วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ป่าปอยเปต จังหวัดพิบูลสงคราม ป่าโรเนียนโดนซอม จังหวัดพระตะบอง (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๓๖) MO Memoir : Tuesday 5 February 2556

ความขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ที่ฝรั่งเศสพยายามเข้ามายึดครองดินแดนต่าง ๆ ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเมืองขึ้น สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะฝรั่งเศสต้องการหาทางเข้าไปมีอิทธิพลในจีน ซึ่งในขณะนั้นอังกฤษได้ปกครองอินเดีย (รวมพม่าด้วย) และเกาะฮ่องกง ทำให้อังกฤษมีฐานที่มั่นสำหรับเข้าไปในจีนทั้งทางบก (พม่า) และทางเรือ 
   
ฝรั่งเศสเองนั้นมองว่าแม่น้ำโขงน่าจะเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่สามารถใช้เดินเรือเข้าไปในจีนได้ จึงได้หาทางเข้ายึดครองดินแดนที่อยู่เคียงข้างลำน้ำโขง (แต่ต่อมาภายหลังพบว่าเส้นทางนี้ไม่สามารถใช้ได้) โดยเริ่มจากเข้ายึดเวียดนามก่อน ตามด้วยการเข้ายึดดินแดนในการปกครองของไทย (คือลาวและเขมร) และมีการขัดแย้งกับไทยที่รุนแรงในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่เรียกว่ากรณี ร.ศ. ๑๑๒ (ปีค.ศ. ๑๘๙๓) ซึ่งเป็นครั้งที่ไทยเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสมากที่สุด
  
การขัดแย้งกับฝรั่งเศสที่รุนแรงอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายปีพ.ศ. ๒๔๘๓ ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสยอมแพ้แก่กองทัพเยอรมันในยุโรป รัฐบาลฝรั่งเศสภายหลังการยอมแพ้เยอรมันมีชื่อเรียกว่ารัฐบาลวิชีฝรั่งเศส (Vichy France) 
   
การรบทางบกเริ่มขึ้นในวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ฝ่ายไทยใช้กำลัง ๔๔ กองพันทหารราบ โดยมีการรบทางด้านลาวตอนเหนือ ลาวตอนใต้ และกัมพูชา โดยการรบที่หนักหน่วงที่สุดเกิดในแนวเส้นทางจากอรัญประเทศมุ่งหน้าไปทางปอยเปต ทหารฝ่ายฝรั่งเศสที่เข้ารบนั้นเป็นทหารอาณานิคม (ทหารอาณานิคมคือทหารที่ฝรั่งเศสเอาชาวประเทศที่อยู่ในการปกครองของฝรั่งเศสมาฝึกทหารโดยมีคนฝรั่งเศสบังคับบัญชา อังกฤษก็มีกองทหารแบบเดียวกัน)
  
การรบทางเรือเริ่มเกิดขึ้นในเช้าวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่คนไทยรู้จักในนาม "ยุทธนาวีที่เกาะช้าง" ซึ่งในการรบครั้งนี้ไทยเสียเรือรบไป ๓ ลำคือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี


รูปที่ ๑ ทหารไทยเตรียมปืนต่อสู้อากาศยานเพื่อยิงเครื่องบินฝรั่งเศส (รูปไม่มีการระบุสถานที่) ในระหว่างกรณีพิพาทอินโดจีนในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ (รูปจาก http://www.ww2incolor.com/other/AA_Gun.html)

รูปที่ ๒ การจัดวางกำลังของไทยกับฝรั่งเศส (รูปจาก http://france1940.free.fr/images/FTW1.jpg) ตามแนวพรมแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส สี่เหลี่ยมที่มีขีดสองขีดอยู่ด้านบนหมายถึงกองกำลังระดับกองพัน ถ้าเป็นกากบาทอยู่กลางสี่เหลี่ยมคือหน่วยทหารราบ และถ้าเป็นวงรีอยู่ตรงกลางสี่เหลี่ยมคือหน่วยยานเกราะ

จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงให้ทั้งสองฝ่ายยุติการรบ (ตอนนั้นญี่ปุ่นเข้ามามีกองกำลังอยู่ในอินโดจีนฝรั่งเศสแล้ว) และในอนุสัญญาสันติภาพที่ลงนามที่กรุงโตเกียวในวันที่ ๙ พฤษภาคมปีเดียวกันนั้น ทำให้ไทยได้ดินแดนบางส่วนกลับมา และได้จัดตั้งเป็นจังหวัดใหม่ขึ้น ๔ จังหวัด คือ จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ จังหวัดลานช้าง จังหวัดพิบูลสงครามและจังหวัดพระตะบอง รวมเป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ ๒๔,๐๓๙ ตารางกิโลเมตร ซึ่งจังหวัดดังกล่าวนี้ ไทยได้ปกครองเรื่อยมาจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. ๒๔๘๘

