ปฏิกิริยาการกำจัดน้ำหรือ
dehydration
ของโมเลกุลสารอินทรีย์
คือการดึงเอาหมู่ไฮดรอกซิล
(hydroxyl
-OH) ออกจากโมเลกุลพร้อมกับอะตอม
H
อีกอะตอมหนึ่งในรูปของโมเลกุลน้ำ
ปฏิกิริยานี้อาศัยกรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
ถ้าอะตอม H
อีกอะตอมที่ถูกกำจัดออกมานั้นมาจากอะตอม
C
ที่อยู่ข้าง
ๆ อะตอม C
ที่มีหมู่
-OH
เกาะ
ผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็คือพันธะคู่
C=C
แต่ถ้าอะตอม
H
อีกอะตอมที่ถูกดึงออกมานั้นมาจากหมู่
-OH
อีกหมู่หนึ่ง
โครงสร้างที่จะได้ก็คืออีเทอร์
R-O-R
ส่วนจะให้ได้ผลิตภัณฑ์อะไรนั้นก็อาศัยการควบคุมอุณหภูมิ
เช่นในกรณีของเอทานอลถ้าใช้กรดกำมะถัน
(H2SO4)
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
ที่อุณหภูมิทำปฏิกิริยาประมาณ
140ºC
จะได้ผลิตภัณฑ์หลักเป็นไดเอทิลอีเทอร์
แต่ถ้าเพิ่มอุณหภูมิทำปฏิกิริยาเป็นประมาณ
180ºC
จะได้เอทิลีนเป็นผลิตภัณฑ์หลักแทน
ทีนี้สมมุติว่าถ้าต้องการเปลี่ยนเอทานอลจำนวนมากให้กลายเป็นเอทิลีนหรือไดเอทิลอีเทอร์
คุณพอจะมองเห็นปัญหาของการทำปฏิกิริยาดังกล่าวไหมครับ
ถ้าคุณมองเห็น
คุณก็สามารถเป็นวิศวกรเคมีได้ครับ
รูปที่
๑ ปฏิกิริยาการกำจัดหมู่
-OH
ออกมาในรูปของโมเลกุลน้ำ
ที่อุณหภูมิต่ำจะได้อีเทอร์เป็นผลิตภัณฑ์หลัก
แต่ถ้าใช้อุณหภูมิสูงพอจะได้พันธะคู่
C=C
เป็นผลิตภัณฑ์หลัก
อย่างแรกเลย
ณ อุณหภูมิทำปฏิกิริยา
เอทานอลมีสถานะเป็นแก๊ส
ในขณะที่กรดกำมะถันยังเป็นของเหลวอยู่
แล้วคุณจะผสมมันเข้าด้วยกันอย่างไร
ตรงนี้ก็อาจมองได้ว่าก็ใช้วิธีการแบบให้ออกซิเจนในตู้ปลาไง
ก็ใช้การผ่านไอเอทานอลลงไปในกรดกำมะถัน
ก็จะได้ผลิตภัณฑ์หลุดลอยออกมา
แต่การทำแบบนี้มันก็ก่อให้เกิดปัญหาอีกอย่างหนึ่งตามมาก็คือ
เราไม่สามารถควบคุมอัตราการลอยขึ้นของฟองแก๊สในเฟสของเหลวได้
(แม้ว่าเราสามารถควบคุมอัตราการไหลเข้าได้ก็ตาม)
ทำให้เวลาการสัมผัสเพื่อทำปฏิกิริยานั้นมีจำกัด
แก๊สที่ลอยออกมานั้นจะประกอบไปด้วยทั้งผลิตภัณฑ์และสารตั้งต้นที่หลงเหลือ
ทำให้ต้องหาการแยกเอาผลิตภัณฑ์และสารตั้งต้นที่หลงเหลืออยู่ออกจากกันอีก
อย่างที่สองคือวัสดุที่จะใช้ทำอุปกรณ์ที่ต้องสามารถทนต่อการกัดกร่อนของกรดและอุณหภูมิที่สูงได้
ในระดับห้องปฏิบัติการนั้นการใช้เครื่องแก้วไม่มีปัญหา
แต่ถ้าจะขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นการใช้เครื่องแก้วคงไม่เหมาะสมแน่
เพราะแก้วนั้นไม่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว
(ที่เรียกว่า
thermal
shock) ไม่ทนต่อการสั่นสะเทือน
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้แตกร้าวได้ง่ายขึ้น
และนี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำของแข็งที่พื้นผิวมีคุณสมบัติเป็น
"กรด"
มาใช้แทนกรดที่เป็นของเหลว
เพราะเราสามารถใช้ภาชนะบรรจุที่ทำจากโลหะได้
และยังสามารควบคุมระยะเวลาการสัมผัสในการทำฏิกิริยาด้วยการควบคุมอัตราการไหลของแก๊สและระยะทางที่แก๊สต้องไหล่ผ่านของแข็งที่พื้นผิวมีคุณสมบัติเป็นกรดนั้น
พื้นผิวของแข็งนั้นสามารถมีหมู่ฟังก์ชันที่ทำหน้าที่เป็นกรดได้
๒ รูปแบบ รูปแบบแรกคือหมู่ไฮดรอกซิล
(hydroxyl
-OH) ที่ทำหน้าที่เป็นกรด
Brönsted
โดยจ่ายโปรตอน
H+
ออกมา
(ตรงนี้อย่าไปสับสนกับไอออนไฮดรอกไดซ์
(hydroxide
หรือ
OH-
นะครับ)
รูปแบบที่สองคือไอออนบวกของโลหะ
(ปรกติก็จะเป็นโลหะทรานซิชัน
เพราะมีความหนาแน่นประจุสูง)
ที่ทำหน้าที่เป็นกรด
Lewis
ส่วนที่ว่าจะมีกรดแบบไหนมากน้อยกว่ากันนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของของแข็งและสภาพแวดล้อมที่ทำปฏิกิริยา
(เช่นอุณหภูมิและมีโมเลกุลน้ำอยู่มากน้อยเท่าใด)
เมื่อเราต้องการนำเอาของแข็งที่พื้นผิวมีคุณสมบัติเป็นกรดมาใช้
สิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับความเป็นกรดนั้นก็มีอยู่ด้วยกัน
๓ ข้อคือ
(๑)
ปริมาณ
หรือจำนวนตำแหน่งที่มีฤทธิ์เป็นกรด
ถ้าเปรียบเทียบกับกรดที่เป็นสารละลาย
ค่านี้ก็เปรียบเสมือนความเข้มข้นของกรด
ว่ามากหรือน้อย
การหาปริมาณนี้ทำได้ด้วยการดูความสามารถของของแข็งนั้นในการสะเทินเบส
หรือดูดซับเบสเอาไว้
(๒)
ความแรง
(strength)
หรือความอ่อนแก่ของกรด
คุณสมบัตินี้แตกต่างไปจากกรดที่เป็นสารละลายตรงที่
ในกรณีของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งนั้น
มันไม่มีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างกรดอ่อนกรดแก่
(โดยเฉพาะกรณีของกรดแบบ
Lewis)
ในกรณีของกรดที่เป็นสารละลายในน้ำนั้น
ถ้ากรดตัวไหนแตกตัวได้ 100%
เราก็บอกว่าเป็นกรดแก่
แต่ถ้าตัวไหนแตกตัวได้ไม่ถึง
100%
ก็ถือว่าเป็นกรดอ่อน
ส่วนจะเป็นกรดอ่อนมากแค่ไหนก็ดูจากปริมาณที่แตกตัวได้
ยิ่งแตกตัวได้น้อยก็ยิ่งเป็นกรดที่อ่อนมาก
แต่ในกรณีของกรดบนพื้นผิวของแข็ง
บ่อยครั้งที่มันทำปฏิกิริยาในสถานะแก๊ส
ในกรณีของหมู่ -OH
นั้น
ถ้าไม่มีสารใดมารับโปรตอน
มันก็ไม่มีการแตกตัว
ยิ่งเป็นกรณีของกรด Lewis
การใช้การแตกตัวเป็นตัวแบ่งความแรงนั้นใช้ไม่ได้
เพราะกรด Lewis
ไม่มีการแตกตัว
วิธีการที่นิยมใช้กันในปัจจุบันในการวัดความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งคือ
การให้ของแข็งนั้นดูดซับแก๊สที่เป็นเบสที่อุณหภูมิต่ำ
จากนั้นเพิ่มอุณหภูมิให้กับของแข็งนั้นเพื่อให้มันคายเบสที่ดูดซับเอาไว้ออกมา
โดยกรดที่มีความแรงสูงจะคายเบสออกมาที่อุณหภูมิที่สูงกว่ากรดที่มีความแรงต่ำกว่า
(๓)
ชนิด
(Type)
คือเป็นกรดชนิด
Brönsted
หรือ
