วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2562

อาศรมฤๅษีที่ศรีราชา (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๔๕) MO Memoir : Thursday 3 January 2562

ในส่วนคำนำของหนังสือ "บันทึกการเดินทางสู่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ประเทศสยาม" ที่นายเฮอร์เบิร์ท วาริงตัน สมิท (Herbert Warington Smyth) เขียนบันทึกไว้ในปีพ.ศ. ๒๔๓๕ ที่กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่นั้น ให้ประวัติของนายสมิทเอาไว้ว่า เป็นนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษที่ได้รับการว่าจ้างจากรัฐบาลสยามให้เข้ามารับราชการในกรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา โดยรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้ากรม (คือนายวอลเตอร์ เดอ มุลเลอร์ (W. De Muller) ชาวเยอรมัน) ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๓๔ และภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมต่อจากนายมุลเลอร์ระหว่างปีพ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๔๓๙

รูปที่ ๑ บันทึกของ Herbert Warington Smyth ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยและจัดพิมพ์โดยกรมศิลปากรที่ผมมีอยู่ เล่มซ้าย "บันทึกการเดินทางสู่แม่น้ำโขงตอนบน ประเทศสยาม (Notes of a journey on the upper Mekong, Siam)" พิมพ์เผยแพร่เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๔ เล่มกลาง "ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ (Five years in siam vol. 1)" พิมพ์เผยแพร่เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๔ และเล่มขวา "ห้าปีในสยาม เล่ม ๒ (Five years in siam vol. 2)" พิมพ์เผยแพร่เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๙

นายสมิทเป็นชาวต่างชาติผู้หนึ่งที่มีโอกาสได้เดินทางไปแบบที่อาจเรียกได้ว่าเกือบทั่วสยาม (ในบันทีกของเขาขาดก็แต่ดินแดนทางภาคตะวันตก) หนังสือ "Five years in Siam" ของเขาไม่ได้บอกเล่าแต่เรื่องทางธรณีวิทยาเพียงด้านเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยนานาสาระที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมืองและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เขาได้เดินทางผ่านไป นอกจากนี้ด้วยความที่เขามีความสามารถในการวาดภาพ ภาพเขียนของเขาจึงอาจถือได้ว่าเป็นการบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เขาไปพบเห็น ไม่ว่าจะเป็น บุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ แม้ว่าในยุคของเขานั้นเริ่มมีการถ่ายภาพแล้วก็ตาม แต่ถ้าต้องแบกอุปกรณ์ถ่ายภาพติดตัวตลอดการเดินทางที่กินระยะเวลานานและไม่ได้เต็มไปด้วยความสะดวกสบายตลอดเส้นทาง ก็คงไม่ใช่เรื่องที่สะดวกนัก แต่ถึงกระนั้นภาพวาดของเขาก็ได้ช่วยให้เราได้เห็นภาพสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกพระนครในยุคสมัยนั้น ที่ชาวต่างฃาติส่วนใหญ่ยังคงพำนักพักอาศัยอยู่ในเขตพระนครเป็นหลัก

รูปที่ ๒ ภาพอาศรมฤๅษีที่ศรีราชาที่ปรากฏในหน้า ๑๙๐ ของหนังสือ "ห้าปีในสยาม เล่ม ๒"

ในบันทึกของนายสมิทไม่ได้กล่าวไว้แน่ชัดว่าการเดินทางไปยังจันทบุรีและตราดนั้นเริ่มเมื่อใด แค่คงหลังจากที่ได้กลับมาถึงกรุงเทพในปีพ.ศ. ๒๔๓๗ หลังการเดินทางสำรวจชายฝั่งทะเลทั้งทางด้านตะวันออกและตะวันตกของภาคใต้ การเดินทางตามชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกนี้เป็นการเดินทางด้วยเรือ มีบันทึกกล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ ริมทะเล ไม่ว่าจะเป็น บางปลาสร้อย อ่างหิน (น่าจะเป็นอ่างศิลา) แหลมแท่น สีชัง ศรีราชา แหลมกระบัง (น่าจะเป็นแหลมฉบัง) เกาะคราม แสมสาร ไปเรื่อย ๆ จนถึงจันทบูรณ์ ตราด และคาบสมุทรกัมพูชา
 
ในหน้า ๑๙๐ ของหนังสือ "ห้าปีในสยาม เล่ม ๒" ฉบับที่แปลโดยกรมศิลปากรนั้น มีรูปที่ชื่อว่า "อาศรมฤษีที่ศรีราชา" โดยมีคำบรรยายที่แปลจากบันทึกของนายสมิทว่า

"เราหยุดเรือที่บางพระเพื่อรับเอาความแห้งและความอบอุ่นของแสงแดดยามเย็น และในตอนเช้าตรู่วันต่อมาเราก็ได้ออกเดินทางต่อมาตามชายฝั่งทะเลผ่านเจดีย์องค์เล็ก ๆ ที่สวยงามและวัดแห่งหนึ่งนอกเมืองศรีราชา มันเคยเป็นที่พักของฤษีชราผู้สันโดษ ซึ่งชื่อเสียงในด้านความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นขจรขจายไปไกล แต่ท่านก็ไม่ได้ดูน่าเลื่อมใสเท่าไหร่นัก เพราะว่าคงไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นแล้วจะสามารถเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากจะเป็นนักบุญ"

ดูจากคำบรรยายและรูปประกอบแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ควรที่จะเป็น "เกาะลอย" ที่รู้จักกันในปัจจุบัน

(หมายเหตุ : พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานสะกดว่า ฤษี หรือ ฤๅษี ไม่ได้ใช้สระอา "า" เหมือนดังที่ปรากฏในหนังสือแปล)

ไม่มีความคิดเห็น: