เรื่องมันเริ่มจากเมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่แล้วมีอีเมล์มาปรึกษาเรื่องการแยกพีคไนโตรเจนกับออกซิเจน
โดยเขาบอกว่าก่อนหน้านี้มันก็พอจะแยกกันได้บ้างแม้ว่าจะมีการเหลื่อมซ้อนกันอยู่
แต่อยู่ดี ๆ มันก็ไม่แยกเอาซะดื้อ
ๆ โดยพีคออกมาเร็วขึ้น
ตอนที่เขาอีเมล์มาถามนั้นผมก็ตอบกลับไปว่าอยากเห็นโครมาโทแกรมหน่อยว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร
และก็บอกให้แวะมาคุยที่ห้องทำงานผมก็ได้เพราะตึกก็อยู่ใกล้
ๆ กัน
ตรงที่ผมบอกว่าให้แวะมาคุยกันที่ห้องทำงานก็ได้เพราะตึกก็อยู่ใกล้
ๆ กัน
ดูเหมือนจะทำเอาเขางงไปเหมือนกันว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นใคร
อยู่ที่ไหน วันที่เขาแวะมาหาเขาก็ถามผมเรื่องนี้
ผมก็เลยบอกเขาไปว่าก็เอาอีเมล์ของคุณใส่ลงไปใน
google
แล้วมันก็ขึ้นมาว่าคุณเคยไปโพสอะไรไว้ที่ไหนบ้าง
หรือใช้อีเมล์นี้เปิด
facebook
หรือไม่
ก่อนหน้านี้ผมได้ตอบเขาไปว่าไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นคู่หนึ่งที่แยกยาก
เพราะขนาดโมเลกุลใกล้กันและจุดเดือดก็ใกล้กัน
คอลัมน์บางชนิดแยก "อากาศ"
ออกจากแก๊สตัวอื่น
เช่น CO
CO2 และ
Ar
ได้
แต่ไม่แยก N2
และ
O2
ที่เคยเห็นในแคตตาล็อกขายคอลัมน์
GC
บางคอลัมน์ที่เขาบอกว่าแยกได้นั้นจะกระทำที่อุณหภูมิไม่สูง
เช่นประมาณ 20
หรือ
25ºC
ซึ่งในบ้านเราแล้วอุณหภูมินี้มันต่ำกว่าอุณหภูมิห้องอีก
ถ้าจะนำเอาคอลัมน์แบบนี้มาใช้ก็ต้องเพิ่มความยาวให้มากกว่าที่เขาระบุไว้ในแคตตาล็อก
หรือไม่ก็หาทางทำให้เครื่อง
GC
นั้นทำให้คอลัมน์มีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิห้องให้ได้
คอลัมน์ที่เขาใช้คือ
micropacked
13X Molecular sieve 80/100 2m 1.00 I.D. วิเคราะห์ที่
28ºC
ซึ่งตรงนี้เขาบอกว่าเขาทำแลปในห้องแอร์ที่แอร์เย็น
เครื่อง GC
ก็เลยทำงานที่อุณหภูมินี้ได้
อีกอันหนึ่งที่แนะนำเขาไปคือให้ลองปรับ
carrier
gas flow rate ให้ต่ำลง
แต่ถ้าทำแบบนี้กับ TCD
ก็ต้องไปทำ
calibration
curve ใหม่ด้วย
หลังจากพบกันแล้วเขาก็ไปทดลองปรับอัตราการไหลของ
carrier
gas ให้ลดลง
ซึ่งก็ทำให้เวลาที่พีคออกมานั้นออกมาที่เวลาเดิมก่อนมีปัญหา
แต่ก็ยังมีการเหลื่อมซ้อนกันอยู่ดี
จนกระทั่งวันศุกร์ที่แล้วก็ได้ส่งรูปพีคและไฟล์
.txt
และ
.csv
มาให้
ผมเห็นรูปพีคของเขาแล้ว
(ดูรูปที่
๑)
ก็เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากในการใช้โปรแกรม