Lewis
ตรงนี้มีความสำคัญในบางปฏิกิริยา
ที่ปฏิกิริยาที่ต้องการนั้นจะเกิดได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับชนิดของกรด
เพราะกรดที่ต่างชนิดกันทำให้เกิดสารมัธยันต์
(intermediate)
ที่แตกต่างกับ
และนำไปสู่การเกิดปฏิกิริยาในขั้นต่อไปที่แตกต่างกันได้
คุณสมบัติข้อดีเป็นตัวที่วัดยากสุด
วิธีการหลักที่ใช้กันในปัจจุบันคือ
การให้พื้นผิวนั้นดูดซับแก๊สที่เป็นเบส
แล้วตรวจวัดรูปแบบการสั่นของโมเลกุลเบสที่ถูกกรดจับเอาไว้ด้วยเทคนิคด้านอินฟราเรด
โดยคาดหวังให้เบสที่จับกับกรดชนิด
Brönsted
หรือ
Lewis
นั้นมีรูปแบบการสั่นที่แตกต่างกันและแตกต่างไปจากเบสที่ไม่ทำปฏิกิริยากับกรด
และหัวข้อนี้จะเป็นเรื่องหลักของบทความชุดนี้
เมื่อช่วงประมาณเดือนตุลาคมปีพ.ศ.
๒๕๓๙
(ค.ศ.
๑๙๙๖)
ผมมีโอกาสได้ไปเรียนรู้การออกแบบเครื่องมือและเทคนิคการวิเคราะห์การดูดซับโมเลกุลบนพื้นผิวของแข็งด้วยการวัดการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด
ที่ Tokyo
Institute of Technology (TIT) ที่ห้องปฏิบัติการของ
Prof.
Kenichi Aika เพื่อกลับมาสร้างเครื่องมือดังกล่าวที่ห้องปฏิบัติการในไทย
(ขณะนี้เครื่องนี้ก็ยังคงอยู่
แต่ดูเหมือนไม่ค่อยมีใครอยากจะใช้เท่าไรนัก)
เทคนิคนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้วัดว่าในระหว่างการเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวของแข็งนั้น
โมเลกุลสารตั้งต้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
และยังสามารถนำมาใช้จำแนกประเภทของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งได้
ด้วยการวัดรูปแบบการสั่นของโมเลกุลเบสที่พื้นผิวดูดซับเอาไว้
อันที่จริงเทคนิคนี้ก็ไม่ได้มีหลักการวุ่นวายอะไร
ขั้นตอนที่ยากสุดน่าจะเป็นการเตรียมตัวอย่าง
ที่จะว่าไปแล้วมันเป็นงานศิลปมากกว่างานศาสตร์
คือต้องลงมือฝึกเตรียมเอง
เรื่องที่นำมาเขียนในบทความชุดนี้จะอิงมาจากบทความเรื่อง
"Infrared
studies of the surface acidity of oxides and zeolites using adsorbed
probe molecules" โดย
Lercher
และคณะ
(รูปที่
๒)
โดยจะนำเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกชนิดโมเลกุลที่จะใช้เป็น
probe
molecule (คือตัวที่จะให้พื้นผิวดูดซับเอาไว้)
มาขยายความ
รูปที่
๒ บทความที่นำมาเป็นต้นเรื่องในการเขียน
Memoir
ชุดนี้
แม้ว่าบทความนี้จะมีการทบทวนวรรณกรรมที่ดี
แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกัน
ที่จะแสดงให้เห็นถึงในตอนต่อไป
(คืออย่าคิดว่าบทความที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารที่มี
Impact
factor สูงจะไม่มีการมั่ว
และ reviewer
นั้นมีการตรวจสอบกันอย่างเข้มงวด)
โดยหลักการแล้วสิ่งสำคัญสิ่งแรกในการเลือก
probe
molecule คือโมเลกุลนั้นต้องมี
"เสถียรภาพตลอดช่วงอุณหภูมิที่ทำการวิเคราะห์"
ไม่ควรเกิดปฏิกิริยาการสลายตัวหรือทำปฏิกิริยาระหว่างกันเอง
(เช่นรวมตัวเป็นโมเลกุลใหญ่ขึ้น)
หรือไปทำให้พื้นผิวของแข็งเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
(เช่นไปรีดิวซ์พื้นผิวของแข็งด้วยการดึงเอาไอออนออกซิเจนออก)
นอกจากนี้บทความดังกล่าวยังให้เกณฑ์ในการพิจารณาเลือกตัว
probe
molecule เพิ่มเติมไว้อีก
๔ ข้อด้วยกัน
โดยในวันนี้จะขอเล่าเฉพาะเกณฑ์ข้อแรกก่อนคือ
"probe
molecule ควรมีความเป็นเบสที่เด่นชัด
และมีคุณสมบัติความเป็นกรดที่อ่อน"
ตรงเกณฑ์ข้อแรกนี้
ขอย้อนกลับไปยังวิชาเคมีอินทรีย์นิดนึง
ถ้าถามว่าหมู่ไฮดรอกซิล
-OH
ที่อยู่ในโครงสร้างของแอลกอฮอล์
กับหมู่คาร์บอกซิล (carboxyl)
-COOH ที่อยู่ในโครงสร้างของกรดอินทรีย์
มีฤทธิ์เป็นกรดหรือเป็นเบส
คุณจะตอบว่าอย่างไร
ในตำราบทแอลกอฮอล์จะบอกว่าหมู่
-OH
นั้นเป็นกรดที่อ่อนมาก
มันจะแสดงฤทธิ์เป็นเบสก็ต่อเมื่อเจอกับเบสที่แรงมาก
เช่นโลหะ Na
หรือสารละลายเบสความเข้มข้นสูง
(เช่นสารละลาย
NaOH
เข้มข้นหลายสิบ
wt%)
และในทำนองเดียวกันในบทกรดอินทรีย์
ตำราก็จะบอกว่าหมู่ -COOH
นั้นมีฤทธิ์เป็นกรด
Brönsted
โดยจะแตกตัวให้
H+
ออกมา
แต่ในความเป็นจริงนั้นทั้งหมู่
-OH
และ
-COOH
ก็แสดงฤทธิ์เป็นเบสได้ถ้าหากมันเจอกับกรดที่แรงกว่ามัน
ตำแหน่งที่แสดงฤทธิ์เป็นเบสก็คืออะตอม
O
ที่มีอิเล็กตรอนคู่โดยเดี่ยวโดยแสดงฤทธิ์เป็นกรด
Lewis
(ในกรณีของหมู่
-COOH
อะตอม
O
ของโครงสร้าง
C=O
จะแสดงฤทธิ์เป็นเบสที่เด่นกว่าอะตอม
O
ของโครงสร้าง
C-OH)
ซึ่งอันที่จริงเรื่องนี้ในตำราเคมีอินทรีย์ก็มักจะแสดงไว้
เพียงแต่ไม่ระบุออกมาโดยตรง
ในกรณีของแอลกฮออล์จะเห็นได้ในกลไกการเปิดปฏิกิริยา
dehydration
ที่อะตอม
O
ของหมู่
-OH
จะรับ
H+
จากกรดแก่
ส่วนในกรณีของกรดอินทรีย์ก็จะเห็นได้ในกลไกการเปิดปฏิกิริยา
esterification
ที่อะตอม
O
ของหมู่
C=O
จะรับ
H+
จากกรดแก่เช่นกัน
ดังนั้นจะว่าไปแล้วถ้าในโมเลกุลสารอินทรีย์นั้นมีตำแหน่งที่มีอิเล็กตรอนหนาแน่น
(เช่นพันธะคู่
C=C
วงแหวนอะโรมาติก
หรืออิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเช่นอะตอม
O,
N หรือ
S)
ตำแหน่งนั้นก็อาจแสดงฤทธิ์เป็นกรด
Lewis
ได้)
ถ้าพบกับกรดที่มีความแรงมากพอ
ถ้าว่ากันตามเกณฑ์ข้อแรกนี้แอมโมเนียNH3
น่าจะเป็นตัวที่เข้ากับเกณฑ์มากตัวหนึ่ง
เพราะมันมีฤทธิ์เป็นเบสที่โดดเด่นตรงอะตอม
N
ที่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
(คือเป็นเบส
Lewis)
และมีฤทธิ์เป็นกรดที่อ่อนมาก
ๆ (ปฏิกิริยา
NH3
แตกตัวเป็น
NH2+
+ H+ มีค่าคงที่การแตกตัวที่ต่ำมาก
