"อาจารย์ซื้อกระดานชนวน
ดินสอหิน ๑ แท่ง
ส่วนไม้บรรทัดทำเอากับไม้ไผ่"
ยังจำได้ว่าตอนเด็ก
ๆ เวลาคุณแม่พาไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่พัทลุง
ก็จะไปขึ้นรถไฟชั้น ๓
ที่สถานีรถไฟธนบุรี
(ที่ตอนนี้เป็นอาคารของโรงพยาบาลศิริราชไปแล้ว)
ขบวนรถเร็วธนบุรี-สุไหลโกลก
ออกประมาณทุ่มเศษ ตู้รถไฟชั้น
๓ ตอนนั้นเป็นอย่างไรตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น
(เรียกว่าอนุรักษ์ไว้ดีมาก)
ถึงพัทลุงก็นั่งรถย้อนขึ้นมายังบ้านทุ่งขึงหนัง
ตอนนั้นยังไม่มีการตัดถนนสายเอเชีย
(เส้น
AH2
ที่บางส่วนใช้แนวถนนเดิม
และมีการตัดใหม่บางแนวเพื่อให้เส้นทางมันตรงขึ้น
ไม่แวะเข้าตัวอำเภอหรือย่านชุมชม)
เส้นทางถนนจากตัวจังหวัดไปยังอำเภอควนขนุนในขณะนั้นก็คือแนวทางหลวงสาย
๔๐๔๘ ในปัจจุบัน
ผมไม่ได้ลงไปพัทลุงเป็นเวลาหลายปีแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่ลงไปจำได้ว่าสภาพเส้นทางสาย
๔๐๔๘ ในอดีตเป็นอย่างไร
เวลาเกือบ ๔๐ ปีผ่านไปมันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
คือยังเป็นถนนเล็ก ๆ ๒
ช่องทางจราจรเหมือนเดิม
ส่วนตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ที่บ้านคุณตาจะมีเล้าไก่กับเล้าเป็ดอยู่ร่วมกัน
ส่วนคอกหมูจะอยู่ห่างออกไปหน่อย
คงเป็นเพราะว่ากลิ่นขี้หมูมันแรง
งานสนุกสำหรับเด็ก ๆ ตอนเช้า
ๆ คือการเข้าไปเก็บไข่ในเล้า
เพราะต้องไปควานหาตามกองฟางว่ามันไปออกไข่ไว้ที่ไหนบ้าง
อีกงานหนึ่งก็คือการอาบน้ำให้หมู
ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก
นอกจากเอาสายยางฉีดน้ำใส่หมู
พร้อมทั้งฉีดล้างคอกหมูไปด้วยในตัว
ตกค่ำเคยช่วยคุณยายนั่งเรียงมะม่วงในถัง
คือเรียงเอาไว้ตามขอบถัง
ตรงกลางว่างเอาไว้
จากนั้นก็จุดธูปปักลงไป
แล้วก็ปิดฝาถังเอาไว้
ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม
มารู้เอาตอนโตว่าเป็นวิธีการบ่มผลไม้แบบชาวบ้าน
ตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องเก็บผลไม้
(พวกมะม่วง
กล้วย)
ตั้งแต่ตอนมันดิบ
แล้วนำมาบ่มให้สุก
ทำไมไม่ให้มันสุกคาต้นไปเลย
พอตัวเองมาปลูกบ้านอยู่เอง
ปลูกทั้งกล้วยและไม้ผลก็เลยเข้าใจ
เพราะถ้าปล่อยไว้ให้มันสุกคาต้นเมื่อใดเป็นอันไม่ได้กิน
กระรอกมันชิงกินเสียก่อน
ก็เลยต้องรีบเก็บก่อนที่มันสุกจนกระรอกมากินได้
บ้านทุ่งขึงหนังเวลานั้น
แม้ว่าจะห่างจากตัวจังหวัดเพียงแค่
๑๐ กิโลเมตร ถูกจัดว่าเป็น
"พื้นที่สีแดง"
เพราะอยู่ในการแทรกซึมของคอมนิวนิสต์
ดังนั้นพอตกค่ำก็จะอยู่กันแต่ในบ้าน
ถนนผ่านหน้าบ้านนั้นแทบจะไม่มีรถวิ่งผ่านเลย
โทรทัศน์ก็มีให้ดูเพียงช่องเดียวคือช่อง
๑๐ หาดใหญ่ (ที่สถานีส่งอยู่ห่างไปร่วม
๑๐๐ กิโลเมตร)
ดังนั้นแต่ละบ้านต้องมีเสาโทรทัศน์ที่สูง
แถมยังต้องมีบูสเตอร์ช่วยเพิ่มสัญญาณให้อีก
จึงจะพอดูกันได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่นั่นเวลานั้นมืดมาก
มองขึ้นไปทีใดก็จะเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด
รวมทั้งทางช้างเผือกด้วย
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นคุณลุง
มีตำแหน่งเป็นนายอำเภออยู่ที่ควนขนุน
ท่าทางจะดุไม่ใช่เล่น
คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าคุณลุงท่านนี้ทางฝ่ายผกค.
(ย่อมาจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์)
ตั้งค่าหัวเอาไว้แพงกว่าผู้ว่าราชการจังหวัดอีก
(จริงเท็จอย่างไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพียงแต่ได้ยินผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟัง
ก็เลยขอบันทึกเอาไว้เสียหน่อย)
ตอนเรียนจบกลับมาทำงานใหม่
ๆ เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว
พบกับนิสิตภาคนอกเวลาราชการคนหนึ่ง
เขาเป็นคนพัทลุง
เขาเห็นผมมีนามสกุลเดียวกับนายอำเภอคนนั้น
ก็เลยถามผมว่าเป็นญาติกันหรือเปล่า
ผมก็ตอบว่าใช่ เขาก็เล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก
ๆ นั้นตอนเรียนหนังสืออยู่โรงเรียน
ถ้าเด็ก ๆ ซนกันมากคุณครูก็จะบอกว่า
"เดี๋ยวจะให้นายอำเภอ
..(ชื่อคุณลุงผม)..
มาจับตัวไป"
เท่านั้นเด็ก
ๆ ก็จะหยุดซน
ก่อนผมแต่งงาน
ผมกับแฟนก็นำการ์ดแต่งงานไปมอบให้แกที่บ้าน
(ก่อนแกจะเสียไม่นาน)
ตอนนั้นแกก็ป่วยอยู่และนั่งพักผ่อนอยู่บนเตียงในห้องนอน
พอออกมาแฟนก็บอกว่าคุณลุงคนนี้น่ากลัวจัง
ที่แฟนผมคิดเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะว่าขนาดนอนป่วยอยู่บนเตียงในบ้านแท้
ๆ ยังวางปืนลูกโม่เอาไว้หัวเตียงแบบแขกไปใครมาก็เห็นกันหมด
คุณตาผมท่านเสียไปด้วยอุบัติเหตุทางรถตั้งแต่ตอนผมยังเป็นเด็ก
งานศพท่านก็เป็นงานใหญ่จัดที่วัดทุ่งขึงหนัง
คุณแม่เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นที่วัดยังไม่มีเมรุ
คุณลุงอีกท่านที่เป็นตำรวจก็เป็นผู้ไปเช่าเมรุชั่วคราวมาทำพิธีเผาศพให้
ทำให้นึกถึงอีกงานหนึ่งที่ตอนเด็กก็ได้ไป
คุณน้าท่านหนึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถเช่นกัน
ดูเหมือนว่าจะเผากันกลางแจ้งในเมรุชั่วคราว
พอทำพิธีเสร็จก่อนจะเผาจริงแขกต่าง
ๆ ที่มางานต่างก็กลับกันเลย
เพิ่งจะมาเข้าใจตอนโตว่าทำไม
คุณตาคุณยายผมแกส่งลูก
ๆ มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพกันเกือบทุกคน
ด้วยความที่แกมีอาชีพเป็นครูแกก็เลยมีจดหมายเขียนถึงลูก
ๆ ที่มาเรียนที่กรุงเทพเสมอ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนถึงใครบ้าง
แต่เข้าใจว่าคุณป้าที่เป็นพี่คนโตสุดเป็นคนเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี
เพราะเวลามีงานทีใด
จดหมายที่คุณตาเขียนเอาไว้ที่นำมาพิมพ์ลงหนังสือแจกในงานก็จะได้มาจากแก
เรื่องราวที่คุณตาเขียนไว้เป็นดังเสมือนบันทึกชีวิตประจำวันของชาวบ้านธรรมดา
ในรูปจดหมายถึงลูกที่เขียนเอาไว้โดยครูโรงเรียนธรรมดาคนหนึ่ง
ดังนั้นมุมมองของสิ่งต่าง
ๆ
จึงย่อมที่จะแตกต่างไปจากบันทึกแบบทางการหรือข้าราชการผู้มีอำนาจปกครอง
อย่างเช่นจดหมายฉบับหนึ่งที่นำมาให้ดูในวันนี้
นำมาจากหนังสืองานที่ระลึกงานศพของคุณยายของผม
(วันเสาร์ที่
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๙)
ซึ่งคุณป้าของผมที่เป็นลูกคนโตรวบรวมไว้และเคยนำมาจัดพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกตอนคุณยายผมอายุ
๘๐ และ ๙๐ ปี (ในบันทึกท้ายจดหมาย
"ดิฉัน"
ซึ่งเป็นผู้เขียนบันทึกท้ายจดหมายนั้นคือคุณป้าของผม
ท่านเสียไปก่อนคุณยายผมอีก)
ที่ผมเห็นว่าจดหมายฉบับนี้น่าสนใจก็คือ
การที่คุณตาท่านได้เล่าเรื่องการไปเรียนหนังสือที่จังหวัดตรังเมื่อปีพ.ศ.
๒๔๖๑
หรือเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว
(ช่วงกลางรัชกาลที่
๖)
เรื่องราวเป็นอย่างไรก็ขอให้อ่านเอาเองก็แล้วกัน
ในจดหมายฉบับนี้มีการกล่าวถึง
"โรงเรียนเพาะปัญญา"
และ
"โรงเรียนวิเชียนมาต"
(ในจดหมายไม่มีสระอุ)
ในหน้าเว็บ
http://data.bopp-obec.info/web/index_view_history.php?School_ID=1092140024&page=history
ให้รายละเอียดประวัติของของโรงเรียนเพาะปัญญาเอาไว้ว่า
"ที่ตั้งโรงเรียนเพาะปัญญา
ในพระอุปถัมภ์ฯ เป็นโรงเรียนประถมศึกษา
ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม
(ตรัง-พัทลุง)
หมู่ที่
5
ตำบลนาโยงใต้
อำเภอเมือง จังหวัดตรัง
รหัสไปรษณีย์ 92170
มีพื้นที่
13
ไร่
54.4
ตารางวา
มหาอำมาตย์โทพระยารัษฎานุประดิษฐ์
มหิศรภักดี (คอซิมบี้
ณ ระนอง)
สมุหเทศาภิบาล
มณฑลภูเก็ต เป็นผู้จัดตั้งเมื่อ
พ.ศ.
2456
"เพาะปัญญา"
เป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6
ชาวตำบลนาโยงใต้
และชาวจังหวัดตรังถือเป็นมงคลนามอย่างยิ่ง
เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้
(ครั้งที่
2)
เสด็จถึงจังหวัดตรัง
ได้พระราชทานนามและทรงเปิดโรงเรียนนี้
เมื่อวันที่ 3
กรกฎาคม
2458"
ส่วนโรงเรียนวิเชียรมาตุนั้น
ประวัติบนหน้าเว็บ
http://data.bopp-obec.info/web/index_view_history.php?School_ID=1092140330&page=history
ให้รายละเอียดเอาไว้ว่า
"โรงเรียนวิเชียรมาตุ
ถือกำเนิดขึ้นจากพระราชประสงค์อันกอปรด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวง
พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5
แห่งบรมราชจักกรีวงศ์
เมื่อวันที่
21
สิงหาคม
พุทธศักราช 2455
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวง
เสด็จประพาสจังหวัดตรังมีพระราชปรารภว่า
พื้นภูมิทำเล ตำบลทับเที่ยง
อำเภอเมือง จังหวัดตรัง
เหมาะสมดีควรมีสถานศึกษา
จึงได้พระราชทานนามว่า
“โรงเรียนวิเชียรมาตุ”
ซึ่งหมายความถึงพระราชชนนีของพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
โรงเรียนวิเชียรมาตุ
ได้ดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันที่
18
พฤษภาคม
2459
เสร็จเรียบร้อย
ในวันที่
1
พฤษภาคม
2459
และเมื่อวันที่
1
กรกฎาคม
2459
ทางจังหวัดได้รับโรงเรียนวิเชียรมาตุเข้าในทะเบียนโรงเรียนของจังหวัดตรัง
ในวันที่
1
กรกฎาคม
2459
โรงเรียนวิเชียรมาตุเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งใหม่"
แสดงว่าตอนที่คุณตาของผมไปเรียนหนังสือที่สองโรงเรียนนี้
โรงเรียนเหล่านี้เพิ่งจะเปิดได้ไม่กี่ปีเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น