บทสนทนาข้างล่างผมดัดแปลงจากข้อความที่มีคนกดแชร์ต่อมาทาง
facebook
แล้วมันมาโผล่ที่หน้า
facebook
ของผม
กูรู้ :
คุณรู้ไหมว่าถ้าใช้ไอน้ำความดันสูง
42
barg, 370ºC เพื่อให้ความร้อน
1
Gcal/hr คุณต้องใช้ไอน้ำความดันสูง ปริมาณมากถึง
2.4
T/hr แต่ถ้าใช้ไอน้ำความดันต่ำ
2
barg, 200ºC คุณใช้แค่
2
T/hr ก็พอ
กูทำ :
มั่วป่าวคับ
ไอน้ำความดันสูงอุณหภูมิร้อนกว่าตั้งเยอะ
จะใช้ปริมาณมากกว่าได้ไงคับ
ที่พูดมันขัดความรู้สึกมากเลยคับ
กูรู้ :
การใช้ไอน้ำให้ความร้อน
คุณอาศัย latent
heat ต่อตันไอน้ำเป็นหลัก
ซึ่งยิ่งความดันสูง latent
heat ต่อตันไอน้ำที่ปล่อยออกมาก็ยิ่งลดลง
คุณลองกลับไปเปิดตำราดู
steam
table pressure-enthalpy diagramสิ
ส่วนที่เป็น sensible
heat จากการ
desuperheating
มันมีผลไม่เยอะมาก
อุณหภูมิสูงช่วยให้พื้นที่แลกเปลี่ยนความร้อนลดลงได้
แตไม่ได้ช่วยเรื่องปริมาณที่ใช้
กูทำ :
ระบบของผมต้องการให้ความร้อนแก่ของเหลวที่มีอุณหภูมิขาเข้า
220ºC
ให้ร้อนขึ้นไปอีก
ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมคับว่าไอน้ำอุณหภูมิ
200ºC
มันถ่ายเทความร้อนให้กับของเหลวอุณหภูมิ
220ºC
ได้อย่างไร
ผมไม่เถียงหรอกคับว่า
latent
heat ของไอน้ำที่ความดันต่ำกว่ามันมากกว่าของไอน้ำที่ความดันสูงกว่า
แต่ความร้อนมันต้องถ่ายเทจากด้านอุณหภูมิสูงไปยังด้านอุณหภูมิต่ำไม่ใช่เหรอคับ
โดยไม่สนว่าด้านอุณหภูมิสูงจะมีค่า
latent
heat หรือspecific
heat มากน้อยเท่าใด
การจะเลือกใช้ไอน้ำความดันเท่าใดในการให้ความร้อนอย่างแรกมันก็ต้องดูก่อนไม่ใช่เหรอคับว่าฝั่งรับความร้อนมีอุณหภูมิเท่าใด
จากนั้นจึงเลือกเอาไอน้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่ามาใช้
ต้นเรื่องข้างบนมันเป็นยังไง
ถ้าไม่เคยเห็นก็ไม่เป็นไรครับ
แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมกังวลหลังจากได้อ่านบทความต้นเรื่องคือเกรงจะมีคนไปจำฝังใจว่า
ในการใช้ไอน้ำในการให้ความร้อนนั้น
การใช้ไอน้ำความดันต่ำ
"ดีกว่า"
การใช้ไอน้ำความดันสูง
เพราะถ้าใช้ไอน้ำความดันต่ำจะใช้ไอน้ำ
"น้อยกว่าโดยน้ำหนัก"
เมื่อเทียบกับการใช้ไอน้ำความดันสูง
(ตรงนี้ผมขอหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า
"ปริมาณ"
ก่อน
เพราะมันไม่ชัดเจนว่ามันเป็น
"โดยน้ำหนัก"
หรือ
"โดยปริมาตร"
และความแตกต่างตรงนี้มันส่งผลต่อการทำงานในบางแง่)
ทั้ง
ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นมันยังมีปัจจัยอื่นที่ยังต้องพิจารณาเพิ่มอีก
ส่วนมันจะมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาทั้งหมดเท่าใดนั้น
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน
วันนี้ก็จะขอเล่าเฉพาะในส่วนที่ตนเองพอจะทราบอยู่บ้าง
แต่ก่อนอื่นเราลองมาดูคุณสมบัติของไอน้ำทั้ง
๒ ตัวในบทความที่จะขอใช้เป็นตัวอย่างใน
Memoir
ฉบับนี้กันก่อนนะครับ
ใครชอบรูปภาพก็ไปดูที่
Mollier
diagram ที่แนบท้ายบทความนี้ได้
หรือถ้าชอบตัวเลขก็เชิญดูได้จากตารางที่
๑ ซึ่งตัวเลขนี้ผมนำมาจากเว็บ
www.tlv.com
ที่สามารถป้อนค่าอุณหภูมิและความดันเข้าไป
แล้วมันจะแสดงค่าคุณสมบัติต่าง
ๆ ของไอน้ำที่อุณหภูมิและความดันนั้นมาให้
(ผมยกตัวเลขมาดื้อ
ๆ เลย มันมีตัวเลขทศนิยมกี่ตำแหน่งก็นำมาหมด)
เวลาที่ไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่ความดันใดความดันหนึ่งเย็นตัวลงเป็นน้ำ
(ของเหลว)
ที่อุณหภูมิจุดเดือดที่ความดันนั้น
จะมีการคายความร้อนออกมา
๒ ช่วงด้วยกัน
ช่วงแรก
:
คือไอน้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือด
เย็นตัวลงจนมีอุณหภูมิเท่ากับจุดเดือด
ความร้อนที่คายออกตรงนี้คำนวณได้จากค่า
enthalpy
ของไอน้ำร้อนยวดยิ่งลบด้วยค่า
enthalpy
ของไอน้ำอิ่มตัว
ในกรณีของไอน้ำอุณหภูมิ
200ºC
ความดัน
2
barg เย็นตัวลงเป็นไอน้ำอิ่มตัวที่อุณหภูมิ
136.676ºC
ความดัน
2
barg เช่นเดิม
จะมีการคายความร้อนออก
2865.89
- 2725.09 = 140.80 kJ/kg
ในกรณีของไอน้ำอุณหภูมิ
370ºC
ความดัน
42
barg เย็นตัวลงเป็นไอน้ำอิ่มตัวที่อุณหภูมิ
254.701ºC
ความดัน
42
barg เช่นเดิม
จะมีการคายความร้อนออก
3136.29
- 2799.26 = 377.03 kJ/kg
ช่วงที่สอง
:
คือไอน้ำที่อุณหภูมิจุดเดือด
ควบแน่นกลายเป็นน้ำที่อุณหภูมิจุดเดือด
ความร้อนที่คายออกตรงนี้คำนวณได้จากค่า
enthalpy
ของไอน้ำอิ่มตัวลบด้วยค่า
enthalpy
ของน้ำอิ่มตัวที่อุณหภูมิจุดเดือดนั้น
ในกรณีของไอน้ำอิ่มตัวที่ความดัน
2
barg (อุณหภูมิ
133.676ºC)
เย็นตัวลงเป็นน้ำอิ่มตัวที่อุณหภูมิ
136.676ºC
ที่ความดัน
2
barg เช่นเดิม
จะมีการคายความร้อนออก
2725.09
- 562.099 = 2162.99 kJ/kg
ในกรณีของไอน้ำอิ่มตัวที่ความดัน
42
barg (อุณหภูมิ
254.701ºC)
เย็นตัวลงเป็นน้ำอิ่มตัวที่อุณหภูมิ
254.701ºC
ที่ความดัน
42
barg เช่นเดิม
จะมีการคายความร้อนออก
2799.26
- 1108.66 = 1690.6 kJ/kg
จะเห็นนะครับว่าปริมาณความร้อนที่ไอน้ำอิ่มตัวคายออกมาต่อหน่วยน้ำหนัก
ในขณะที่เกิดการควบแน่นนั้น
มันมีค่ามากกว่าปริมาณที่ไอน้ำร้อนยวดยิ่งคายออกมาในขณะที่มันเย็นตัวลงกลายเป็นไอน้ำอิ่มตัว
ด้วยเหตุนี้เราจึงมักใช้ไอน้ำอิ่มตัวในการให้ความร้อน
(แบบไม่ได้มีการสัมผัสกันโดยตรง
เช่นในกรณีของการใช้เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน)
แต่ถ้าเป็นการให้ความร้อนแบบที่มีการสัมผัสกันโดยตรง
เช่นด้วยการฉีดไอน้ำเข้าไปในระบบและไม่ต้องการให้เกิดการควบแน่นของน้ำ
ไอน้ำร้อนยวดยิ่งก็จะเหมาะกว่า
ถ้าลองไปดูที่
Mollier
diagram ที่แนบมาในหน้าสุดท้าย
(หรือจะไปเปิด
steam
table ดูก็ได้)
ก็จะเห็นอีกว่าค่า
latent
heat (ผลต่างระหว่างค่า
enthalpy
ของไอน้ำอิ่มตัวและน้ำอิ่มตัว
หรือระยะห่างในแนวนอนระหว่างด้านขวากับด้านซ้ายของเส้นโค้งรูปโดม)
ต่อหน่วยน้ำหนักของไอน้ำอิ่มตัวที่ความดันต่ำ
มีค่ามากกว่าของไอน้ำอิ่มตัวที่ความดันสูง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไอน้ำอิ่มตัวที่มี
"น้ำหนัก"
เท่ากัน
แต่ความดันต่างกัน
เวลาที่ไอน้ำอิ่มตัวที่ความดันต่ำกว่ากลายเป็นของเหลวจะมีการคายความร้อนออกมา
"มากกว่า"
ของไอน้ำอิ่มตัวที่ความดันสูงกว่า
แต่อย่างเพิ่งด่วนสรุปทันทีเลยนะครับว่าถ้าคิดจะใช้ไอน้ำให้ความร้อน
ควรเลือกใช้ไอน้ำที่ความดันต่ำเพราะ
"ดีกว่า"
ในแง่ที่ว่าใช้ปริมาณโดย
"น้ำหนัก"
ที่น้อยกว่าการใช้ไอน้ำที่ความดันสูง
น่าจะสักปีที่แล้ว
มีนิสิตทำการศึกษาเรื่องการออกแบบและเปรียบเทียบระบบแลกเปลี่ยนความร้อนของกระบวนการผลิตหนึ่งในหลากหลายรูปแบบ
ผลออกมาดีจนกระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษานำมาเขียนเป็นบทความส่งไปตีพิมพ์
ปรากฏว่าผู้ประเมินบทความ
(ที่เรียกว่า
reviewer)
นั้นให้ผ่านเกือบทุกคนครับเกือบจะได้ตีพิมพ์อยู่แล้ว
ยกเว้นรายหนึ่งที่สังเกตพบว่าผลงานดังกล่าวมีความผิดพลาดที่สำคัญคือ
มีการ "นำเอาความร้อนจากสายที่ต้องการทำให้เย็นลง
ไปถ่ายเทให้กับสายที่ต้องการเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น
ทั้ง ๆ ที่สายที่ต้องการทำให้เย็นลงนั้นมีอุณหภูมิ
"ต่ำกว่า"
อุณหภูมิของสายที่ต้องการทำให้ร้อนขึ้น"
บทความดังกล่าวจึงตกไป
ในการทำให้สายใดสายหนึ่งร้อนขึ้นด้วยการนำเอาอีกสายหนึ่งมาถ่ายเทความร้อนให้
สายที่ถ่ายเทความร้อนให้จำเป็นต้องมี
"อุณหภูมิ"
ที่สูงกว่าอุณหภูมิของสายที่ต้องการทำให้ร้อนขึ้น
ถ้าเราเลือกใช้ไอน้ำอิ่มตัวในการให้ความร้อน
เราก็ต้องมั่นใจว่าอุณหภูมิที่ไอน้ำอิ่มตัวควบแน่นนั้นต้องสูงกว่าอุณหภูมิของสายที่จะมารับความร้อน
ซึ่งตัวนี้เป็นตัวกำหนด
"ความดันขั้นต่ำ"
ของไอน้ำที่จะใช้ให้ความร้อนได้
โดยยังไม่ต้องสนใจว่าต้องการความร้อนในปริมาณเท่าใด
จากนั้นจึงค่อยมาพิจารณาดูว่าจะเลือกใช้ไอน้ำที่ความดันเท่าใดมาให้ความร้อน
ซึ่งถ้าโรงงานมีไอน้ำใช้งานอยู่ก่อนแล้ว
ตัวเลือกมันก็มีไม่มาก
(หรืออาจไม่มีเลย)
แต่ถ้าเป็นการเริ่มจากศูนย์คือยังไม่มีโรงงานเลย
มันก็เลือกได้เยอะหน่อย
สิ่งสำคัญ
"ปริมาตรจำเพาะ"
ของไอน้ำและ
"ระยะห่าง"
ระหว่างแหล่งกำเนิดไอน้ำกับแหล่งที่ต้องการใช้ไอน้ำ
ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการพิจารณา
เพราะปัจจัยเหล่านี้มันส่งผลต่อขนาดท่อและความดันลด
อุณหภูมิใช้งานเป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดเกรดของวัสดุที่ใช้ทำท่อ
ที่อุณหภูมิเดียวกันแต่ความดันต่างกัน
ส่งผลให้อุปกรณ์มีความหนาต่างกัน
อุปกรณ์ที่รับความดันมากกว่าต้องการความหนาของผนังที่มากกว่า
แต่ถ้าต่างอุณหภูมิกันแม้ว่าจะอยู่ที่ความดันเดียวกัน
อุปกรณ์ที่ทำงานที่อุณหภูมิสูงกว่าจะต้องทำจากวัสดุที่ทนอุณหภูมิได้สูงกว่า
มันหมายถึงการเลือกใช้วัสดุคนละชนิด
(และแน่นอนว่าวัสดุที่ทนอุณหภูมิสูงมันจะแพงกว่าวัสดุที่ทนอุณหภูมิได้ต่ำกว่า
อันนี้อย่างเพิ่งเอาเรื่องระบบ
cryogenic
มายุ่งนะ)
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อขึ้นอยู่กับอัตราการไหลโดย
"ปริมาตร"
ของของไหลที่ไหลอยู่ในท่อนั้น
ลองกลับไปดูค่าในตารางที่
๑ ใหม่นะครับ
ค่าปริมาตรจำเพาะของไอน้ำร้อนยวดยิ่งความดัน
42
barg อุณหภูมิ
370ºC
เท่ากับ
0.0230449
m3/kg ในขณะที่
ค่าปริมาตรจำเพาะของไอน้ำร้อนยวดยิ่งความดัน
2
barg อุณหภูมิ
200ºC
เท่ากับ
0.73242
m3/kg หรือมากกว่าถึงกว่า
30
เท่า
ดังนั้นเพื่อที่จะจ่ายไอน้ำในปริมาณโดย
"น้ำหนัก"
ที่เท่ากัน
ท่อส่งไอน้ำความดัน 2
barg อุณหภูมิ
200ºC
จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าท่อส่งไอน้ำความดัน
42
barg อุณหภูมิ
370ºC
อยู่
5-6เท่า
(คิดที่ความเร็วเชิงเส้น
(m/s)
ของการไหลในท่อเท่ากัน)
ยิ่งระยะห่างระหว่างแหล่งกำเนิดไอน้ำและแหล่งที่ต้องการใช้ไอน้ำนั้นอยู่ห่างกันมาก
ความดันลด (pressure
drop) ในระบบท่อส่งก็จะมากตามไปด้วย
ในกรณีเช่นนี้การใช้ไอน้ำความดันสูงมันดีกว่าเพราะส่งไปได้ไกลกว่า
(คล้าย
ๆ กับการส่งกระแสไฟฟ้าเป็นระยะทางไกล
ๆ จะส่งด้วยความต่างศักย์ที่สูง
เพื่อลดการสูญเสีย)
แล้วระหว่างท่อโลหะเกรดสูง
(โลหะราคาแพง)
แต่มีขนาดเล็ก
กับท่อโลหะเกรดต่ำกว่า
(โลหะราคาถูก)
แต่มีขนาดใหญ่กว่า
แบบไหนจะมีต้นทุนในการวางท่อมากกว่ากัน
อันนี้ผมคงตอบไม่ได้ครับ
ใครโชคดีได้รับงานนี้ไปทำก็คงต้องไปพิจารณาเอาเองครับ
ข้างต้นเป็นบางส่วนของปัจจัยที่ควรต้องพิจารณา
(เท่าที่ผมคิดออก)
ในการตัดสินใจว่าจะผลิตไอน้ำหรือซื้อไอน้ำที่ความดันเท่าใดมาใช้งาน
ถ้าเราเลือกที่จะผลิตแต่ไอน้ำความดันสูง
เราสามารถทำให้ไอน้ำความดันสูงนั้นกลายเป็นไอน้ำความดันต่ำได้ด้วยการใช้
desuperheater
หรือวาล์วลดความดัน
แต่ผมไม่เคยเห็นใครเขาเลือกที่จะผลิตไอน้ำความดันต่ำ
และค่อยใช้คอมเพรสเซอร์เพิ่มความดันให้กับไอน้ำความดันต่ำนั้นเพื่อให้มันกลายเป็นไอน้ำความดันสูง
(ถ้ามีจริงก็คงเป็นกลุ่มวิศวกรส่วนน้อย)
อีกวิธีการหนึ่งที่ใช้ผลิตไอน้ำความดันต่ำเพื่อนำไปใช้งานได้แก่การทำ
"flash
steam" คือเอา
condensate
ของไอน้ำความดันสูง
(ซึ่งมีอุณหภูมิสูง)
มาลดความดันให้ต่ำลง
condensate
ส่วนหนึ่งจะเปลี่ยนสภาพจากของเหลวเป็นไอน้ำที่ความดันต่ำ
และสามารถนำไอน้ำความดันต่ำที่เกิดขึ้นนี้ไปใช้ประโยชน์ต่อได้
(เช่นนำไปใช้ให้ความร้อน)
แต่วิธีการนี้จะเหมาะสมถ้าหากปริมาณการใช้ไอน้ำความดันสูงที่หน่วยใดหน่วยหนึ่งมีมากพอ
และมีหน่วยที่ต้องการใช้ไอน้ำความดันต่ำอยู่ใกล้
ๆ กัน (แต่ไม่ได้ต้องการไอน้ำความดันต่ำในปริมาณมาก)
(ในวงการไอน้ำเวลากล่าวถึง
condensate
มันหมายถึง
steam
condensate คือน้ำ
(ของเหลว)
ที่เกิดจากการควบแน่นของไอน้ำ
แต่ถ้าเป็นวงการขุดเจาะแก๊สธรรมชาติมันหมายถึงไฮโดรคาร์บอนที่ควบแน่นเป็นของเหลว)
ผมเห็นว่าสิ่งที่เขียนมาข้างต้นมันไม่ได้เป็นเคล็ดลับหรือความรู้ขั้นสูงอะไรเลยครับ
ทั้งหมดเป็นเรื่องพื้นฐานทั้งนั้น
ถ้าเราพอจะมี "เวลาว่าง"
ที่จะคิดทบทวนงานที่ทำ
แล้วนำเอาสิ่งที่เคยเรียนรู้มานั้นมาจับเข้ากับงานที่ทำ
ก็จะพบว่ามันก็เป็นสิ่งที่มีการเรียนการสอนอยู่แล้ว
เพียงแต่ด้วยหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย
และบรรยากาศการทำงานมันก็เลยทำให้ให้ใครต่อใครหลงลืมหรือสับสนไปบ้าง
ว่าแต่
"เวลาว่าง"
ที่จะทำเช่นนั้นจะพอมีอยู่หรือเปล่าเท่านั้นเองครับ
เพราะเดี๋ยวนี้เห็นพนักงานบริษัทจำนวนไม่น้อยแม้แต่วันหยุดก็ยังต้องไปทำกิจกรรม
CSR
เพื่อภาพลักษณ์ของบริษัท
เวลาจะไปหาคนมาใช้ชีวิตครอบครัว
(สำหรับคนที่ยังไม่มี)
หรือมีให้กับครอบครัว
(สำหรับคนที่มีอยู่แล้ว)
ยังแทบจะหากันไม่ได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น