เวลาพูดถึงปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจน
(hydrogenation)
ทางเคมีมักหมายถึงการเติมไฮโดรเจนไปที่ตำแหน่งพันธะคู่
(double
bond) ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพันธะคู่ของคาร์บอน
C=C
หรือไม่ก็เป็นการเติมไฮโดรเจนไปที่พันธะสาม
(triple
bond) เช่นพันธะ
C≡C
ปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจนนี้จัดเป็นปฏิกิริยาการรีดิวซ์
(reduction)
ด้วย
แต่เวลาพูดถึงปฏิกิริยาการรีดิวซ์ทางเคมีมักจะเน้นไปที่หมู่ฟังก์ชันที่มีอะตอมออกซิเจน
เช่นการเปลี่ยนหมู่อัลดีไฮด์
(-COH)
หรือคีโตน
(-CO-)
ให้กลายเป็นหมู่ไฮดรอกซิล
(-OH)
หรือการเปลี่ยนหมู่คาร์บอกซิล
(-COOH)
ให้กลายเป็นหมู่อัลดีไซด์
ในอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมีมีการใช้ปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจนไปที่ตำแหน่งพันธะคู่ของอะตอมคาร์บอน
C=C
ในหลายงาน
เช่นการลดความไม่อิ่มตัวของน้ำมันพืชเพื่อให้น้ำมันพืชทนต่อความร้อนได้ดีขึ้น
หรือเพื่อเปลี่ยนน้ำมันพืชเป็นเนยเทียม
(margarine)
ในกระบวนการกลั่นน้ำมันก็มีการใช้ปฏิกิริยานี้ในการลดปริมาณสารโอเลฟินส์ในน้ำมันเบนซิน
เพื่อลดการเกิดคราบสกปรกในระบบเชื้อเพลิง
(เพราะสารโอเลฟินส์อาจเกิดการพอลิเมอร์ไรซ์เป็นโมเลกุลใหญ่ขึ้น
กลายเป็นคราบของแข็งสะสมในระบบเชื้อเพลิง)
ในโรงงานผลิตโอเลฟินส์ก็มีการใช้ปฏิกิริยานี้ในการกำจัดอะเซทิลีน
(HC≡CH)
และเมทิลอะเซทิลีน
(HC≡C-CH3)
เพราะสารเหล่านี้เป็นพิษต่อตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการที่ใช้เอทิลีน/โพรพิลีนเป็นสารตั้งต้น
(เช่นในกระบวนการพอลิเมอร์ไรซ์
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจนนี้มักเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็น
"โลหะ"
มีโลหะหลายชนิดที่สามารถนำมาใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเติมไฮโดรเจนไปที่พันธะ
C=C
และ
C≡C
แต่ในระหว่างปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจนนี้ก็มีการเกิดปฏิกิริยาข้างเคียงด้วย
ปฏิกิริยาข้างเคียงปฏิกิริยาหนึ่งที่สำคัญคือการที่สารตั้งต้นนั้นเกิดรวมตัวกันเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นที่เรียกว่า
"green
oil"
วิธีการหนึ่งที่ใช้ในการลดการเกิด
green
oil
คือการเติมโลหะตัวที่สองเข้าไปร่วมกับโลหะตัวที่หนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวเติมไฮโดรเจน
โลหะตัวที่สองนี้ทำหน้าที่เป็น
"promoter"
ให้กับโลหะตัวที่หนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวเติมไฮโดรเจน
ด้วยการใช้โลหะตัวที่เหมาะสม
การเกิด green
oil ก็จะลดลงได้
ถ้าหากเป็นการเติมไฮโดรเจนเข้าไปที่พันธะ
C=C
และ
C≡C
ที่ไม่ได้อยู่ที่ปลายโซ่
หรือเป็นการเติมไฮโดรเจนเข้าไปที่พันธะ
C=C
ที่อยู่ที่ปลายโซ่
การจะใช้โลหะตัวไหนมาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาหรือมาเป็น
promoter
ก็ไม่มีปัญหาอะไร
เพราะทั้ง C=C
และ
C≡C
ต่างก็ทำปฏิกิริยาดังกล่าวเหมือนกัน
แต่ถ้าเป็นการเติมไฮโดรเจนเข้าไปที่พันธะ
C≡C
ที่อยู่ที่ปลายโซ่
อะตอมไฮโดรเจนที่อยู่ที่ปลายโซ่
