ขึ้นเดือนเมษายน
ก็เป็นการขึ้นฉบับที่ ๖๐๐
แล้ว
เนื้อหาในบันทึกฉบับนี้ยังคงอิงจาก
"Guide
for Pressure-Relieving and Depressuring Systems" API RP 521 4th
edition, March 1997 พึงระลึกว่า
API
RP นี้เป็น
"Recommended
Practice" ถ้าจะแปลออกมาก็คือ
"แนวปฏิบัติที่แนะนำ"
นั่นแสดงว่าไม่ได้หมายความว่า
"ต้อง"
ทำตามที่เขียนไว้ใน
API
RP เสมอไป
มันไม่เหมือน "Standard
- มาตรฐาน"
หรือ
"Regulation
- กฎข้อบังคับ"
ที่ต้องปฏิบัติตามทุกตัวอักษร
Elevated
flare
อาจจัดได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุดจากคนที่อยู่นอกโรงงาน
ด้วยการที่มันเป็นปล่องที่มีไฟลุกติดข้างบนให้เห็นเกือบตลอดเวลา
แถมบางเวลายังลุกติดโชติช่วงมีควันดำลอยออกมาเต็มไปหมด
พอตอนกลางคืนก็ยังทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวได้
ทำให้ elevated
flare ถูกเพ่งเล็งมากจากกลุ่มองค์กรต่าง
ๆ
สำหรับโรงงานแล้ว
สิ่งที่ส่งไปเผาที่ปล่อง
flare
นั้นคือความสูญเสีย
ยิ่งมีการเผาทิ้งมากเท่าใดก็ยิ่งมีความสูญเสียมากเท่านั้น
คนภายนอกจำนวนไม่น้อยคิดว่าเปลวไฟที่ปล่อง
flare
ยิ่งลูกใหญ่เท่าใด
แสดงว่าโรงงานกำลังเดินเครื่องเต็มกำลัง
แต่อันที่จริงอาจเป็นเพราะโรงงานกำลังมีปัญหาในกระบวนการผลิต
จึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาด้วยการส่งแก๊สส่วนหนึ่งไปเผาทิ้งที่ปล่อง
flare
การที่
elevated
flare ถูกเพ่งเล็งมาก
ทำให้บางโรงงานหันไปหา
ground
flare แทน
แต่ที่ได้เคยเล่าไว้ก่อนหน้าว่า
(ตอนที่
๕ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มีนาคม
๒๕๕๖)
ground flare
นั้นแม้จะสามารถป้องกันไม่ให้คนภายนอกเห็นได้ว่ามีการเผาไหม้มากน้อยเพียงใด
แต่การที่มันอยู่ใกล้พื้นดินจึงทำให้แก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้หรือเผาไหม้ไม่สมบูรณ์นั้นแพร่กระจายและสะสมจนมีความเข้มข้นสูงอยู่ใกล้ระดับพื้นดินได้
และยังทำให้เกิดการแผ่รังสีที่รุนแรงในระดับใกล้พื้นดิน
ทำให้ ground
flare ไม่เหมาะกับการเผาไหม้แก๊สในปริมาณมาก
แตกต่างไปจาก elevated
flare ที่ทำการเผาไหม้ที่ระดับสูงและมีกระแสลมพัดที่แรงกว่า
ทำให้โอกาสที่แก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้หรือเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จะสะสมจนมีความเข้มข้นสูงใกล้ระดับพื้นดินเกิดได้ยากกว่า
(แต่ก็ทำให้แพร่กระจายออกไปเป็นบริเวณกว้างกว่า
แต่มีความเข้มข้นต่ำ)
ด้วยเหตุนี้ในโรงงานขนาดใหญ่จึงต้องมีระบบ
elevated
flare ไว้เผาแก๊สทิ้ง
API
RP 521 หน้า
๔๘ จำแนก elevated
flare ออกเป็น
๓ ประเภทคือ (ดูรูปที่
๑)
๑.
Self-supported
หรือชนิดที่สามารถยืนตั้งได้ด้วยตนเอง
API
RP 521 กล่าวว่า
flare
ชนิดนี้เป็นชนิดที่มีความเหมาะสมมากที่สุด
เพราะต้องการพื้นที่ในการติดตั้งน้อยที่สุด
ต้องการพื้นที่ในการติดตั้งเพียงแค่ส่วนฐานราก
และต้องการเพียงแค่ความสูงที่ทำให้การแผ่รังสีที่ระดับพื้นดินมีความปลอดภัยเท่านั้นเอง
แต่ก็เป็นชนิดที่มีราคาแพงที่สุดด้วย
เพราะการทำให้โครงสร้างที่มีลักษณะเรียวยาว
(สูงแต่ฐานแคบ)
ตั้งได้อย่างมั่นคงปลอดภัย
(ทนต่อแผ่นดินไหวและการแรงลมปะทะ
ฯลฯ)
ดังนั้นความสูงของ
flare
ชนิดนี้จึงมักจำกัดที่ระดับ
200-300
ฟุต
(ประมาณ
60-90
เมตร)
๒.
Guy-wire supported
หรือชนิดที่ใช้เส้นลวดขึงยึดตรึงกับพื้นดิน
flare
ชนิดนี้มีค่าก่อสร้างถูกเมื่อเทียบกับแบบอื่นที่ความสูงเดียวกัน
แต่ต้องการพื้นที่ในการติดตั้งมาก
เพราะต้องมีระยะการขึงลวดประมาณครึ่งหนึ่งของระยะความสูง
flare
เช่นถ้าเป็น
flare
สูง
100
เมตร
รัศมีการขึงลวดก็จะประมาณ
50
เมตร
(ดูรูปที่
๒-๔)
จุดเด่นของ
flare
ชนิดนี้คือสามารถสร้างให้มีความสูงมากได้
ความสูงของ flare
ชนิดนี้ไปได้ถึง
600-800
ฟุต
(ประมาณ
180-240
เมตร)
๓.
Derrick supported
หรือชนิดที่มีโครงสร้างเหล็กรองรับ
flare
ชนิดนี้ตัวปล่อง
flare
จะติดตั้งเข้ากับโครงสร้างรองรับอีกที
การติดตั้งจะใช้พื้นที่น้อยกว่าชนิด
guy-wire
แต่ก็มีค่าก่อสร้างที่สูงกว่า
จะใช้เมื่อความสูงของ flare
นั้นไม่เหมาะสมกับการสร้างชนิด
self-supported
ข้อดีของ
flare
ชนิดนี้คือในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด
สามารถใช้โครงสร้างรองรับเพียงโครงสร้างเดียวติดตั้งปล่อง
flare
หลายปล่องร่วมกันได้
เช่นที่แสดงในรูปที่ ๕ และ
๖ จะมีปล่อง flare
ถึง
4
ปล่องอยู่ร่วมกันบนโครงสร้างรองรับเดียวกัน
รูปที่
๒ ปากปล่อง flare
แบบ
guy-wire
จะเห็นลวดยึดอยู่สามมุม
รูปที่
๓ เป็นช่วงล่างของรูปที่
๒ จะเห็นท่อไอน้ำ (เดินเป็น
loop
รูปตัว
U)
ทางด้านซ้าย
เพื่อให้ท่อไอน้ำขยายตัวได้เมื่อร้อนโดยไม่เกิดความเสียหาย
ส่วนท่อด้านขวาที่มีการเดินเป็นรูปตัว
U
เช่นเดียวกันเป็นสารพัดท่อมีอะไรบ้างก็ไม่รู้
เป็นการเผื่อให้ขยายตัวและยืดตัวได้โดยท่อไม่เสียหายเวลาที่
flare
stack เกิดการยืดตัว
รูปที่
๔ ในภาพจะเห็น elevated
flare สองตัว
(ที่ลูกศรสีเขียวชี้)
ตัวด้านขวาระบุได้ว่าเป็นชนิด
guy-wire
สังเกตุได้จากจะเห็นแท่นสำหรับตรึงเส้นลวดด้านฝั่งพื้นดิน
(วงกลมสีเหลือง)
สามด้านเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า
Elevated
flare นั้นถูกตรึงเอาไว้ที่ส่วนฐาน
ดังนั้นเวลาที่มันร้อนมันก็จะขยายตัวโดยการยืดตัวขึ้นข้างบน
(มันร้อนได้เนื่องจากอุณหภูมิของแก๊สที่ระบายทิ้งและการตากแดด)
การติดตั้งท่อต่าง
ๆ (เช่นไอน้ำ
LPG)
เข้ากับ
elevated
flare ชนิด
self-supported
หรือ
guy-wire
supported จะเป็นการติดตั้งเข้ากับตัวปล่อง
flare
โดยตรง
ดังนั้นต้องคำนึงถึงการยืดตัวของปล่อง
flare
ด้วย
ในส่วนของท่อไอน้ำนั้นเนื่องจากมันเป็นท่อร้อน
จึงมีการออกแบบการเดินท่อให้มี
loop
เป็นรูปตัว
U
เอาไว้อยู่แล้ว
(ดูรูปที่
๓ ที่บอกว่าเป็นท่อไอน้ำเพราะเดาจากเห็นท่อมีฉนวนหุ้มอยู่)
ส่วนท่อตัวอื่นนั้นแม้จะไม่ได้เป็นท่อลำเลียงของเหลว/แก๊สที่ร้อน
ก็ต้องเผื่อการขยายตัวให้ด้วย
(loop
ตัว
U
ด้านขวาของรูปที่
๓ จะเห็นเป็นท่อไม่หุ้มฉนวน)
บริเวณใกล้ปากปล่อง
flare
นั้นจะมี
platform
ไว้สำหรับทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งหรือการซ่อมบำรุง
ถ้า flare
สูงไม่มากก็อาจจะมีอยู่
platform
ใกล้ปากปล่อง
แต่ถ้าสูงมากก็อาจต้องมีชั้นเอาไว้ให้คนปีนขึ้นไปได้หยุดพัก
ถ้ามีการติดตั้ง molecular
seal ก็จะเป็นเป็นกระเปาะอยู่ใกล้กับปากปล่อง
รูปที่
๕ flare
ชนิด
Derrick
supported จะเห็นปล่อง
flare
ถึง
4
ปล่องอยู่บนโครงสร้างเดียวกัน
และท่อต่าง ๆ ที่ไต่ขึ้นไปจะมีการขดเป็น
loop
ตัว
U
เป็นระยะ
รูปที่
๖ ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงตำแหน่งของ
