ปฏิกิริยาลูกโซ่ของนิวเคลียร์ฟิชชัน
(Fission)
อาศัยหลักการที่ว่าเมื่อนิวเคลียสของธาตุ
(โดยเฉพาะธาตุหนัก)
แตกตัวออกจะมีการปลดปล่อยพลังงานและนิวตรอนออกมามากกว่า
๑ ตัว
และถ้านิวตรอนทุกตัวที่ปลดปล่อยออกมานี้วิ่งเข้าชนนิวเคลียสของอะตอมอื่น
จำนวนนิวเคลียสที่แตกตัวก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ และมีการปลดปล่อยพลังงานออกมามากขึ้นเรื่อย
ๆ
แต่ในความเป็นจริงนั้นจะเรียกว่าในแต่ละอะตอม
นิวเคลียสเป็นเพียงแค่จุดเล็ก
ๆ จุดหนึ่งในอะตอมนั้น
ที่เหลือก็เป็นที่ว่าง
ดังนั้นโอกาสที่นิวตรอนที่หลุดออกมาจากการแตกตัวของอะตอมแรก
(แม้ว่าจะมีหลายตัวก็ตาม)
จะวิ่งเข้าชนนิวเคลียสของอะตอมอื่นจึงมีน้อย
แต่ปัญหานี้ก็แก้ได้ด้วยการมีธาตุดังกล่าวห่อหุ้มนิวเคลียสแรกที่แตกตัวในปริมาณมากพอ
และปริมาณธาตุที่ทำให้มีนิวตรอน
๑
ตัวที่หลุดออกมาจากการแตกตัวของนิวเคลียสตัวแรกพุ่งเข้าชนนิวเคลียสตัวต่อไปทุกครั้งที่มีนิวเคลียสแตกตัวจะเรียกว่า
"มวลวิกฤต
(critical
mass)"
ที่มวลของธาตุที่ระดับมวลวิกฤตนี้เมื่อเริ่มทำให้นิวเคลียสแรกแตกตัว
การแตกตัวที่เกิดตามมาจากนิวตรอนที่นิวเคลียสตัวแรกที่แตกตัวปลดปล่อยออกมา
จะดำเนินไปเรื่อย ๆ
โดยไม่เพิ่มหรือลด
และเรานำความรู้ตรงนี้มาใช้ในการควบคุมปฏิกิริยานิวเคลียร์เพื่อนำความร้อนมาใช้ในการผลิตไอน้ำเพื่อการขับเคลื่อนโรงไฟฟ้า
แต่ถ้าปริมาณของธาตุนั้นสูงกว่า
ระดับมวลวิกฤตนี้
การแตกตัวจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย
ๆ และปลดปล่อยพลังงานปริมาณมากออกมาในเวลาอันนั้น
และเรานำความรู้ตรงนี้มาใช้ในการออกแบบระเบิดนิวเคลียร์
ในการออกแบบระเบิดนิวเคลียร์นั้น
เพื่อความปลอดภัยในการเก็บรักษาอาวุธ
จะทำการแยกมวลของธาตุที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้เป็นชิ้นส่วนที่เล็กกว่ามวลวิกฤต
และเมื่อต้องการจะจุดระเบิดก็จะนำเอามวลที่แยกเป็นชิ้น
ๆ นี้มาประกบรวมเข้าด้วยกันเพื่อให้มวลรวมมีขนาดมากกว่ามวลวิกฤต
ความเร็วในการประกบรวมนี้แตกต่างไปตามชนิดธาตุที่นำมาทำเป็นเชื้อเพลิง
และตรงนี้ส่งผลต่อการออกแบบโครงสร้างระเบิด
รูปที่
๑ Explosive
lens
ที่ใช้ในการสร้างหน้าคลื่นการระเบิดรูปทรงกลมที่หดตัวเข้าหาศูนย์กลาง
(implosion)
เพื่อทำการอัดแกน
Pu-239
เข้าด้วยกัน
(จากหนังสือ
"Explosives,
Propellants & Pyrotechnics" โดย
A.
Bailey และ
S.G.
Murray)
เชื้อเพลิงหลักของระเบิดนิวเคลียร์คือ
U-235
และ
Pu-239
U-235 นั้นไม่ต้องการความเร็วในการประกบรวมที่รวดเร็วเหมือน
Pu-239
(ที่ต้องประกบเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วก่อนที่ตัวมันเองจะเกิดปฏิกิริยา
spontaneous
fission ที่ทำให้ชิ้นแต่ละชิ้นแตกออกเป็นชิ้นเล็ก
ๆ ก่อนที่จะจุดระเบิด)
ระเบิดนิวเคลียร์ที่ทิ้งที่ฮิโรชิมาที่มีชื่อว่า
"Little
boy" นั้นใช้
U-235
เป็นเชื้อเพลิง
โดย U-235
จะถูกแยกออกเป็นสองส่วนอยู่ที่ปลายท่อคนละด้าน
และเมื่อจะทำการจุดระเบิดก็จะใช้แรงระเบิดดันให้ชิ้นที่อยู่ที่ปลายท่อด้านหนึ่งเข้าประกบกับชิ้นที่อยู่ที่ปลายท่ออีกด้านหนึ่ง
การจุดระเบิดแบบนี้เรียกว่า
"Gun
type"
รูปที่
๒ Electric
Initiator With Exploding Bridge Wire ที่ใช้ในระเบิด
"Fat
man" ที่ทิ้งที่นางาซากิ
รูปนี้มาจากสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
3,040,660
หมายเลข
10
ในรูป
(ในกรอบสีแดง)
คือตัวเก็บประจุ
(ที่ภาษาอังกฤษเรียนกว่า
capacitor
หรือ
condenser)
ที่มีบทบาทสำคัญในการจ่ายกระแสไฟฟ้า
ซึ่งต้องจ่ายได้อย่างรวดเร็วและเที่ยงตรง
พึงสังเกตว่าสิทธิบัตรฉบับนี้ยื่นจดเอาไว้ตั้งแต่ปีค.ศ.
๑๙๔๔
ซึ่งช่วงนั้นอยู่ในระหว่างการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์อยู่
แต่เพิ่งจะมาเปิดเผยเอาในปีค.ศ.
๑๙๖๒
หรืออีก ๑๘ ปีต่อมา
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองแล้ว
Pu-239
มีปัญหาในการประกบเข้าด้วยกันมากกว่า
จำเป็นต้องใช้ความเร็วที่สูงกว่าในการประกบชิ้นส่วนย่อยให้กลายเป็นชิ้นส่วนใหญ่ที่มีขนาดเกินมวลวิกฤต
ซึ่งความเร็วขนาดนี้ไม่เหมาะสมที่จะใช้การจุดระเบิดแบบ
Gun
type จำเป็นต้องใช้เทคนิคที่เรียกว่า
"Implosion"
แทน
เทคนิคนี้อาศัยการออกแบบการวางดินระเบิดให้เหมาะสมและจุดระเบิดพร้อม
ๆ กันจากหลายทิศทาง
จะทำให้หน้าคลื่นการระเบิดรวมกันเป็นคลื่นแรงอัดทรงกลมที่หดเล็กลงและกดให้วัสดุที่อยู่ภายในเคลื่อนเข้าหากัน
ด้วยโครงสร้างการจุดระเบิดแบบนี้จึงทำให้ลูกระเบิดมีลักษณะอ้วนกลม
จึงเป็นที่มาของชื่อ "Fat
man"
รูปที่
๑ เป็นภาพแสดงตัวอย่างการออกแบบ
explosive
lens
โดยวัตถุระเบิดแต่ละชิ้นจะประกอบด้วยวัตถุระเบิดที่มีความเร็วในการเผาไหม้สูงและต่ำวางเรียงกันอยู่
เมื่อมีการจุดระเบิดที่ตำแหน่ง
1
(รูปขวาของรูปที่
๑)
ในดินระเบิดที่มีความเร็วในการเผาไหม้สูง
หน้าคลื่นการเผาไหม้จะแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง
แต่เมื่อหน้าคลื่นที่อยู่ตรงหน้าวิ่งเข้ามาถึงดินระเบิดที่มีความเร็วในการเผาไหม้ต่ำ
ความเร็วของการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าก็จะลดลง
โดยหน้าคลื่นที่อยู่ด้านข้างทั้งสองข้างที่ยังคงวิ่งอยู่ในดินระเบิดที่มีความเร็วในการเผาไหม้สูงก็จะวิ่งแซงหน้าขึ้นไป
ทำให้หน้าคลื่นการระเบิดค่อย
ๆ เปลี่ยนรูปร่างจากโค้งนูนออกมาเป็นโค้งเว้าแทน
(จากตำแหน่ง
2
ไป
3)
และหน้าคลื่นที่มาจากการระเบิดแต่ละตำแหน่งจะรวมตัวกันกลายเป็นรูปทรงกลมที่หดตัวเข้าข้างในที่ตำแหน่ง
4
ก่อนอื่นเรามาลองดูความเร็วของหน้าคลื่นการระเบิด
(Detonation
velocity) ของวัตถุระเบิดทางทหารบางตัวกันหน่อย
pentaerythritol
tetranitrate (หรือที่ย่อว่า
PETN)
มีความเร็วที่ระดับ
8400
m/s ส่วน
trimethylenetrinitramine
(หรือที่ย่อว่า
RDX)
ก็มีความเร็วที่ระดับ
8750
m/s หรือถ้าปัดเป็นตัวเลขกลม
ๆ ก็คือในเวลา 10-6
วินาทีจะเคลื่อนที่ได้ระยะทางประมาณ
8.5
มิลลิเมตร
หรือในเวลา 10-9
วินาทีจะเคลื่อนที่ได้ระยะทางประมาณ
0.0085
มิลลิเมตร
มวลวิกฤตของ
U-235
อยู่ที่ประมาณ
52
kg ซึ่งถ้าเป็นทรงกลมก็จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
170
mm ส่วน
Pu-239
มีขนาดมวลวิกฤตที่ประมาณ
10
kg หรือถ้าเป็นทรงกลมก็จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
99
mm ถ้าหากหน้าคลื่นการระเบิดด้านใดด้านหนึ่งนั้นวิ่งเร็วกว่าด้านอื่น
แกน Pu-235
ก็จะถูกผลักให้กระเด็นไปทางด้านที่มีความดันต่ำกว่า
(คือด้านที่หน้าคลื่นการระเบิดยังเคลื่อนที่มาไม่ถึง)
การประกบรวมกันก็จะไม่เกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่หน้าคลื่นการระเบิดต้องเคลื่อนมาถึงแกน
Pu-239
ในเวลาเดียวกัน
หรือการจุดระเบิดดินระเบิดของ
explosive
lens จะต้องเกิดพร้อมกันทุก
ๆ จุด
ความเที่ยงตรงของอุปกรณ์ที่ใช้ในการจุดระเบิดจึงต้องมีความเที่ยงตรงในระดับที่สูงกว่า
10-6
วินาที
(คือความแตกต่างของเวลาการจุดระเบิดของอุปกรณ์จุดระเบิดแต่ละตัวต้องอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า
10-6
วินาที)
และอุปกรณ์ที่ทำงานนี้ได้ก็คือ
"Exploding
Bridge Wire" (รูปที่
๒)
รูปที่
๓ ส่วนหนึ่งของข้อมูลการออกแบบ
Exploding
Bridge Wire ที่กล่าวไว้ในสิทธิบัตร
US
3,040,660
พึงระลึกว่าตัวเลขที่ปรากฏในนี้เป็นตัวเลขในยุคสงครามโลกครั้งที่
๒ ตอนสร้างระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก
อุปกรณ์สำคัญที่ทำให้
Exploding
Bridge Wire มีความแม่นยำในการจุดระเบิดที่สูงคือตัวเก็บประจุ
(ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
capacitor
หรือ
condenser)
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวเก็บประจุที่มีความแม่นยำสูงในการจ่ายไฟฟ้าได้รับการจัดอยู่ในสินค้าควบคุมของกลุ่ม
Nuclear
Supplier Group (NSG) ดังเช่นรายการในรูปที่
๔
ก่อนการบุกคูเวตของอิรัคในเดือนสิงหาคม
พ.ศ.