C≡C-H
ที่เรียกว่า
acetylenic
hydrogen
นั้นอาจเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่าปฏิกิริยาการแทนที่ไฮโดรเจนของอะเซทิลีน
(replacement
of acetylenic hydrogen) โดยอะตอมไฮโดรเจนที่ตำแหน่งดังกล่าวจะหลุดออก
ทำให้เกิด acetylide
ion และโปรตอนดังสมการ
R-C≡C-H
R-C≡C+
+ H+
รูปที่
๒ promoter
ต่าง
ๆ ที่เขาบอกว่านำมาใช้ในการปรับปรุงความว่องไวในการทำปฏิกิริยาของ
Pd
ปฏิกิริยาการแทนที่ไฮโดรเจนของอะเซทิลีนนั้นใช้ในการระบุโครงสร้าง
R-C≡C-H
จาก
R-C=C-H2
ได้
เพราะอะตอมไฮโดรเจนของโครงสร้างเอทิลีน
(ethylenic
hydrogen -C=C-H2)
นั้นไม่เกิดปฏิกิริยาดังกล่าว
โดยอะเซทิลีนนั้นจะทำปฏิกิริยากับโลหะที่ว่องไวเช่น
Na
K และ
Ca
(ในแอมโมเนียเหลว)
ให้แก๊สไฮโดรเจนและเกลือ
metal
acetylide ออกมา
นอกจากนี้ยังสามารถทำปฏิกิริยากับสารละลาย
ammonical
copper (I) chloride และ
ammonical
silver nitrate เกิดเป็นเกลือ
metal
acetylide ตกตะกอนออกมาดังสมการ
(HC≡CH)
+ 2Cu(NH3)2Cl
Cu-C≡C-Cu
+ 2NH4Cl
+ 2NH3
(HC≡CH)
+ 2Ag(NH3)2NO3
Ag-C≡C-Ag
+ 2NH4NO3
+ 2NH3
สารละลาย
ammonical
copper (I) chloride และสารละลาย
ammonical
silver nitrate เตรียมได้จากการผสมสารละลาย
CuCl
หรือสารละลาย
AgNO3
กับสารละลาย
NH4OH
ในปริมาณที่มากเกินพอ
ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาที่รู้จักกันมานานแล้ว
สองสมการข้างบนผมลอกมาจากหนังสือ
"A
short course in organic chemistry" แต่งโดย
Edward
E. Burgoyne ฉบับพิมพ์ครั้งที่
๓ ในปีค.ศ.
๑๙๘๕
(พ.ศ.
๒๕๒๘)
สารประกอบ
metal
acetylide ของโลหะ
Cu
และ
Ag
ไวต่อแรงกระแทกมากเมื่อแห้ง
และอาจระเบิดได้
เรื่องนี้ผมเคยเล่าไว้ใน
memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๔๒๒ วันเสาร์ที่
๑๗ มีนาคมพ.ศ.
๒๕๕๕
เรื่อง "ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๕ ท่อแแก๊สระบบ Acetylene hydrogenation"
รูปที่เอามาแสดงเป็นรูปที่ผมถ่ายระหว่างการฟังบรรยายเมื่อเที่ยงวันศุกร์ที่ผ่านมา
เป็นในส่วนของเนื้อหาการทบทวนวรรณกรรม
ผมถามนิสิตผู้บรรยายว่าเขาใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาใดในการทดลอง
เขาก็ตอบว่าเขาเลือกใช้แค่
Pd/TiO2
ผมก็เลยถามต่อว่าเขาปิดการทดลองหรือยัง
เขาก็ตอบว่าปิดการทดลองแล้ว
แม้จะดูเหมือนว่านิสิตผู้บรรยายนั้นไม่ทราบว่าข้อควรระวังในการเลือกโลหะที่มาใช้ทำเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับปฏิกิริยาดังกล่าวมีอะไรบ้าง
แต่สำหรับนิสิตผู้นั้นคงไม่มีปัญหาอะไรแล้วเพราะเขาปิดการทดลองไปแล้ว
ที่เป็นคำถามคืองานนี้จะมีคนมารับช่วงงานต่อหรือไม่
และจะดำเนินในแนวทางไหน
ผมเองก็คงจะเข้าไปยุ่งอะไรไม่ได้
เพราะงานนี้เป็นงานวิจัยที่ได้รับทุนจากบริษัท
ผู้ไม่เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิเข้าไปรับรู้เรื่องราวใด
ๆ
(เว้นแต่ส่วนที่นิสิตต้องนำมานำเสนอในวิชาสัมมนาและเผยแพร่ผลงานวิชาการ)
และดำเนินการวิจัยในพื้นที่ที่ผมไม่มีสิทธิใด
ๆ ในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าในเรื่องใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น