derrick
supported flare ที่แสดงในรูปที่
๕
-
การจุด
pilot
ที่ปล่อง
flare
ในตอนที่
๔ ของชุดนี้ (วันอังคารที่
๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ เรื่อง Purged
reuction seal และ
Flare
tip) ได้เล่าไว้ว่าที่
flare
tip นั้นจะมี
pilot
เป็นเปลวไปจุดล่อเอาไว้ตลอดเวลาอยู่ตามมุมต่าง
ๆ ของ flare
tip เพื่อให้มั่นใจว่าจะมี
pilot
ลุกติดไฟอย่างน้อยหนึ่งตัวเสมอไม่ว่าจะมีฝนตกหรือลมพัดแรงเท่าใด
เวลาที่มีการปล่อยแก๊สออกมาจะได้เกิดการลุกไหม้ได้ทันที
สิ่งที่น่าจะตั้งคำถามคือ
"จุด
pilot"
อย่างไร
แผงผังระบบจุด pilot แสดงไว้ในรูปที่ ๗ แก๊ส LPG ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงที่ pilot นั้นจะถูกส่งไปทางท่อหนึ่ง โดยมีการแบ่งแก๊สดังกล่าวมาส่วนหนึ่งมาผสมกับอากาศที่เครื่องจุด กลายเป็นแก๊สผสมระหว่างอากาศ-LPG ไหลไปยังปลายท่อที่อยู่ใกล้กับปลายท่อ pilot
เมื่อกะว่าแก๊สผสมอากาศ-LPG
นั้นไหลไปจนถึงท่อทางออกแล้ว
ก็จะกดสวิตช์ (ที่อาจทำให้เกิดประกายไฟ)
เพื่อจุดแก๊สผสมอากาศ-LPG
ให้ลุกติดไฟ
เปลวไฟก็จะวิ่งไปตามท่อดังกล่าวไปจนถึงทางออก
ก็จะเป็นการจุด LPG
ที่ไหลออกมาทางท่อ
pilot
ให้ลุกติดไฟ
การตรวจสอบว่า LPG
ที่ออกทางปลายท่อ
pilot
มีการลุกติดไฟหรือไม่ก็ใช้เทอร์โมคัปเปิลวัดอุณหภูมิ
ถ้าจุดไม่ติดหรือเปลวไฟที่
pilot
ดับก็จะไม่มีความร้อนเกิดขึ้น
รูปที่
๗ แผนผังระบบจุด pilot
ที่
flare
tip เปลวไฟที่เกิดจาก
igniter
จะวิ่งไปตามท่อสีส้มไปจุด
LPG
ที่ออกมาทางปลายท่อ
pilot
รูปที่
๘ ตัวอย่างแผนผังระบบ
elevated
flare จาก
API
RP 521 ระบบที่แสดงในรูปมีการใช้
moleculare
seal (Mol. seal ในกรอบสีเขียว)
ใกล้ปากปล่อง
flare
โดยไม่มีการใช้
seal
drum แต่ในกรอบสีแดงด้านซ้ายบนกล่าวว่าอีกทางเลือกหนึ่งคือใช้
water
seal drum (โดยอาจไม่มี
molecular
seal ก็ได้
หรือมีทั้งสองตัวก็ได้)
เรื่องชุด
"ระบบเผาแก๊สทิ้ง
(Flare
system)" ก่อนหน้านี้มีดังนี้
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๘๔ วันอาทิตย์ที่
๓ มีนาคม ๒๕๕๖ เรื่อง
"ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๑ ระบบท่อรับแก๊ส"
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๘๖ วันพุธที่ ๖
มีนาคม ๒๕๕๖ เรื่อง "ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๒ Knockout drum"
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๘๗ วันศุกร์ที่
๘ มีนาคม ๒๕๕๖ เรื่อง
"ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๓ Seal drum และ Quench drum"
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๙๑ วันอังคารที่
๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ เรื่อง
"ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๕ Purge reduction seal และ Flare tip"
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๙๓ วันพฤหัสบดี
๒๑ มีนาคม ๒๕๕๖ เรื่อง
"ระบบเผาแก๊สทิ้ง (Flare system) ตอนที่ ๕ Ground flare"
ส่วนฉบับนี้ตอนแรกคิดว่าจะเป็นฉบับปิดท้าย
แต่มีคนถามเข้ามาอีกหนึ่งเรื่องคือ
Flare
gas recovery system (ระบบนำกลับแก๊สส่งไปเผาทิ้ง)
ซึ่งมีกล่าวไว้ใน
API
RP 521 เช่นเดียวกัน
ดังนั้นจะหาโอกาสย่อยเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น