fityk
ในการแยกพีค
(ถ้าใช้โปรแกรมเป็นแล้วนะ)
พีคทั้งสองนั้นวางตัวอยู่บน
base
line ที่ค่อนข้างจะวางตัวราบ
(แทบไม่มีการเฉียงขึ้นหรือลง)
ไม่มีการปรากฏของพีคอื่นข้างเคียง
ก็เลยเอาข้อมูลของเขามาทำการแยกพีคด้วยโปรแกรม
fityk
เล่นดู
อันที่จริงวิธีการทำ
peak
fitting นั้นทำได้หลายรูปแบบ
ในกรณีที่พีคออกมาค่อนข้างจะชัดเจนนั้นเราสามารถให้โปรแกรมทำการเติมฟังก์ชันลงไปที่แต่ละพีคและทำ
peak
fitting ได้เลย
แต่ในกรณีที่พีคมีการเหลื่อมซ้อนกันนั้น
เท่าที่พบนั้นบางครั้งเราก็สามารถให้โปรแกรมทำการวางตำแหน่งพีคสำหรับพีคย่อยแต่ละพีคลงไปก่อน
แล้วค่อยทำ peak
fitting ทีเดียว
แต่บ่อยครั้งเหมือนกัน
โดยเฉพาะกรณีที่พีคเล็กมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดอยู่บนหางพีคใหญ่หรือซ้อนกับพีคใหญ่อยู่มาก
จำเป็นต้องทำ peak
fitting ทีละพีค
โดยเลือกเอาเฉพาะข้อมูลส่วนที่คิดว่าเป็นของพีคใดพีคหนึ่งเท่านั้นมาทำ
peak
fitting ก่อน
จากนั้นจึงทำการตรึงพีคที่ได้
แล้วจึงทำ peak
fitting ส่วนที่เหลือ
จากข้อมูลที่เขาให้ผมมาในรูปที่
๑ นั้น ผมลองทำการเติมพีคและทำ
peak
fitting โดยตรงโดยไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับข้อมูลเดิมก็พบว่ามันทำได้
แต่ที่จะเอามาเล่าให้ฟังในบันทึกนี้ผมจะใช้วิธีแยกทำ
peak
fitting ทีละพีค
เนื่องจากผมไม่ต้องการย่อรูปให้เล็กลง
ดังนั้นคำบรรยายรูปจะแยกออกจากรูปแต่ละรูป
รูปที่
๑ เป็นไฟล์ข้อมูลที่ผมได้รับมาในรูปไฟล์
.csv
และนำมาเปิดด้วยโปรแกรม
fityk
ลักษณะเป็นพีคเล็กนำหน้าพีคใหญ่
โดยส่วนหางของพีคเล็กนั้นซ้อนทับอยู่กับส่วนหน้าของพีคใหญ่
รูปที่
๑ โครมาโทแกรมที่ได้รับมา
เมื่อเปิดด้วยโปรแกรม fityk
รูปที่
๒ เป็นภาพขยายบริเวณส่วนฐานของพีค
จะเห็นว่าในความเป็นจริงเส้น
base
line มีการเคลื่อนตัวไต่ขึ้นอย่างช้า
ๆ โดยข้อมูลส่วนหน้านั้นติดลบเล็กน้อย
ส่วนข้อมูลส่วนหลังนั้นมีค่าเป็นบวก
เนื่องจากฟังก์ชันที่เราใช้ในการทำ
peak
fitting นั้นเป็นฟังก์ชันที่มีค่าเป็นบวกเสมอ
(เรามักใช้ฟังก์ชันที่โปรแกรม
fityk
เรียกว่า
"SplitGaussian"
ซึ่งเป็นฟังก์ชัน
Gaussian
ที่ไม่สมมาตรนั่นเอง)
ถ้าหากข้อมูลที่นำมาทำ
peak
fitting นั้นมีค่าติดลบ
จะทำให้โปรแกรมทำการเติมพีคที่
"กลับหัว"
เข้าไป
วิธีการป้องกันคือทำการ
"ยก"
ข้อมูลในมีค่าเป็นบวกทั้งหมดก่อน
แต่ในขณะเดียวกันนั้นฟังก์ชันที่เราใช้นั้นจะลู่เข้าหาศูนย์
แต่ไม่ตัดกัน x
ดังนั้นการตัด
base
line จึงควรให้บริเวณที่ใกล้กับฐานของพีคนั้นมากกว่าศูนย์เล็กน้อย
แต่อย่ามากเกินไป
เพราะจะทำให้โปรแกรมทำการเติมพีคที่มีความสูงน้อย
แต่ความกว้างมากเข้ามา
พีคนี้จะเป็นพีคตัวแทนของเส้น
base
line
ในรูปที่
๒ ผมจึงตัดโดยตามแนวเส้นสีแดงที่แสดงในรูป
(ใช้ปุ่มวางเส้น
base
line ในการวางแนวเส้น
base
line)
รูปที่
๒ ภาพขยายโครมาโทแกรมในรูปที่
๑ บริเวณเส้น base
line และแนวการตัดเส้น
base
line (เส้นสีแดง)
รูปที่
๓ เป็นรูปหลังจากตัดเส้น
base
line แล้ว
รูปนี้เป็นการเลือกจุดข้อมูลที่คาดว่าเป็นเฉพาะของพีคแรกเท่านั้น
โดยการกดปุ่มที่ลูกศร (1)
ชี้
จากนั้นใช้เมาส์กำหนดจุด
การทำให้จุดข้อมูลที่ไม่ต้องการเป็นจุด
inactive
ทำโดยการกดปุ่มด้านขวาของเมาส์ค้างไว้แล้วลากเมาส์ไปตามจุดข้อมูลเหล่านั้น
จุดข้อมูลที่เป็น inactive
จะกลายเป็นจุดสีเทา
ในที่นี้ผมทำให้จุดข้อมูลช่วงเวลาประมาณก่อน
2.00
นาทีและหลัง
2.75
นาทีเป็นจุดที่
inactive
จุดก่อนเวลา
2.00
นาทีเป็นช่วงที่ยังไม่มีพีคปรากฏ
ส่วนช่วงเวลาถัดจ่าก 2.75
นาทีนั้นเป็นจุดข้อมูลที่เป็นผลรวมระหว่างส่วนท้ายของพีคเล็กและส่วนหน้าของพีคใหญ่
ในขณะที่จุดข้อมูลในช่วงเวลา
2.00
- 2.75 นาทีนั้นประมาณว่าเป็นของพีคเล็กเท่านั้น
รูปที่
๓ การเลือกจุดข้อมูลที่คาดว่าเป็นของเฉพาะพีคแรก
(ในกรอบสีแดง)
เพื่อทำการสร้างพีคแรกขึ้นมาก่อน
รูปที่
๔ เป็นการทำ peak
fitting ของพีคแรก
โดยเลือกฟังก์ชันที่นำมาใช้ในการทำ
peak
fitting จากช่องตรงลูกศร
1
ชี้
การเลือกฟังก์ชันนั้นต้องเหมาะสมกับชนิดของพีค
ในกรณีของโครมโทแกรมนั้นเนื่องจากพีคมักจะไม่สมมาตร
จึงเลือกใช้ฟังก์ชันที่โปรแกรม
fityk
เรียกว่า
SplitGaussian
ซึ่งอันทีจริงก็คือฟังก์ชัน
Gaussian
นั่นเอง
แต่เป็นฟังก์ชันที่มีความกว้างด้านซ้ายและด้านขวาแตกต่างกัน
(ถ้าเท่ากันมันก็จะเป็นฟังก์ชัน
Gaussian)
จากนั้นก็ให้โปรแกรมวางตำแหน่งพีคให้ด้วยการกดที่
icon
ที่ลูกศร
2
ชี้
ถ้าพบว่าตำแหน่งและ/หรือรูปร่างพีคที่โปรแกรมวางให้นั้นไม่ถูกใจเรา
เรายังสามารถปรับแต่งรูปร่างของพีคที่โปรแกรมวางให้ด้วยการใช้เมาส์ไปปรับที่ตัวพีคโดยตรงได้
การวางพีคนี้ต้องดูรูปร่างพีคเป็นหลัก
บางครั้งวางพีคเดียวก็พอ
แต่บางครั้งก็ต้องวางหลาย
ๆ พีคหน่อย ตรงนี้ต้องทดลองทำเอาเอง
อย่างเช่นในทีนี้พบว่าวางเพียงพีคเดียวก็พอแล้ว
ก็ไปกด icon
ที่ลูกศร
3
ชี้เพื่อให้โปรแกรมทำ
peak
fitting การกด
icon
นี้สามารถกดได้หลายครั้งจนกว่าจะพบว่ามันเข้าที่
ในที่นี้จะได้พีคที่เป็นเส้นสีน้ำเงิน
และมีรายละเอียดตำแหน่งพีคปรากฏในแทป
function
ตรงลูกศร
4
ชี้
ส่วนรายละเอียดของพีคเช่นข้อมูลพารามิเตอร์
พื้นที่ ความสูง
จะอยู่ข้างล่างตรงกรอบสีแดงที่ลูกศร
5
ชี้
เมื่อได้รูปร่างพีคแรกแล้วก็ทำการตรึงพีคนี้ไว้
เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด
ๆ ในการทำ peak
fitting ให้กับพีคที่สอง
การตรึงพีคนั้นทำได้โดยการไปกดเลือกพีคที่ต้องการตรึง
(ในกรอบที่ลูกศร
4
ชี้)
จากนั้นไปกดที่
icon
ที่เป็นรูปแม่กุญแจข้างล่าง
(ตรงกรอบสีน้ำเงินที่ลูกศร
6
ชี้)
ทุกตัว
มันจะเปลี่ยนจากเปิดอ้างอยู่เป็นล็อค
การทำเช่นนี้จะทำให้พีคที่ทำการล็อกเอาไว้แล้วถูกตรึงเอาไว้
ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด
ๆ ในการทำ peak
fitting ในขั้นตอนถัดไป
รูปที่
๔ การทำ peak
fitting ของพีคแรก
รูปที่
๕ เป็นการทำ peak
fitting ให้กับพีคที่สอง
เนื่องจากพีคนี้ค่อนข้างใหญ่ทำให้บ่อยครั้งการใช้
peak
เพียงพีคเดียวไม่สามารถที่จะปรับเข้ากับข้อมูลดิบได้หมด
จึงมักต้องทำการเติมเข้าไปหลายพีค
การเติมเข้าไปหลายพีคนั้นทำได้หลายแบบ
เช่นอาจเพิ่มพีคเข้าไปจำนวนหนึ่งก่อนจนเห็นว่ามันใกล้เคียงข้อมูลดิบ
จากนั้นจึงค่อยกดไอคอนให้โปรแกรมเริ่มกระบวนการ
peak
fitting หรืออาจทำการเติมพีคเข้าไปก่อนหนึ่งพีค
กดไอคอนให้โปรแกรมทำ peak
fitting แล้วจึงค่อยเพิ่มพีคที่สอง
กดไอคอนให้โปรแกรมทำ peak
fitting
ถ้าเห็นว่าผลที่ออกมายังไม่ดีก็เพิ่มพีคที่สามและทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อย
ๆ ตรงจุดนี้ต้องลองดูกับข้อมูลของตัวเอง
แม้แต่ข้อมูลเดียวกันถ้าตัดเส้น
base
line ต่างกันก็อาจทำให้กระบวนการ
peak
fitting เพื่อให้พีครวมออกมาดูดีนั้นแตกต่างกันไปได้
แต่ถ้าคำนวณพื้นที่รวมของทุกพีคแล้วมักจะเห็นว่าพอ
ๆ กัน
ในกรณีของพีคที่สองในรูปที่
๕ นั้น ผมใช้การเติมเข้าไปทีละพีคและทำ
peak
fitting จากนั้นจึงค่อยเติมพีคที่สองและทำ
peak
fitting จากนั้นจึงเติมพีคที่สามและทำ
peak
fitting ก็พบว่าพีครวมที่ได้ปรับเข้ากับข้อมูลดิบได้ดี
ดังนั้นพื้นที่พีคของพีคหลังจะคำนวณได้จากผลรวมของพื้นที่พีคที่เวลา
3.08811
นาที
3.15324
นาที
และ 3.21724
นาที
พึงสังเกตว่าแม้ว่าจะมีต้องใช้พีคถึงสามพีค
แต่ตำแหน่งยอดพีคของทั้งสามพีคนั้นอยู่ประมาณเวลาเดียวกัน
อันนี้เป็นไปได้ว่าแต่ละพีคนั้นเป็นตัวแทนของการคายออกมาจากอนุภาค
(packing
material ที่อยู่ในคอลัมน์)
ที่มีขนาดต่าง
ๆ กัน
รูปที่
๕ การทำ peak
fitting พีคที่สอง
เมื่อได้พีคที่สองแล้วก็ควรทำการตรวจสอบด้วยว่าการทำ peak fitting นั้นยอมรับได้หรือไม่ สิ่งที่ผมทำเป็นปรกติก็คือทำการลบพีคแรกทิ้งแล้วดูว่าผลรวมของฟังก์ชันที่ใช้ในการประมาณค่าพีคที่สองนั้นเข้ากับข้อมูลดิบหรือไม่ รูปที่ ๖ เป็นรูปที่ได้ลบฟังก์ชันของพีคแรกทิ้งไป เส้นสีน้ำเงินคือเส้นผลรวมของพีค 3 พีคที่ใช้ในการประมาณค่าพีคที่สอง ซึ่งก็พบว่าปรับเข้ากับข้อมูลดิบได้ดี
เมื่อได้พีคที่สองแล้วก็ควรทำการตรวจสอบด้วยว่าการทำ peak fitting นั้นยอมรับได้หรือไม่ สิ่งที่ผมทำเป็นปรกติก็คือทำการลบพีคแรกทิ้งแล้วดูว่าผลรวมของฟังก์ชันที่ใช้ในการประมาณค่าพีคที่สองนั้นเข้ากับข้อมูลดิบหรือไม่ รูปที่ ๖ เป็นรูปที่ได้ลบฟังก์ชันของพีคแรกทิ้งไป เส้นสีน้ำเงินคือเส้นผลรวมของพีค 3 พีคที่ใช้ในการประมาณค่าพีคที่สอง ซึ่งก็พบว่าปรับเข้ากับข้อมูลดิบได้ดี
รูปที่
๖ รูปร่างของพีคที่สองเมื่อทำการลบพื้นที่หนึ่งทิ้งไป
เนื่องจากขนาด
packing
material ใน
packed
column นั้นไม่ได้มีขนาดเท่ากันทุกอนุภาค
แต่มีการกระจายตัวของขนาดอนุภาคอยู่
สารที่ถูกดูดซับเอาไว้ในรูพรุนของอนุภาคขนาดเล็กจะหลุดออกมาได้ง่ายกว่าสารที่ถูกดูดซับเอาไว้ในรูพรุนของอนุภาคขนาดใหญ่
เพราะรูพรุนของอนุภาคขนาดเล็กนั้นมีเส้นทางที่สั้นกว่าทำให้ใช้เวลาน้อยกว่าในการแพร่จากข้างในรูพรุนออกมายัง
carrier
gas
ส่วนที่ทำให้พีคเกิดการลากหางจึงเป็นส่วนของสารที่หลุดออกมาจากรูพรุนของอนุภาคขนาดใหญ่
ด้วยเหตุนี้พีคที่ได้นั้นจึงมีลักษณะที่ไม่สมมาตร
การใช้ฟังก์ชันที่สมมาตรเช่น
Gaussian
จะใช้ทำให้ต้องใช้พีคประมาณค่าจำนวนมากจึงจะปรับพีครวมให้เข้ากับข้อมูลดิบได้
การใช้ฟังก์ชัน Gaussian
เช่นฟังก์ชันที่เรียกว่า
SplitGaussian
ของโปรแกรม
fityk
จะทำให้ใช้พีคประมาณค่าจำนวนน้อยกว่า
และปรับเข้ากับข้อมูลดิบได้ดีกว่า
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้นเป็นแค่แนวทางหนึ่งในการทำ
peak
fitting ให้กับโครมาโทแกรมเท่านั้นเอง
ไม่ได้หมายความว่าต้องปฏิบัติตามที่เขียนมาข้างต้นเสมอไป
สิ่งที่ผู้ปฏิบัติควรทำก็คือปรับวิธีการให้เหมาะสมกับข้อมูลของตนเองและควรอธิบายได้ว่าทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น