๒๕๓๓
ทางอังกฤษได้มีการดักจับตัวเก็บประจุที่กำลังจะถูกส่งไปยังประเทศอิรัค
โดยอ้างว่าเป็นการหยุดยั้งความพยายามในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ของอิรัค
แต่หลังจากนั้นไม่นานผู้นำอิรัคในขณะนั้นก็ได้ออกรายการโทรทัศน์พร้อมกับแสดงสิ่งที่บอกว่าเป็นตัวเก็บประจุ
(ที่ใช้ทำอุปกรณ์จุดระเบิดนิวเคลียร์)
อยู่ในมือ
ทำนองว่าการดักจับของอังกฤษนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร
รูปที่
๔ รายละเอียดบางส่วนของรายการ
3A201
ตัวเลข
3
คือส่วนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
อักษร A
หมายถึงระบบ
อุปกรณ์ หรือชิ้นส่วน เลข
2
ตัวถัดมาหมายถึงเป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทางที่มีที่มาจากรายการของ
Nuclear
Supplier Group (NSG) ส่วนเลข
01
คือลำดับรายการ
และรายการนี้ยังมีการแยกออกเป็นข้อย่อยอีก
3
ข้อคือ
a.
b. และ
c.
อีก
อย่างเช่นในรูปที่ยกมาก็ถือว่าเป็นรายการ
3A201.a
เรื่องต่าง
ๆ
ที่เล่ามาข้างต้นความรู้ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากเพื่อนร่วมห้องทำงานชาวชิลีที่เขามีอาชีพเป็นทหาร
แต่ลามาเรียนต่อปริญญาเอกที่อังกฤษด้านการสกัดไอออนโลหะหนักออกจากน้ำทิ้งเขาบรรยายให้ฟัง
เพราะตอนที่เกิดเหตุการณ์ทางศุลกากรอังกฤษตรวจยึดตัวเก็บประจุที่กำลังจะส่งออกไปนั้น
ผมก็กำลังเรียนระดับปริญญาโทอยู่ที่นั่นพอดี
รูปที่
๕ ตัวอย่างชุดตัวเก็บประจุขนาดเล็กจำนวน
3
ตัวที่ต่อรวมกันเป็นตัวเก็บประจุขนาดใหญ่จำนวน
1
ตัว
ที่ทางวิทยากรของ Mitsubishi
electric
ยกมาเป็นตัวอย่างการบรรยายการพิจารณาสินค้าว่าเข้าข่ายถูกควบคุมหรือไม่
คือภาพรวมสินค้าทั้งชุดไม่เป็นสินค้าควบคุม
แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ตัวเก็บประจุที่นำมาต่อกันนั้นเป็นสินค้าควบคุมหรือไม่
ในตอนที่
๓ ของบทความชุดนี้ (ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๒)
ผมได้ขึ้นต้นด้วยคำถามที่ผมถามทางเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเกี่ยวกับการทำให้สารเคมีที่เป็นสินค้าควบคุมให้กลายเป็นสินค้าไม่ควบคุมด้วยการผสมสารปนเปื้อน
แต่ทางผู้รับสามารถแยกสารปนเปื้อนดังกล่าวออกได้ง่ายเพื่อทำให้สินค้าที่ได้รับไปนั้นกลับกลายมาเป็นสินค้าควบคุมได้ดังเดิม
ว่าจะพิจารณาอย่างไร
และในบ่ายวันเดียวกันนั้นเองทางเจ้าหน้าที่ของบริษัท
Mitsubishi
Electric ที่มาเป็นวิทยากรบรรยายก็ได้ยกตัวอย่างในทำนองเดียวกันขึ้นมา
คือกรณีของ "ตัวเก็บประจุ"
(รูปที่
๕)
รูปที่
๖ การพิจารณาการเข้าข่ายสินค้าของตัวเก็บประจุ
เมื่อพิจารณาอุปกรณ์ทั้งชุดตามหมวด
3A001.e.2
แต่ยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า
สามารถทำการดัดแปลงชิ้นส่วนบางชิ้นส่วนเพื่อให้สินค้านั้นกลับกลายเป็นสินค้าที่อยู่ในข่ายถูกควบคุมได้หรือไม่
(รูปที่
๘)
เช่นเริ่มแรกนั้นอาจใช้สายไฟที่ยาวเชื่อมต่อระหว่างตัวเก็บประจุแต่ละตัว
ทำให้ค่า inductance
ภายในนั้นสูงเกินกว่าข้อกำหนด
แต่ทางผู้รับสินค้าไปสามารถเปลี่ยนสายไฟเส้นดังกล่าวให้สั้นลงได้ง่ายเพื่อลดค่า
inductance
ภายใน
(แบบเดียวกับคำถามที่ผมถามเขาเรื่องปนเปื้อนสารเคมีที่แยกออกได้ง่ายเพื่อให้มันไม่เข้าเกณฑ์)
หรือทางผู้รับสินค้าสามารถถอดเอาตัวเก็บประจุภายในแต่ละตัวออกไปใช้งานอื่นได้
ซึ่งถ้าหากเข้าเกณฑ์ทำนองนี้ก็ต้องถือว่าสินค้านั้น
แม้ว่าภาพรวมจะไม่เป็นไปตามข้อหนดที่ต้องถูกควบคุม
ก็จำเป็นต้องตรวจตัวเก็บประจุที่นำมาต่อกันภายในนั้นว่าเป็นสินค้าที่ต้องถูกควบคุมด้วยหรือไม่
ถ้าพบว่าตัวเก็บประจุที่นำมาต่อกันนั้นมีคุณสมบัติไม่เข้าข่ายถูกควบคุม
ตัวชุดตัวเก็บประจุก็จะไม่เป็นสินค้าควบคุม
แต่ถ้าพบว่าตัวเก็บประจุที่นำมาต่อกันนั้นมีคุณสมบัติเป็นสินค้าเข้าข่ายถูกควบคุม
ตัวชุดตัวเก็บประจุก็ต้องเป็นสินค้าที่ต้องถูกควบคุมไปด้วย
แม้ว่าคุณสมบัติโดยภาพรวมจะไม่เข้าข่ายก็ตาม
รูปที่
๗ การพิจารณาการเข้าข่ายสินค้าของตัวเก็บประจุ
เมื่อพิจารณาอุปกรณ์ทั้งชุดตามหมวด
3A201.a
รูปที่
๘ หมายเหตุที่แจ้งให้ต้องวินิจฉัยเพิ่มเติมว่า
สามารถถอดแยกส่วนประกอบข้างในออกมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้หรือไม่
และสัดส่วนมูลค่าของชิ้นส่วนประกอบนั้นมีมูลค่าสูงหรือไม่เมื่อเทียบกับสินค้าทั้งชิ้น
ซึ่งในกรณีนี้พบว่าสามารถปลดสายไฟเพื่อนำเอาตัวเก็บประจุแต่ละชิ้นภายในไปใช้งานอย่างอื่นได้
และราคาของตัวเก็บประจุนั้นมีสัดส่วนที่สูง
รูปที่
๙
ผลการวินิจฉัยพบว่าตัวเก็บประจุที่ติดตั้งอยู่ภายในเข้าข่ายหมวดสินค้าที่ต้องควบคุม
ดังนั้นในกรณีนี้ตัวชุดตัวเก็บประจุจึงกลายเป็นสินค้าที่ต้องถูกควบคุมตามไปด้วย
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นปัญหาในการวินิจฉัยตรงที่ว่า
ถ้าหากบริษัทผู้ผลิตไม่ให้รายละเอียดของสินค้าว่าชิ้นส่วนประกอบภายในนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง
ประกอบเข้าด้วยกันอย่างไร
และทำการซุกซ่อนอุปกรณ์ที่ต้องได้รับการควบคุมไว้ภายในในฐานะเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสินค้าทั้งชิ้น
ก็ยากที่บุคคลอื่นจะรู้ได้ว่าสินค้านั้นควรต้องถูกควบคุม
ในกรณีของสารเคมีก็เช่นกัน
สิ่งที่เรารู้จักจะเป็นความบริสุทธิ์ของสาร
ส่วนที่ว่าสิ่งปนเปื้อนประกอบด้วยอะไรบ้างนั้นและเป็นจริงตามที่ฉลากกล่าวไว้หรือไม่นั้น
เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์
อันนี้ยังไม่นับรวมถึงเรื่องที่ว่า
การแยกเอาสิ่งปนเปื้อนที่มีอยู่นั้นออกจากตัวสารเคมีหลักได้ง่ายหรือยากด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น