส่งผลให้การที่นิสิตร้องขอให้จัดสอบแก้ I ใหม่นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามไปด้วย ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง

ในวันนั้นผู้บรรยายสรุปกรณีของเหตุการณ์นี้เอาไว้ว่า "สิ่งที่ได้มาโดยมิชอบ ย่อมร้องขอความเป็นธรรมไม่ได้"
 
ที่เหลือก็ลองอ่านข้อความที่สแกนมาให้ดูเอาเองก็แล้วกันนะครับ






ไม่มีความคิดเห็น: