Pyrophoric
substance เป็นสารที่สามารถลุกติดไฟได้เองเมื่อสัมผัสกับอากาศ
สารเหล่านี้เป็นสารที่มีความว่องไวสูง
มีการใช้ในการสังเคราะห์สารเคมีต่าง
ๆ ตัวอย่างของสารเหล่านี้ได้แก่สารประกอบ
alkyl
lithium, alkyl magnesium, alkyl manesium halide, alkyl aluminium,
alkyl aluminium halide เป็นต้น
และอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีการใช้งานสารนี้เป็นจำนวนมากคือการผลิตพอลิโอเลฟินส์ที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาระบบ
Ziegler-Natta
catalyst (เช่น
HDPE,
PP, LLDPE) ที่ใช้สารตระกูล
alkyl
aluminium หรือ
alkyl
aluminium halide เป็น
co-catalyst
(ตัวเร่งปฏิกิริยาร่วม)
สารพวก
alkyl
lithium, alkyl magnesium, alkyl manesium halide, alkyl aluminium,
alkyl aluminium halide
เหล่านี้ไม่เพียงแต่ลุกติดไฟได้เองเมื่อสัมผัสกับอากาศ
แต่ยังทำปฏิกิริยารุนแรงกับน้ำ
การใช้งานสารเหล่านี้จึงต้องกระทำในบรรยากาศของแก๊สเฉื่อยที่แห้ง
(เช่นทำงานใน
glove
box)
หรืออาศัยการออกแบบอุปกรณ์และวิธีการถ่ายเทที่ป้องกันไม่ให้สารนี้มีการสัมผัสกับอากาศ
แต่เมื่อนำสารนี้มาเจือจางด้วยตัวทำละลายไฮโดรคาร์บอนที่แห้ง
(คือไม่มีน้ำละลายปนอยู่)
มันก็จะลดความว่องไวลงไปมากจนสารละลายนั้นสามารถสัมผัสกับอากาศได้
รูปที่
๑ ภาพจากคลิปวิดิโอ
"Experimenting
with danger" (https://www.youtube.com/watch?v=ALBWxGik64A)
ที่ผู้ช่วยวิจัยผู้หนึ่งที่มหาวิทยาลัย
UCLA
เกิดอุบัติเหตุกับสาร
t-butyl
lithium จนเสียชีวิต
ในวันที่
๒๙ ธันวาคม ปีค.ศ.
๒๐๐๘
(พ.ศ.
๒๕๕๑)
เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับผู้ช่วยวิจัยหญิงรายหนึ่งที่มหาวิทยาลัย
UCLA
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่กำลังดึงสาร t-butyl
lithium (ที่เป็นสาร
pyrophoric)
ออกจากขวดบรรจุด้วยการใช้
syringe
แต่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้สารดังกล่าวพ่นใส่มือและเสื้อสเวตเตอร์ที่ทำจาก
"ผ้าใยสังเคราะห์"
ส่งผลให้เกิดไฟลุกท่วมตัว
ก่อนที่จะเสียชีวิตในอีก
๑๘ วันต่อมา (รูปที่
๑ และ ๒)
กรณีดังกล่าวก่อให้เกิดการสอบสวนและฟ้องร้องทั้งทางมหาวิทยาลัยและอาจารย์ผู้ควบคุมการทดลองดังกล่าวในฐานะที่ไม่จัดให้มีมาตรการความปลอดภัยในการทำการทดลองที่เพียงพอ
รูปที่
๒ ผู้เสียชีวิตและสภาพที่เกิดเหตุของเพลิงไหม้ที่
UCLA
ต้นเดือนกันยายนปีพ.ศ.
