เวลาที่เราเรียนเคมีนั้นมักจะมีการสอนกันว่าสารที่
"เฉื่อย
-
inert"
ที่อยู่ในระบบนั้นไม่ส่งผลอะไรต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ซึ่งมันก็ถูกต้องตรงที่ว่าสารที่
"เฉื่อย"
นั้นไม่ได้เข้าไปยุ่งหรือเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการเกิดปฏิกิริยาเคมี
แต่ว่ามันเข้าไปยุ่งในด้านอื่นที่สามารถส่งผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือสมดุลของระบบได้
เนื่องจากการมีอยู่ของสารที่
"เฉื่อย"
นั้นมันเข้าไปเปลี่ยนแปลง
"ความเข้มข้น"
หรือในบางกรณีจะเข้าไปเปลี่ยนแปลง
"ความสามารถในการระบายความร้อน"
ของระบบที่เกิดปฏิกิริยาเคมี
ตัวอย่างของการที่สารที่เฉื่อยที่เป็นแก๊สนั้นเข้าไปยุ่งกับการระบายของความร้อนของระบบที่เกิดปฏิกิริยาเคมี
เคยเล่าเอาไว้บ้างแล้วใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๗๖ วันจันทร์ที่
๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เรื่อง
"ผลของแก๊สเฉื่อยต่อการเกิดปฏิกิริยา"
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มี
"โอกาส"
พบเห็นได้
(ใช้คำว่า
"โอกาส"
เพราะไม่ได้หมายความว่า
"ต้องเสมอไป")
กับระบบปฏิกิริยาคายความร้อนใน
catalytic
fixed-bed reactor (เครื่องปฏิกิรณ์ชนิดเบดนิ่งที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา)
เพราะการระบายความร้อนแก๊สนั้นแปรผกผันกับรากที่สองของน้ำหนักโมเลกุล
(แก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำกว่าจะระบายความร้อนได้ดีกว่าแก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลมากกว่า)
ปฏิกิริยาที่เกิดในเฟสแก๊สนั้น
ถ้ามีการเติมแก๊สที่เฉื่อย
("เฉื่อย"
ในที่นี้คือไม่เข้าไปร่วมทำปฏิกิริยาเคมี)
เข้าไปในระบบ
ผลที่เกิดขึ้นกับสารตั้งต้นแต่ละตัวคือความเข้มข้นของสารตั้งต้นแต่ละตัวจะลดลง
โดยไม่สนว่าแก๊สเฉื่อยที่เติมเข้าไปนั้นคือแก๊สอะไร
และจะลดลงในสัดส่วนเดียวกันด้วย
ทั้งนี้เป็นเพราะแก๊สไม่มีปัญหาเรื่องการผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
แต่ในกรณีของปฏิกิริยาที่เกิดในเฟสของเหลวที่ให้ปฏิกิริยาเกิดขึ้นในตัวกลางที่เฉื่อยนั้นจะแตกต่างออกไป
ถ้าหากสารตั้งต้นทุกตัวที่เข้าทำปฏิกิริยานั้นสามารถผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกับตัวกลางได้ทุกสัดส่วน
ปัญหาก็คงจะไม่เกิด
แต่ที่มักประสบพบเจอกันเป็นประจำคือความสามารถในการละลายของสารตั้งต้น
(ที่อาจเป็นของเหลวหรือแก๊สที่ละลายเข้าไปในตัวกลางได้บางส่วน)
ในตัวกลางที่เป็นของเหลวที่เกิดปฏิกิริยาเคมีนั้นมันแตกต่างกัน
สิ่งนี้เป็นสาเหตุให้สัดส่วนความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยากันจริง
(คือส่วนที่ละลายอยู่ในของเหลว)
นั้นแตกต่างไปจากสัดส่วนความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่ป้อนเข้าสู่ระบบ
และยังทำให้สัดส่วนความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยากันจริง
(ส่วนที่ละลายอยู่ในของเหลว)
ขึ้นอยู่กับ
"ชนิด"
ของของเหลวตัวกลางที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาด้วย
แม้ว่าของเหลวตัวกลางนั้นจะไม่เข้าไปยุ่งอะไรกับกลไกการเกิดปฏิกิริยาเคมีดังกล่าว
ตัวอย่างที่ยกมาวันนี้เป็นกรณีของปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์เอทิลีนในเฟสของเหลว
(พื้นฐานเรื่องนี้เคยเล่าเอาไว้แล้วใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๕๘ วันอาทิตย์ที่
๒๐ กันยายน ๒๕๕๒ เรื่อง
"Ethylenepolymerisation") ในปฏิกิริยาที่ยกมานี้แก๊สที่ป้อนเข้าสู่ระบบคือ
เอทิลีน (ทำหน้าที่เป็นโมโนเมอร์)
โพรพิลีน
(ทำหน้าที่เป็นโคโมโนเมอร์ที่ช่วยปรับความหนาแน่นของพอลิเมอร์ที่ได้ด้วยการทำให้เกิดระยะหว่างระหว่างสายโซ่)
ไฮโดรเจน
(ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมความยาวสายโซ่พอลิเมอร์ที่เกิดขึ้น)
และไนโตรเจน
(เป็นแก๊สเฉื่อยที่ทำหน้าที่รักษาความดันรวมของระบบ)
อยู่ในรูปของแก๊สที่ป้อนเข้าสู่ระบบ
สารตั้งต้นเหล่านี้จะต้องละลายเข้าไปในเฟสของเหลว
(ที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาของแข็งแขวนลอยอยู่)
และไปทำปฏิกิริยากันบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาที่แขวนลอยอยู่ในของเหลว
ดังนั้นสัดส่วนความเข้มข้นของสารตั้งต้น
(เอทิลีน
โพรพิลีน และไฮโดรเจน)
ที่เข้าทำปฏิกิริยาจริงจะเป็นความเข้มข้นในเฟสของเหลว
ไม่ใช่ในเฟสแก๊สที่ป้อนเข้ามา
และสัดส่วนนี้ยังเปลี่ยนไปตามชนิดตัวทำละลายที่ใช้ด้วย
รูปที่
๑ ค่าการละลายของเอทิลีน
(C2H4)
ในเฮกเซนที่อุณหภูมิและความดันต่าง
ๆ (หน่วย
Nl
คือ
normal
litre)
รูปที่นำมาให้ดูทั้ง
๔ รูปนั้นเป็นค่าการละลายของเอทิลีน
ไฮโดรเจน โพรพิลีน และไนโตรเจน
ในเฮกเซน (hexanes)
ของบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่ใช้ในการออกแบบปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์เอทิลีนใน
slurry
phase เฮกเซน
(hexanes
มี
s
ต่อท้ายนะครับ)
ในที่นี้เป็นสารผสมไอโซเมอร์ต่าง
ๆ ของไฮโดรคาร์บอน C6
(โดยอาจมีตัวข้างเคียงผสมรวมอยู่ด้วยบ้างเล็กน้อย)
ดังนั้นจุดเดือดของตัวทำละลายตัวนี้จึงมีค่าเป็นช่วง
(เช่น
60-70ºC)
และองค์ประกอบของเฮกเซนนี้ก็ส่งผลต่ออุณหภูมิจุดเดือด
(ซึ่งไปส่งผลต่อความดันที่ต้องใช้ในการทำให้เฮกเซนยังเป็นของเหลว
ณ อุณหภูมิการทำปฏิกิริยา)
และ
"ค่าการละลายของแก๊สต่าง
ๆ"
ส่วนจะมีผลอย่างมีนัยสำคัญมากน้อยเท่าใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะแปลกใจถ้าหากพบว่าผลที่ได้จากการทำปฏิกิริยานั้นเปลี่ยนไปทั้ง
ๆ ที่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือตัวทำละลายที่ใช้เท่านั้นเอง
(เช่นเปลี่ยนไปซื้อตัวทำละลายจากผู้ผลิตรายใหม่)
รูปที่
๔ ค่าการละลายของไนโตรเจนในเฮกเซนที่อุณหภูมิและความดันต่าง
ๆ
แก๊สจะละลายเข้าไปอยู่ในของเหลวที่อุณหภูมิต่ำได้มากกว่าที่อุณหภูมิสูง
แต่ที่อุณหภูมิสูงอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะสูงกว่าที่อุณหภูมิต่ำ
แต่โดยทั่วไปผลเนื่องจากอุณหภูมิมักจะสูงกว่าผลของความเข้มข้น
ดังนั้นในกรณีที่ต้องการเพิ่มกำลังการผลิตจึงมักเน้นไปที่การเพิ่มอุณหภูมิ
(เพิ่มค่าคงที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
แต่ความเข้มข้นอิ่มตัวในเฟสของเหลวจะลดลง)
แทนที่จะทำการลดอุณหภูมิ
(เพิ่มความเข้มข้นอิ่มตัวในเฟสของเหลว
แต่ไปลดค่าคงที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี)
นอกจากนี้เมื่ออุณหภูมิการทำปฏิกิริยาเปลี่ยนไป
ความสามารถในการละลายของแก๊สชนิดต่าง
ๆ ในตัวทำละลายเดียวกันก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
แต่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงด้วยสัดส่วนเดียวกัน
ดังนั้นเมื่อเพิ่มอุณหภูมิของระบบให้สูงขึ้น
แต่ไม่ได้ปรับอัตราส่วนความเข้มข้นของแก๊สที่ป้อนเข้าไป
ผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็มีสิทธิที่จะแตกต่างออกไป
อันเป็นผลจากความเข้มข้นในเฟสของเหลว
(คือความเข้มข้นจริงที่เข้าทำปฏิกิริยา)
นั้นเปลี่ยนแปลงไป
ปิดท้ายด้วยรูปบรรยากาศการทำแลปของนิสิตป.โท ปี ๒ เมื่อเช้าวันวาน :) :) :)
ปิดท้ายด้วยรูปบรรยากาศการทำแลปของนิสิตป.โท ปี ๒ เมื่อเช้าวันวาน :) :) :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น