รูปที่ ๓ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าสองข้างทางรถไฟสายอรัญประเทศ-มงคลบุรี หรือป่าปอยเปตในท้องที่ตำบลมรกฎ ตำบลบ้านจังหัน ตำบลศรีโสภณ ตำบลสวายจิก และตำบลทับไท อำเภอศรีโสภณ จังหวัดพิบูลสงคราม ให้เป็นป่าคุ้มครอง พุทธศักราช ๒๔๘๘ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๒ ตอนที่ ๓๘ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๘

ฝ่ายไทยเองเมื่อได้ดินแดนดังกล่าวมาปกครองก็มีการออกกฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้กับดินแดนเหล่านั้น ตัวอย่างหนึ่งที่นำมาแสดงคือแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ป่าปอยเปตเป็นป่าคุ้มครอง (รูปที่ ๓) ที่เลือกเอาแผนที่นี้มาก็เพราะมันติดต่อกับพรมแดนไทยในปัจจุบันทางด้านอรัญประเทศโดยมีเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเป็นจุดสังเกต จะได้เทียบเคียงกับแผนที่ในปัจจุบันได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งใด


รูปที่ ๔ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าโรเนียมโดนซอม ในท้องที่ตำบลภูมิเรียง และตำบลนาพะเนียด อำเภอไพริน ตำบลมรกต และตำบลเวรุวัน อำเภอพรมโยธี จังหวัดพระตะบอง ให้เป็นป่าคุ้มครองพ.ศ. ๒๔๘๘ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๒ ตอนที่ ๒๖ วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ หน้า ๓๑๔ ในแผนที่นี้จะเห็นจังหวัดจันทบุรีอยู่ทางด้านซ้าย

ผมอ่านบทความที่เขียนเผยแพร่ในเว็บบางเว็บโดยชาวต่างชาติซึ่งต่างกล่าวว่ากองทัพไทยนั้นทำอะไรกองทัพฝรั่งเศสไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องหาคำอธิบายให้ได้ว่าแล้วทำไมฝรั่งเศสจึงยอมยกดินแดนให้กับไทย ตรงนี้มีบางคนกล่าวว่าญี่ปุ่นกับฝรั่งเศสมีการเจรจาลับกัน โดยให้ฝรั่งเศสยกดินแดนให้ไทยส่วนหนึ่ง แต่ญี่ปุ่นจะป้องกันไม่ให้ไทยรุกล้ำไปมากกว่านั้น เรื่องเล่านี้จะจริงหรือไม่คงต้องหาหลักฐานมายืนยันกันอีกที แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็น่าคิดว่าเป็นไปได้ไหมว่าญี่ปุ่นอาจต้องการเอาใจไทย เพราะต้องการใช้ประเทศไทยเป็นฐานที่มั่นในการเดินทัพไปยึดพม่าและมลายูของอังกฤษ
   
รู้แต่ว่าภายหลังการเจรจาแล้วญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทให้อินโดจีนฝรั่งเศสมากขึ้น (ตอนนั้นไม่มีประเทศ ลาว เขมร และเวียดนาม แต่เรียกว่าอินโดจีนฝรั่งเศส) และใช้ที่ตั้งทางทหารในเวียดนามเป็นฐานในการส่งทหารเข้ายึดคาบสมุทรมลายูและส่งทหารผ่านไทยเข้าพม่าในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน (ดู Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๖๐ วันอังคารที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง "เหตุัผลที่ไทยต้องประกาศสงคราม (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๓๓)" ประกอบ)

เช้าวันวาน นั่งรถเมล์ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไทย เห็นพวงมาลาที่วางเอาไว้เพื่อระลึกถึงวีรกรรมทหารผ่านศึก เมื่อวันที่ระลึกทหารผ่านศึก ๓ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็เลยขอเขียนเรื่องเข้ากับบรรยากาศหน่อย
อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์และผู้เสียชีวิตในการรบครั้งนั้นก็คือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

รูปที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่สร้างเป็นอนุสรณ์ให้กับผู้เสียชีวิตในการรบกับอินโดจีนฝรั่งเศสในปีพ.ศ. ๒๔๘๓-๒๔๘๔ จากรูปร่างที่ดูคล้ายเห็นขูดชาร์ป ทำให้บางคนเรียกว่าอนุสาวรีย์นี้ว่าอนุสาวรีย์เหล็กขูดชาร์ป ถ่ายเอาไว้ตอนเช้าวันวาน

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.militaryhistoryonline.com/20thcentury/francosiamese/default.aspx 
http://th.wikipedia.org/wiki/กรณีพิพาทอินโดจีน  ข้อมูล ณ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