๒๕๕๓
ได้มีโอกาสสนทนากับนิสิตที่ทำการทดลองคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดที่
UCLAและยังเกิดอุบัติเหตุที่คล้ายกัน
ที่ต่างกันคืออุบัติเหตุครั้งหลังนี้เพียงแต่เป็นการหยดของสาร
diethylaluminium
chloride ลงใน
"บีกเกอร์"
ที่บรรจุเฮกเซนที่ใช้ล้าง
syringe
ทำให้เกิดไฟลุกไหม้เฮกเซนในบีกเกอร์นั้น
โชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตรายและทรัพย์สินเสียหาย
และสามารถดับไฟที่ลุกไหม้ได้อย่างปลอดภัย
รายละเอียดของเหตุการณ์นี้
(พร้อมคลิปวิดิโอ)
ได้เล่าไว้ใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๐๑ วันศุกร์ที่
๑๐ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง
"Pyrophoric substance (อีกครั้ง)"
ซึ่งเหตุการณ์นั้นจะว่าไปแล้วคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดที่
UCLA
มาก
เพียงแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างกัน
สาเหตุหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุในปี
๒๕๕๓ คาดว่าคงเป็นเพราะการสอนวิธีการทำการทดลองต่อ
ๆ กันมาด้วยการบอกเพียงแค่
"วิธีการ"
โดยไม่มีการอธิบาย
"หลักการ"
ว่าควรต้องทำอย่างไร
(เผลอ
ๆ คนสอนเองก็อาจจะไม่รู้หลักการด้วยก็ได้)
และเมื่อเวลาผ่านไปก็คงจะทำให้วิธีการมีความเพี้ยนไป
หรือวิธีการที่ใช้ได้ดีกับสารหนึ่งอาจไม่เหมาะสมกับอีกสารหนึ่ง
ดังนั้นเพื่อให้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิด
ก็เลยจะขอนำเอาเรื่องดังกล่าวมาเล่าใหม่
โดยจะเน้นไปที่ "หลักการ"
ในการใช้
syringe
ดึงเอาสารออกจากขวดบรรจุ
และการล้าง syringe
ตรงนี้ขอให้ดูรูปที่
๓ ประกอบ
สาร
diethylaluminium
chloride (ต่อไปขอย่อว่า
DEAC)
บรรจุอยู่ในขวดปิดผนึกภายใต้บรรยากาศของแก๊สเฉื่อย
การดึงสารดังกล่าวออกจากขวดด้วยการใช้
syringe
จำเป็นต้องใช้
syringe
ที่มีหัวเข็ม
(needle)
ที่ยาวมากพอ
ตัว syringe
ที่อยู่ในอากาศนั้นจะมีอากาศค้างอยู่ในตัว
needle
และตัว
syringe
เอง
ดังนั้นจำเป็นต้องมีการกำจัดอากาศที่ตกค้างอยู่ในบริเวณดังกล่าวออกก่อน
ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการใช้
syringe
นั้นดูดแก๊สเฉื่อยและไล่แก๊สทิ้งหลาย
ๆ ครั้ง
เมื่อไล่แก๊สเฉื่อยออกจาก
syringe
เรียบร้อยแล้วจึงใช้
syringe
นั้นดูด
DEAC
ออกจากขวด
เมื่อดูด DEAC
ปริมาตรที่ต้องการได้แล้วก็ให้ยก
syringe
ขึ้นเพื่อให้ตัว
needle
นั้นขึ้นพ้นเหนือผิว
DEAC
ที่เป็นบริเวณบรรยากาศของแก๊สเฉื่อย
(รูปที่
๓ ซ้าย)
จากนั้นให้ทำการดูดแก๊สเฉื่อยเข้ามาในตัว
syringe
ในปริมาณหนึ่ง
การทำเช่นนี้ก็เพื่อดึงเอา
DEAC
ที่อยู่ในตัว
needle
นั้นให้เข้ามาอยู่ใน
syringe
ให้หมด
และใช้แก๊สเฉื่อยที่อยู่ในตัว
needle
นั้นป้องกันไม่ให้
DEAC
ทำปฏิกิริยากับอากาศเมื่อถอน
syringe
ออกมา
ส่วนต้องดูดแก๊สเฉื่อยเข้ามาเท่าใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ
needle
รูปที่
๓ ตัวอย่างการดึงสาร
diethyaluminium
chloride ออกจากขวดบรรจุด้วยการใช้
syringe
เพื่อทำการเจือจางและการล้าง
syringe
เพื่อกำจัดสารที่ตกค้างอยู่ใน
syringe
กล่าวคือถ้า
needle
มีขนาดที่ยาว
ปริมาตรแก๊สเฉื่อยที่ดูดเข้ามาก็ต้องมากตาม
ซึ่งตรงนี้คือ "หลักการ"
ส่วนต้องดูดเข้ามากี่
ml
นั้นมันคือ
"วิธีการ"
เพราะปริมาตรส่วนนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของ
needle
ที่ใช้
แก๊สเฉื่อยที่ดูดเข้ามานั้นไม่เพียงแต่ช่วยไล่สารในตัว
needle
ให้เข้ามาอยู่ในตัว
syringe
แต่ยังทำหน้าที่ไล่สารที่อยู่ใน
needle
ออกด้วยเวลาที่เราดันไล่สารออกจาก
syringe
เพื่อทำการเจือจาง
กล่าวคือในขั้นตอนการเจือจางสารนั้นก็จะย้าย
syringe
จากขวดที่ดูดสารออกมา
มาปักลงในอีกขวดหนึ่งที่บรรจุตัวทำละลายที่จะใช้เจือจางสารที่อยู่ภายใต้บรรยากาศของแก๊สเฉื่อย
(รูปที่
๓ กลาง)
เมื่อดันสารใน
syringe
ลงไปในตัวทำละลายแล้วก็จะยก
syringe
โดยให้ปลายของ
needle
อยู่เหนือสารละลายแต่ยังคงอยู่ในขวดบรรจุสารละลาย
จากนั้นก็ทำการดูดแก๊สเฉื่อยในขวดบรรจุสารละลายนั้นเข้ามาใน
syringe
แล้วก็ดันไล่แก๊สนั้นออกไป
ขั้นตอนนี้จะมีการกระทำซ้ำหลายครั้งเพื่อไล่สารที่ติดค้างอยู่ที่ผิวของ
needle
และ
syringe
ออกให้มากที่สุด
ขั้นตอนสุดท้ายเป็นขั้นตอนการล้าง
syringe
ด้วยตัวทำละลาย
กล่าวคือหลังจากที่ใช้แก๊สเฉื่อยไล่สารที่ตกค้างอยู่ที่ผิวด้านในของ
needle
และ
syringe
ออกแล้ว
ก็จะนำเอา syringe
ไปดูดตัวทำละลายไฮโดรคาร์บอนเพื่อทำการล้างสารที่ตกค้างออกให้หมด
(รูปที่
๓ ขวา)
โดยใช้
syringe
นั้นดูดตัวทำละลายเข้ามาและไล่ออกไป
ทำเช่นนี้ซ้ำหลายครั้ง
ขั้นตอนสุดท้ายนี้เป็นขั้นตอนที่สามารถทำในอากาศได้
จะว่าไปแล้วถ้าหากก่อนที่จะดึงเข็มออกจากขวดบรรจุสารนั้น
มีการดึงเอาแก๊สเฉื่อยเข้ามาใน
syringe
ในปริมาณที่
มากพอ ในขั้นตอนการถ่ายสารจาก
syringe
ลงไปในตัวทำละลายในขวดเตรียมสารละลายนั้น
แก๊สเฉื่อยที่ดูดเข้ามาก็จะเพียงพอที่จะไล่สารที่ค้างอยู่ในตัว
needle
ออกไปจนหมดได้
แต่คำถามก็คือจะรู้ได้อย่างไรว่าดูดแก๊สเฉื่อยเข้ามาในปริมาณที่มากพอแล้ว
และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่มีสารตกค้างอยู่ในตัว
syringe
ด้วยการดันไล่ออกไปเพียงครั้งเดียว
ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีสารค้างอยู่ในตัว
needle
จริง
หลังจากดันไล่สารออกออกจาก
syringe
แล้วก็ควรที่จะดูดแก๊สเฉื่อยในขวดนั้นเข้ามาใน
syringe
ใหม่แล้วดันไล่แก๊สเฉื่อยออกไปเพื่อไล่สารที่อาจตกค้างอยู่ออกให้มากที่สุด
ซึ่งจะว่าไปแล้วขั้นตอนนี้มันก็ไม่ได้ทำให้เสียเวลาในการทำงานเท่าใดนักแต่มันช่วยทำให้การทำงานมีความปลอดภัยขึ้นมาก
รูปที่
๔ ภาพจากกล้องวงจรปิด
เหตุการณ์ที่เกิดเมื่อเดือนกันยายน
๒๕๕๓
เหตุการณ์ที่เกิดในเดือนกันยายน
๒๕๕๓ คือในขั้นตอนการดันไล่สารจาก
syringe
ลงในตัวทำละลาย
(รูปที่
๓ กลาง)
นิสิตรุ่นพี่ที่เคยทำการทดลองนี้ไม่ได้ทำการดูดแก๊สเฉื่อยในขวดเตรียมสารเพื่อไล่สารตกค้างใน
syringe
ก่อนที่จะทำการย้าย
syringe
มาล้างด้วยเฮกเซน
และการกระทำของเขาที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร
พอมาสอนรุ่นน้อง
(ซึ่งเรียนมาว่าควรต้องทำการไล่)
ก็บอกกับรุ่นน้องว่าไม่จำเป็นต้องทำ
สามารถข้ามขั้นตอนการไล่ออกไปได้เลย
รุ่นน้องก็เชื่อรุ่นพี่ในฐานะผู้มีประสบการณ์
แต่กลับกลายเป็นว่าตอนดูดสารออกจากขวดนั้น
คงดูดแก๊สเฉื่อยเข้ามาไม่มากพอ
พอมาถ่ายสารใน syringe
ลงขวดเตรียมสารละลาย
ก็เลยยังคงมีสารค้างอยู่ที่ปลาย
needle
ในปริมาณที่มากพอควร
ประกอบกับ needle
มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูที่ค่อนข้างใหญ่
ทำให้ในฃ่วงที่ย้าย syringe
จากขวดเตรียมสารละลายมายังบีกเกอร์บรรจุเฮกเซนที่จะใช้ล้างเข็มนั้น
สารที่ค้างอยู่ที่ในตัว
needle
ก็ไหลและหยดจากปลาย
needle
ก่อนที่จะได้จุ่มปลาย
needle
ลงในเฮกเซน
ทำให้สารดังกล่าวลุกติดไฟในขณะที่เคลื่อนที่ผ่านอากาศลงไปในเฮกเซน
ก็เลยทำให้เฮกเซนในบีกเกอร์ลุกติดไฟ
(คือถ้าปักปลาย
needle
ลงในเฮกเซนก่อนที่สารที่ค้างอยู่ใน
needle
จะหยดออกมา
เพลิงไหม้ก็คงจะไม่เกิด)
สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนละฟากของโลก
ต่างเกิดขึ้นในขณะที่ทำงานที่คล้ายคลึงกัน
เพียงแต่ในเหตุการณ์ที่
UCLA
ที่มีผู้เสียชีวิตนั้นการที่ไม่มีการฝึกอบรมวิธีการปฏิบัติอย่างเหมาะสมก่อนให้เริ่มทำการทดลองมีบทบาทสำคัญของการทำให้อุบัติเหตุ
ส่วนในกรณีหลังนั้นการที่ผู้สอนนั้นไม่เข้าใจหลักการทำงานว่างานในแต่ละขั้นตอนนั้นมีความสำคัญอย่างไร
รู้แต่เพียงว่าการลัดขั้นตอนบางขั้นตอนนั้นมันทำให้ทำงานเสร็จเร็วขึ้นและก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอย่างไร
พอมาสอนรุ่นน้องก็ใช้ประสบการณ์การทำงานของตัวเองบอกกับรุ่นน้องว่าขั้นตอนนั้นสามารถข้ามไปได้
ซึ่งรุ่นน้องก็เชื่อรุ่นพี่มากกว่าคู่มือปฏิบัติที่มีอยู่ในมือ
(ซึ่งคงบอกแค่วิธีการ
แต่ไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น)
เป็นเรื่องปรกติที่คนเรานั้นอยากให้งานที่ต้องทำนั้นทำเสร็จเร็ว
ๆ (ภายใต้คำขวัญที่ว่าเป็นการ
"เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน")
และสิ่งหนึ่งที่มักทำกันก็คือการมองหาขั้นตอนการทำงานใด
ๆ ที่คิดว่า "ไม่จำเป็น"
และ/หรือ
"ซ้ำซ้อน"
ออกไป
ซึ่งก็มักจะมองกันแต่เพียงว่าถ้าตัดขั้นตอนเหล่านั้นออกไปแล้วก็จะทำให้งานเดินไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น
โดยไม่ส่งผลกระทบอะไร
แต่ถ้าลองถามสักนิดดูว่าทำไมมันจึงต้องมีขั้นตอนเหล่านั้นกำหนดมาแต่ต้น
มันมาด้วยเหตุผลใด
ก็อาจจะได้ภาพอีกอย่าง
ขั้นตอนความปลอดภัยในการทำงานจำนวนไม่น้อยนั้น
มันไม่ใช่ขั้นตอนที่ถ้าไม่กระทำตามเมื่อใดก็จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นทันที
แต่มันได้มาจากการวิเคราะห์การทำงานและ/หรือประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า
การมีขั้นตอนดังกล่าวนั้นช่วยในการลดและ/หรือป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น
อย่างเช่นในกรณ๊ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้
ปิดท้ายด้วยเรื่องหลักการทำงานของอุปกรณ์วัดตัวหนึ่งคือมัลติมิเตอร์
มีวันหนึ่งนิสิตแจ้งว่าตัว
furnace
ไม่ทำงาน
อยากจะให้ผมเข้าไปช่วยตรวจดูปัญหาให้หน่อย
ในการตรวจนั้นผมลองตรวจด้วยมัลติมิเตอร์และไขควงเช็คไฟที่ขั้วจ่ายไฟทั้งสองของ
variac
และพบว่าไขควงเข็คไฟมีไฟติดสว่างทั้งสองขั้ว
(รูปที่
๕)
ในขณะที่มัลติมิเตอร์อ่านค่าได้
0
Volt
มัลติมิเตอร์มันวัดความต่างศักย์ระหว่างขั้วไฟฟ้าสองขั้ว
ถ้าสองขั้วนั้นมีไฟที่มีความต่างศักย์เท่ากัน
ผลต่างก็จะเป็น 0
Volt ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีไฟ
แต่หมายความว่าสองขั้วนั้นมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน
รายละเอียดของเรื่องนี้เคยเล่าไว้ใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๑๘ วันพุธที่ ๒๕
ธันวาคม ๒๕๕๖ เรื่อง "0 Volt ไม่ได้หมายความว่าไม่มีไฟเสมอไป (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๖๑)"
รูปที่
๕ เมื่อมัลติมิเตอร์วัดค่าความต่างศักย์ได้
0
Volt แต่ไขขวงเช็คไฟบอกว่ามีไฟที่ขั้วทั้งสอง
(หมายเหตุ
:
บทความชุด
"ความปลอดภัยในการทำงานและการออกแบบ"
นี้จัดทำขึ้นเพื่อขยายความสไลด์ประกอบการสอนวิชา
"2105689
การออกแบบและดำเนินการกระบวนการอย่างปลอดภัย
(Safe
Process Operation and Desing)"
ที่เปิดสอนให้กับนิสิตระดับปริญญาโท
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี
คณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป็นครั้งแรกในภาคการศึกษาปลาย
ปีการศึกษา ๒๕๖๑)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น