ๆ โดยมีค่า pKa
อยู่ในช่วงประมาณ
10.1-8.54
ในช่วงอุณหภูมิ
0-50ºC
- รูปที่
๓)
แต่ต้องไม่ลืมนะครับว่า
อะตอม H
ของหมู่ไฮดรอกซิล
-OH
บนพื้นผิวนั้นแม้ว่าจะแสดงฤทธิ์โดยเป็นกรด
แต่อะตอม O
ก็อาจแสดงฤทธิ์เป็นเบส
Lewis
ได้เช่นกัน
และในทำนองเดียวกันในกรณีของสารประกอบโลหะออกไซด์ที่ไอออนบวกของโลหะนั้นจะแสดงฤทธิ์เป็นกรด
Lewis
ไอออนลบ
O2-
ก็มีสิทธิ์แสดงฤทธิ์เป็นเบสลิวอิสได้เช่นกัน
อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องคำนึงคือ
สารที่อยู่ในของเหลวกับในสภาพที่เป็นแก๊สนั้น
พฤติกรรมอาจแตกต่างกันแบบตรงข้ามกันได้
ตัวอย่างเช่นในกรณีของหมู่
-OH
ของแอลกอฮอล์
ที่ตำราเคมีอินทรีย์จะบอกว่าความเป็นกรดของหมู่
-OH
จะ
"ลดลง"
ถ้าหมู่อัลคิลนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น
แต่นี่เป็นจริงในกรณีที่แอลกอฮอล์อยู่ในสารละลายที่เป็น
"ของเหลว"
เพราะเมื่อกลายเป็น
"แก๊ส"
เมื่อใดกลับพบว่าลำดับความแรงของความเป็นกรดของหมู่
-OH
จะกลับกัน
กล่าวคือในสถานะแก๊สนั้น
ความเป็นกรดของหมู่ -OH
จะ
"เพิ่มขึ้น"
ถ้าหมู่อัลคิลนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น
เรื่องนี้เคยเล่าไว้ใน
Memoir
ปีที่
๘ ฉบับที่ ๑๑๙๗ วันเสาร์ที่
๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เรื่อง
"ความเป็นกรดของหมู่ไฮดรอกซิล (Hydroxyl group) ตอนที่ ๒"
เบสอินทรีย์ตัวหนึ่งที่นิยมนำมาใช้วิเคราะห์ความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งได้แก่ไพริดีน
(pyridine
C5H5N)
ที่มีจุดเด่นตรงที่ให้สัญญาณการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่เด่นชัดกว่าแอมโมเนีย
(เรื่องนี้จะกลับมาว่ากันอีกทีตอนการจำแนกประเภทว่าเป็นกรด
Brönsted
หรือ
Lewis)
ซึ่งถ้าเทียบกับแอมโมเนียแล้ว
ในสภาพที่เป็นของเหลวนั้นแอมโมเนียมีฤทธิ์เป็นเบสที่แรงกว่าไพริดีน
แต่ในสภาพที่เป็นแก๊ส
ไพริดีนกลับมีฤทธิ์ที่เป็นเบสที่แรงกว่าแอมโมเนีย
รูปที่
๓ ค่า pKa
ของแอมโมเนียในช่วงอุณหภูมิ
0-50ºC
จากหนังสือ
"Ionisation
Constants of Inorganic Acids and Bases in Aqueous Solution" โดย
Perrin,
D. D.
สำหรับบทความแรกของบทความชุดนี้ก็คงจะขอจบลงเพียงแค่นี้ก่อน
ช่วงนี้อาจไม่ได้นำบทความขึ้นหน้า
blog
บ่อยเท่าใดนัก
เพราะเป็นช่วงที่มีการเตรียมการสอนค่อนข้างมากแม้ว่าจะมีสอนเพียงแค่
๒ วิชาต่อสัปดาห์ก็ตาม
เพราะวิชาหนึ่งเป็นวิชาใหม่ที่ต้องเตรียมเอกสารการสอนขึ้นมาใหม่หมด
(เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีการสอนมาก่อนด้วย)
ส่วนอีกวิชาก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนด้วยเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น