วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

ไปวัดแล้วได้อะไร MO Memoir : Friday 1 January 2553

เห็นข่าวรัฐบาลอยากให้สื่อมวลชนต่าง ๆ ช่วยกันเผยแพร่ธรรมะในปีนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๓) Memoir ฉบับแรกของปีพ.ศ.ใหม่นี้ก็เลยขอยกเอาเรื่องเกี่ยวกับธรรมะมาเป็นเรื่องแรก

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ มีโอกาสได้ไปเที่ยวที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง อยู่ในเขตอ.ศรีราชา จ.ชลบุรี (อยู่หลังสวนสัตว์เขาเขียว) สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้พึ่งจะมาตั้งที่นี่ได้ไม่นาน ทำนองว่ามีญาติโยมบริจาคที่ให้ และก็ไม่ได้เปิดให้เข้าได้ทุกวัน ในแต่ละสัปดาห์จะเปิดเป็นบางวันเท่านั้น และพอสิบโมงเช้าก็จะปิดแล้ว

มีคนจำนวนมากมาที่นี้เพื่อมาเป็นลูกศิษย์ลูกหาของพระรูปหนึ่งในด้านการฝึกดูจิตตัวเอง จะมีคนขับรถออกจากกรุงเทพมาแต่เช้ามืด เพื่อที่จะได้มาจองที่นั่งในศาลาได้ทัน จะได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อและส่งการบ้าน (การฝึกจิต) และซักถามปัญหา ที่ผมไปที่นั่นไม่ได้กะไปฟังธรรมอะไรหรอก บังเอิญมีคนชวนไปและเห็นอยู่ใกล้บ้าน (ที่ว่าใกล้คือต้องขับรถไปเกือบ 40 กิโล) ก็เลยแวะไปดู ได้ไปเป็นอะไรแปลก ๆ น่าคิดก็เลยทำให้อยากไปเก็บข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง

ส่วนเรื่องที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องแปลกน่าสนใจคือเรื่องอะไรนั้น เรื่องแรกก็ลองอ่านแผ่นประกาศของทางวัดที่ติดบอร์ดไว้ที่หน้าทางเข้าโรงอาหาร ที่ถ่ายรูปมาให้ดู ลองอ่านข้อความดูเองก่อนก็แล้วกันแล้วจะเห็นว่า จากชุมชนที่เคยอยู่กันอย่างสงบสันติ พอมีสถานปฏิบัติธรรมที่มีพระที่มีชื่อเสียงมาประจำ มีญาติโยมจากที่ต่าง ๆ เดินทางมาหา แล้วทำให้เกิดอะไรขึ้นกับคนที่เขาอยู่ในพื้นที่

เรื่องที่สองคือการจอดรถในวัดดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ในวัดนั้นมีการตีเส้นช่องจอดรถไว้ชัดเจน แต่ก็มีอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่ได้สนใจเส้นดังกล่าว เอารถเข้าจอดได้ก็เผ่นออกไปเลย ไม่ได้สนใจว่ารถตัวเองนั้นจอดคร่อมเส้นอยู่จนทำให้รถคันอื่นไม่สามารถเข้ามาจอดในช่องข้าง ๆ ได้ หรือไม่ก็จอดรถในที่เขาระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามจอด เพราะกีดขวางทางสัญจร ของรถหรือไม่ก็ของคนเดิน

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าแนวคำสอนของวัดนี้เขาเป็นไปในแนวใด ตามความคิดของผมนั้น (คิดเองเออเองนะ เพราะยังไม่เคยบวชเรียน และยังไม่เคยแม้แต่คิดจะบวชเรียน) หลักปฏิบัติพื้นฐานอย่างหนึ่งของศาสนาพุทธคือการมี "สติ" คือการรู้ว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไปและกำลังทำอะไรอยู่ หนึ่งในการฝึกให้ตนเองมีสติคือการฝึกสมาธิ ซึ่งตรงนี้แต่ละสำนักก็มีอุบายแตกต่างกันในการสอนภาคปฏิบัติ เช่นให้กำหนดลมหายใจ ให้เพ่งไปที่ ... เพียงอย่างเดียว ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนที่มีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้สนใจแต่ละคนควรเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสมกับสภาพของตนเอง อย่าไปคิดว่าของสำนักที่ตนเองศึกษาอยู่นั้นถูกต้องโดยที่ของสำนักอื่นนั้นผิด

หลังจากที่ฝึกให้ตัวเองมีสติได้แล้วจึงตามด้วยการเกิด "ปัญญา" แต่การเกิดปัญญานั้นก็ไม่ได้หมายความว่าพอตนเองมีสติแล้วจะเกิดปัญญาขึ้นทันที ตรงนี้ขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ การฝึกคิด และการสนทนา (เคยเรียนมาบ้างไหมว่ามีพระสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า ที่สามารถจดจำคำสอนที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ได้ทั้งหมด แต่ไม่สามารถตรัสรู้ได้สักที ในขณะที่บางรายฟังธรรมเพียงครั้งเดียวก็ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ทันที เอาไว้วันหลังจะเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟังในรูปแบบจากมุมมองของผม)

การฝึกสตินั้นไม่เพียงแต่ให้รู้ว่าตัวเองได้กระทำอะไรลงไปหรือกำลังกระทำอะไรอยู่ แต่ควรต้องฝึกให้รู้ด้วยว่าสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไปนั้นก่อผลกระทบอย่างไร ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี เดี๋ยวนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าหาวัด ไปวัดเป็นประจำ โดยหลงคิดว่าตนเองนั้นเป็นคนดี ฟังธรรมเป็นประจำ ถวายสังฆทานเป็นประจำ แต่คนเหล่านี้ก็เป็นพวกที่ฟังอย่างเดียวจริง ๆ โดยไม่เข้าใจอะไรเลย มีปัญหาอะไรก็เข้าหาวัดอย่างเดียว ไม่เคยนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากวัดมาปฏิบัติใช้ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ทำเหมือนวัดเป็นยาแก้ปวด เกิดเจ็บปวดอะไรก็กินยาแก้ปวดไว้ก่อน แทนที่จะหาว่าอาการเจ็บปวดนั้นเกิดจากโรคใด จากนั้นจึงทำการรักษาโรคนั้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

เริ่มต้นปีใหม่แล้ว ก็ขอให้สมาชิกทุกคนประสบแต่ความสุข ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจใด ๆ ตลอดทั้งปี

ไม่มีความคิดเห็น: