วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

อเมริกาไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตย MO Memoir : Monday 27 February 2555


สงครามเกาหลีเริ่มต้นในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๕ มิถุนายน ปึค.ศ. ๑๙๕๐ (พ.ศ. ๒๔๙๓) เมื่อกองทัพเกาหลีเหนือยกพลข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ องศาเหนือ (38 parallel line) เข้ายึดประเทศเกาหลีใต้
กองทัพเกาหลีใต้ในขณะนั้นจัดว่าเพิ่มเริ่มจัดตั้ง ขาดแคลนทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และประสบการณ์ โดยเฉพาอย่างยิ่งการสู้กับรถถังและอาวุธต่อสู้รถถัง ภายในช่วงไม่กี่วันแรกของการรบ กองทัพเกาหลีเหนือสามารถตีฝ่าและทำลายกองทัพเกาหลีใต้ที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดนตลอดทั้งแนวชายแดนให้ถอยร่นลงทางใต้อย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในกองกำลังของกองทัพเกาหลีใต้ที่ทำหน้าที่ปกป้องชายแดนด้านติดเกาหลีเหนือคือกองพลที่ ๑ ที่ทำหน้าที่ป้องกันกรุงโซลทางด้านเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๑ ของกองทัพบกเกาหลีใต้ในขณะนั้นคือพันเอก Paik Sun Yup ผู้มีอายุเพียง ๒๙ ปี (ย่างเข้า ๓๐ ปี)

กองกำลังที่พอจะทำการสู้รบกับกองทัพเกาหลีเหนือได้ในขณะนั้นคือกองทัพสหรัฐอเมริกาที่มีฐานประจำการหลักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริการีบส่งกำลังส่วนหนึ่งเข้ามาช่วยกองทัพเกาหลีใต้ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกำลังที่เหนือกว่าของกองทัพเกาหลีเหนือได้ ดังนั้นภายในปลายเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน (หรือเพียงเดือนเศษหลังจากเริ่มสงคราม) ทั้งกองทัพสหรัฐอเมริกาและกองทัพเกาหลีใต้ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็มาถูกล้อมกรอบไว้รอบ ๆ เมืองชายทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่มีชื่อว่า "Pusan"
ด้วยความช่วยเหลือของกำลังเสริมของสหรัฐอเมริกาและการสนับสนุนทางอากาศ ทำให้กองกำลังสหประชาชาติสามารถรักษาที่มั่นรอบเมือง Pusan เอาไว้ได้ (ในขณะนั้นถือว่าสหประชาชาติได้เข้าร่วมกับฝ่ายเกาหลีใต้เพื่อสู้รบกับเกาหลีเหนือ โดยที่กำลังรบหลักเป็นทหารสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ส่วนการบังคับบัญชาอยู่ภายใต้กองทัพสหรัฐอเมริกา)

จนกระทั่งวันศุกร์ที่ ๑๕ กันยายน ปีค.ศ. ๑๙๕๐ ทหารสหรัฐร่วมกับทหารเกาหลีใต้ได้ยกพลขึ้นบกที่เมือง Inchon ที่อยู่ทางตะวันตกของเมือง Seoul ซึ่งถือว่าเป็นการตีตลบหลังกองทัพเกาหลีเหนือ จากนั้นกองกำลังที่ถูกปิดล้อมอยู่รอบเมือง Pusan ก็ทำการผลักดันกองทัพเกาหลีเหนือให้ถอยร่นกลับไปอย่างรวดเร็ว และในวันพุธที่ ๑๘ ตุลาคม ปีค.ศ. ๑๙๕๐ กองทัพเกาหลีใต้กองพลที่ ๑ ที่นำโดยนายพล Paik Sun Yup ก็สามารถเข้ายึดเมือง Pyongyang ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาหลีเหนือเอาไว้ได้
การรบจากเขตเมือง Pusan จนถึงวันที่ยึดเมือง Pyongyang นั้นกินเวลาไม่ถึงเดือน ทำให้ทหารผ่ายกองกำลังสหประชาชาติ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้) คาดหวังว่าน่าจะใช้โอกาสนี้ในการรวมประเทศเกาหลีให้เป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นการรบจึงดำเนินต่อไปโดยการไล่ต้อนทหารเกาหลีขึ้นไปทางทิศเหนือ ไปจนใกล้ถึงแม่น้ำ Yalu ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างเกาหลีเหนือกับประเทศจีน และในวันพุธที่ ๒๕ ตุลาคมปีค.ศ. ๑๙๕๐ หรือเพียงสัปดาห์เดียวหลังจากที่ กองทัพเกาหลีใต้กองพลที่ ๑ ที่นำโดยนายพล Paik Sun Yup สามารถเข้ายึดเมือง Pyongyang ได้ ทหารกองกำลังดังกล่าวก็ได้กับดักที่สร้างเอาไว้บริเวณเมือง Unsanโดยกองกำลังทหารขนาดใหญ่ที่มีเหนือกว่า โดยที่กองทัพสหประชาชาติไม่ทราบว่ามีกองกำลังขนาดนี้ตั้งมั่นอยู่ในบริเวณดังกล่าว กองทัพดังกล่าวคือกองทหารจากประเทศจีนคอมมิวนิสต์

และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้โลกได้รับรู้ว่าจีนคอมมิวนิสต์ได้เข้าร่วมรบในสงครามเกาหลีแล้ว สงครามเกาหลีจึงกลายเป็นสงครามการต่อสู้ระหว่างกองทัพสหรัฐที่ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้าน conventional warfare (การรบตามแบบ) ในขณะนั้น และกองทัพจีนคอมมิวนิสต์ที่ถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้าน guerrilla warfare (การรบนอกแบบหรือการรบแบบกองโจร)

 รูปที่ ๑ แผนที่คาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบัน (1) กรุง Seoul ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาหลีใต้ (2) เมือง Pusan อันเป็นที่มั่นสุดท้ายของการล่าถอย (3) เมือง Inchon ซึ่งเป็นสถานที่ที่กองทัพสหรัฐอเมริกายกพลขึ้นบกเพื่อตีโอบหลังทัพเกาหลีเหนือ (4) เมือง Pyongyang ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาหลีเหนือ (5) แม่น้ำ Yalu ซึ่งเป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือกับจีนคอมมิวนิสต์ (6) เมือง Unsan ซึ่งเป็นตำแหน่งที่กองพลที่ ๑ ของกองทัพเกาหลีใต้ปะทะกับกองทัพจีนคอมมิวนิสต์เป็นครั้งแรก (ภาพจาก http://mag.longdo.com)

ผมเกิดและเติบโตขึ้นมาในช่วงที่ประเทศยังบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งเราไปลอกแบบมาจากสหรัฐอเมริกา กล่าวคือการเป็นหรือมีส่วนร่วมกับคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่เมื่อได้เดินทางไปศึกษาที่อังกฤษในยุคที่สงครามเย็นยังดำเนินอยู่ (ผมไปอยู่ที่นั่นก่อนเกิดเหตุการณ์การทำลายกำแพงเบอร์ลิน และอยู่ในยุโรปขณะที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว) ผมกลับพบว่าที่ประเทศอังกฤษมีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และก็มีการส่งตัวแทนลงเลือกตั้งด้วย และไม่ใช่เพียงประเทศอังกฤษเท่านั้น อีกหลายประเทศในยุโรปตะวันตก (ที่เรียกตัวเองว่าเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตย) ก็มีพรรคคอมมิวนิสต์ด้วย

รูปที่ ๒ หน้าปกหนังสือ "From Pusan to Punmunjom" เขียนโดยนายพล Paik Sun Yup ซึ่งได้เป็นนายทหารยศพลเอกคนแรกของกองทัพเกาหลีใต้ (ตอนอายุเพียงแค่ ๓๐ ต้น ๆ เท่านั้นเอง) หนังสือฉบับนี้ดูเหมือนจะพิมพ์ครั้งแรกในปีค.ศ. ๑๙๙๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) แต่ฉบับที่ผมซื้อมาเป็นฉบับที่พิมพ์ในปีค.ศ. ๒๐๐๗ (พ.ศ. ๒๕๕๐) ผมซื้อมาจากร้านขายหนังสือลดราคาที่ชั้นใต้ดินของอาคารจามจุรีสแควร์

ผู้นำทัพของกองกำลังสหประชาชาติไม่ได้คาดว่าจีนคอมมิวนิสต์จะเข้าแทรกแซงการรบในคาบสมุทรเกาหลี เมื่อต้องเผชิญกับกองกำลังที่มีจำนวนพลมากกว่าหลายเท่า กองกำลังสหประชาชาติถึงกับต้องถอยร่นลงมาใต้เส้นขนานที่ ๓๘ องศาเหนืออีกครั้ง กองทัพจีนคอมมิวนิสต์นั้นเลือกที่จะโจมตีทหารเกาหลีใต้ที่มีความหวาดกลัวทหารจีนเป็นทุนเดิม (จากความเชื่อของพวกเขาว่าทหารจีนนั้นเหนือกว่า) และขาดแคลนการสนับสนุนอาวุธหนัก โดยหลีกเลี่ยงการปะทะกับทหารสหรัฐอเมริกาที่มีอำนาจการยิงสนับสนุนที่สูงกว่า และภายในต้นเดือนมกราคมปีค.ศ. ๑๙๕๑ (พ.ศ. ๒๔๙๔) กองกำลังสหประชาชาติก็ต้องละทิ้งกรุง Seoul อีกครั้ง แต่การล่าถอยครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การตั้งหลักเพื่อรอจังหวะการตีโต้กลับ โดยที่ยังคงรักษาความต่อเนื่องของแนวรบจากชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกจนถึงชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเอาไว้ได้

พอถึงปลายเดือนมกราคมปีค.ศ. ๑๙๕๑ กองกำลงสหประชาชาติก็เริ่มทำการรุกกลับขึ้นเหนืออย่างเป็นระบบ และภายใน ๓ เดือน (เดือนเมษายนปีค.ศ. ๑๙๕๑) ก็สามารถกลับไปวางแนวตั้งรับที่บริเวณเส้นขนานที่ ๓๘ องศาเหนือได้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งเปรียบเสมือนกับการรบที่ดำเนินมา ๑๐ เดือนนั้นได้กลับมายังจุดเริ่มต้นของมันอีก

รูปที่ ๓ จากหนังสือหน้า ๒๓๔ ซึ่งได้กล่าวถึงแผนการยึดอำนาจรัฐบาลเกาหลีใต้ของกองทัพสหรัฐ

ตามความเข้าใจของผม ในประเทศทางยุโรปตะวันตกนั้นแยกกันระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบเศรษฐกิจ นิยามของระบอบประชาธิปไตยของยุโรปตะวันตก (ตามความเข้าใจของผม) คือการมีสิทธิในการเลือกระบอบการปกครองและระบอบเศรษฐกิจ และการมีสิทธิในการนำเสนอทางเลือกระบอบการปกครองและระบอบเศรษฐกิจ ใครก็ตามสามารถตั้งพรรคการเมืองหรือลงสมัครอย่างอิสระ และนำเสนอระบอบเศรษฐกิจที่จะนำมาบังคับใช้ถ้าเขาได้คุมเสียงข้างมาก (จะเสรีนิยม สังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์ ก็ได้) แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนด (สภาหมดวาระ) ก็ต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเลือกตั้งกันใหม่ และเปิดโอกาสให้คู่แข่งผู้อื่นนำเสนอทางเลือกอื่นด้วย และการนำเสนอนั้นต้องอยู่บนเหตุผลและพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นการใส่ร้ายป้ายสี

ดังนั้นในบางช่วงเวลาประเทศเขาก็อาจมีระบอบเศรษฐกิจเป็นแบบสังคมนิยม (รัฐเป็นเจ้าของและจัดการระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ เองหมด ถ้าของเดิมเอกชนดำเนินการอยู่ รัฐก็ต้องหาเงินมาซื้อหุ้นจากเอกชน) พอเลือกตั้งใหม่ก็อาจเปลี่ยนมาเป็นแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยมก็ได้ (ถ้าของเดิมเป็นของรัฐ รัฐก็จะขายกิจการทุกอย่างของรัฐให้เอกชนดำเนินการหมด) หรือชาวบ้านอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศไปใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ก็ได้ถ้าต้องการ (เพราะเขาก็มีตัวเลือกให้) แต่ที่สำคัญก็คือ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด จะต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นนำเสนอตัวเลือกอื่นได้อย่างเสรี และเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้เลือกตั้งใหม่ด้วย

รูปที่ ๔ แนวรบในวันที่มีการลงนามในสนธิสัญญาหยุดยิง และการวางกำลังรบของแต่ละฝ่าย ในกรอบสี่เหลี่ยมประสีเขียวทางด้านซ้ายของรูปคือ Panmunjom ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการลงนามในสนธิสัญญาหยุดยิง (หมายเหตุ ROK - กองทหารเกาหลีใต้ CCF - กองทหารจีนคอมมิวนิสต์ NK - กองทหารเกาหลีเหนือ ส่วนที่เหลือที่ไม่ระบุคือกองทหารสหรัฐอเมริกา)
รูปนี้ผมนำมาจาก (http://www.flickr.com/photos/dmclean2009/3693403779/sizes/o/in/photostream/)

การที่แนวรบกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่เป็นครั้งที่สองนี้ทำให้เกิดความแตกแยกทางแนวความคิดของผู้นำเกาหลีใต้และผู้นำสหรัฐอเมริกา ฝ่ายผู้นำเกาหลีใต้และผู้บังคับบัญชาทหารของเกาหลีใต้มองว่าถ้าหากจะรุกคืบขึ้นเหนือขึ้นไปอีกครั้ง ความฝันของชาวเกาหลีที่จะรวมประเทศเกาหลีเข้าเป็นหนึ่งเดียวก็จะเป็นความจริง แต่สำหรับผู้นำสหรัฐนั้นกลับมองว่า ตอนนี้ทุกอย่างก็กลับมาที่ตำแหน่งเดิมแล้ว ทำไมเขาต้องให้คนของเขาเสียสละชีวิตเพื่อคนประเทศอื่น ดังนั้นหลังจากที่แนวรบกลับมาที่เส้นขนานที่ ๓๘ องศาเหนืออีกครั้ง การรบของกองทัพสหประชาชาติจึงเป็นการรบในรูปแบบตั้งรับเพื่อรักษาพื้นที่ หรือทำการรุกเฉพาะตำแหน่งเพื่อให้ได้พื้นที่ที่ได้เปรียบกว่าในการตั้งรับ ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเปิดช่องทางลับในการเจรจายุติการหยุดยิงระหว่างกองกำลังสหประชาชาติและกองทัพจีนคอมมิวนิสต์

นายพล Paik Sun Yup ได้รับคำสั่งจากประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในขณะนั้น (Syngman Rhee) ให้เข้าร่วมสังเกตุการณ์การเจรจาในช่วงแรก ๆ สหรัฐอเมริกาเองก็รู้ดีว่าปัญหาของการหยุดยิงนั้นอยู่ที่ผู้นำประเทศเกาหลีใต้ ถ้าหากไม่สามารถทำให้ผู้นำประเทศเกาหลีใต้ยอมรับเงื่อนไขการหยุดยิงได้ การสู้รบก็จะไม่ยุติ 
 
นายพล Paik Sun Yup ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขา (ฉบับที่ผมมีคือหน้า ๒๓๔ ที่แสดงในรูปที่ ๓ แต่ถ้าเป็นของสำนักพิมพ์อื่นผมก็ไม่รู้นะว่าจะเป็นหน้าเดียวกันหรือเปล่า) โดยอ้างถึงเอกสารของสหรัฐอเมริกาว่า ในปีค.ศ. ๑๙๕๓ (พ.ศ. ๒๔๙๖) ทางสหรัฐอเมริกาจึงได้มีการวางแผนการ ๓ ขั้นตอนด้วยกันเพื่อให้เกิดการลงนามหยุดยิงดังนี้

๑. สหรัฐอเมริกาจะให้การสนับสนุนในการป้องกันประเทศในระยะยาว การจัดตั้งกองทัพ การให้ความช่วยเหลือทางด้านทหารและเศรษฐกิจ

๒. ถ้าเงื่อนไขแรกไม่ได้รับการยอมรับ ก็จะยื่นเงื่อนไขว่าจะถอนทหารออกจากเกาหลีใต้

๓. และถ้าเงื่อนไขที่สองไม่ได้รับการยอมรับอีก ก็จะหนุนการทำ "coup d'état" เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี Syngman Rhee และให้นายกรัฐมนตรี Chang Taek-sang จัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้าบริหารประเทศ

ผลสรุปที่ออกมาคือประธานาธิบดี Syngman Rhee ต้องยอมรับเงื่อนไขในข้อที่ ๑. แต่ที่อยากให้พวกคุณสังเกตแผนการขั้นตอนที่ ๓. ที่มีการวางเอาไว้

การลงนามในสนธิสัญญาหยุดยิงกระทำในตอนเช้าวันจันทร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีค.ศ. ๑๙๕๓ (พ.ศ. ๒๔๙๖) ณ สถานที่ที่มีชื่อว่า Panmunjom ต่อมาในภายหลังนายพล Mark Wayne Clark ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังสหประชาชาติและกองทัพสหรัฐอเมริกาในขณะที่มีการลงนามหยุดยิงนั้นได้กล่าวไว้ในหนังสือที่เขาเขียนเอาไว้ว่า เขาได้กลายเป็น "the first American commander not to accept surrender from the enemy"

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมเชื่อว่าถ้าใครได้ศึกษาประวัติศาสตร์โลกที่มีสหรัฐอเมริกาเข้าไปเกี่ยวข้องในช่วง ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาก็จะพอมองเห็นได้ว่า อันที่จริงแล้วสหรัฐอเมริกานั้นไม่ได้สนใจว่าประเทศอื่นจะมีการปกครองในรูปแบบใด ไม่ได้สนใจว่ารัฐบาลของประเทศนั้นจะกระทำอย่างไรกับประชาชนของตน สนแต่เพียงว่าคนของตน (กล่าวคือกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ) สามารถเข้าไปหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในประเทศเหล่านั้นได้หรือไม่ ถ้าหากยังทำได้อยู่ ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกา(ผ่านทางสื่อต่าง ๆ) ก็จะหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านั้น แต่ถ้าหากไม่สามารถเข้าไปหาผลประโยชน์ได้ ก็จะหาข้ออ้างโจมตีรัฐบาลประเทศเหล่านั้นและพร้อมที่จะหนุนใครก็ได้ ที่ประกาศตัวกับสหรัฐอเมริกาแต่ไม่ให้ประชาชนของประเทศตัวเองรับทราบว่า พร้อมที่จะให้สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกของสหรัฐอเมริกาเข้าไปหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในประเทศของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยบ้าง เรียกร้องให้มีการเปิดตลาดเสรีบ้าง เรียกร้องให้มีการขายระบบสาธารณูปโภคให้เอกชนดำเนินการทั้งหมดบ้าง ผมอยากเรียกระบอบการปกครองเดียวที่ทางสหรัฐอเมริกาสนับสนุนมาตลอดให้จัดตั้งในประเทศต่าง ๆ นี้ว่า "ระบบเผด็จการทุนนิยม" คือทุกคนต้องทำทุกอย่างเพื่อ "เงิน" เท่านั้น

วิธีการหนึ่งในการเข้าไปครอบงำทางการเมืองในประเทศต่าง ๆ ก็คือการให้ทุนการศึกษาแก่บุคลากรของประเทศเหล่านั้นให้ไปศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา และพยายามสอนให้คิดว่าวิถีชีวิตแบบอเมริกาเป็นแบบอย่างที่ถูกต้อง โดยไม่สนใจว่าคนที่มานั้นมีพื้นเพทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างไร ผลที่ตามมาก็คือเราเองก็ได้นักวิชาการจำนวนไม่น้อย (หรืออาจจะเป็นส่วนใหญ่ก็ได้) ที่เมื่อจบการศึกษาจากต่างประเทศแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือลอกแบบสิ่งที่ตัวเองไปประสบพบเห็นมา โดยไม่มีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศของตัวเอง คิดอย่างเดียวว่าถ้าอยากเจริญเหมือนฝรั่ง ก็ต้องทำแบบฝรั่ง ใครที่ไม่ทำตามก็เป็นพวกขวางโลก ไม่ยอมรับความเจริญ ถ้ายังสงสัยอยู่ก็ลองวกกลับมาดูระบบการศึกษาที่พวกคุณเรียนอยู่ ว่ามันตอบสนองความต้องการของประเทศหรือการจัดอันดับมหาวิทยาลัยกันแน่

ผมคิดว่านักวิชาการไทยนั้นตีความหมายคำว่า "เผด็จการ" แคบไปหน่อย จริงอยู่ที่ว่าการปกครองระบอบเผด็จการนั้นผู้มีอำนาจปกครองใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่นไม่ให้มาเป็นคู่แข่ง ใช้อำนาจที่มีอยู่นั้นหาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง ใช้อำนาจที่มีอยู่นั้นบิดเบือนไม่ให้มีการตรวจสอบการกระทำของตนเอง วิธีการที่เห็นกันทั่วไปคือการใช้กำลังอาวุธและสื่อที่ควบคุมด้วยรัฐ แต่ในความเป็นจริงนั้นการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นยังสามารถกระทำได้โดยการใช้อำนาจผ่านทางรัฐสภา (ที่มาจากการเลือกตั้งซะด้วย) โดยการออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องและกำจัดคู่แข่ง นี่คือสิ่งที่มีการเรียกกันว่า "เผด็จการรัฐสภา" ดังนั้นประเทศที่มีรัฐสภาที่มีตัวแทนมาจากการเลือกตั้งก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย 
 
กรณีตัวอย่างของเผด็จการรัฐสภาพที่เห็นได้ชัดคือกรณีของอดีตผู้นำเยอรมัน Adolf Hitler ซึ่งเข้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยจนสามารถกุมเสียงข้างมากในรัฐสภาเอาไว้ได้ แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นในประเทศเยอรมันและยุโรป พวกคุณก็คงจะพอทราบกันอยู่แล้ว เอาไว้วันหลังจะหาโอกาสเล่าให้ฟัง ผมพอมีหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เยอรมันช่วงนี้อยู่ ๒-๓ เล่มด้วยกัน แม้ว่ามันจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ แต่อ่านช่วงแรก ๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนว่ากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ที่บรรยายเหตุการณ์บ้านเมืองเราในปัจจุบัน