ช่วงที่ผ่านมามักมีการส่งผ่านข้อมูลการส่งออกน้ำมันของประเทศไทย
มักมีการกล่าวว่าประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันแล้วทำไมคนไทยจึงใช้น้ำมันแพง
แต่การแปลข้อมูลการส่งออกต้องระมัดระวัง
เพราะประเทศผู้ส่งออกนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้มีวัตถุดิบและ/หรือเทคโนโลยีในการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นเสมอไป
บ่อยครั้งก็เป็นเพียงฐานการผลิตโดยนำเอาวัตถุดิบและ/หรือชิ้นส่วนจากประเทศอื่น
มาใช้แรงงานราคาถูกในประเทศนั้นผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป/กึ่งสำเร็จรูป
ก่อนส่งออกไปขายยังประเทศอื่น
เรื่องเกี่ยวกับน้ำมันนี้เคยเขียนไว้ทีนึงแล้วใน
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๘๐ วันพฤหัสบดีที่
๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๕๖
เรื่อง "ผู้ส่งออก ผู้ผลิต และผู้มีวัตถุดิบ (คิดสักนิดก่อนกด Share เรื่องที่ ๒)"
มันไม่แปลกหรอกครับที่ประเทศผู้ผลิตที่มีวัตถุดิบในการผลิตสินค้านั้นอย่างพอเพียง
และผลิตได้มากเกินกว่าความต้องการของคนภายในประเทศ
จะนำส่วนที่ผลิตได้เกินกว่าความต้องการภายในประเทศนั้นส่งออก
และโดยปรกติแล้วโดยกลไกตลาดเสรี
(ถ้าบูชามันแบบสุดขั้ว)
สินค้าที่ผลิตเองแล้วถูกกว่านำเข้าจากต่างประเทศ
ก็ควรผลิตใช้เอง
แต่ถ้านำเข้าจากต่างประเทศแล้วถูกกว่าผลิตเอง
ก็ควรนำเข้าจากต่างประเทศ
แต่ทั้งนี้ในแต่ละประเทศก็มีข้อยกเว้นเหมือนกัน
คือถ้าพิจารณาแล้วว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ
(เช่นพวกอาหาร)
เขาก็จะสนับสนุนให้มีการผลิตเองในประเทศให้เพียงพอต่อความต้องการก่อนให้ได้
แม้ว่าต้นทุนการผลิตจะสูงกว่าการนำเข้าก็ตาม
แต่จะใช้วิธีนำเอาเงินภาษีมาสนับสนุนผู้ผลิต
(เช่นญี่ปุ่นอุดหนุนการปลูกข้าว)
แต่ก็ไม่ควรสนับสนุนมากจนทำให้ปริมาณการผลิตนั้นล้นเกินความต้องการภายในประเทศมากเกินไป
แต่เอาเข้าจริงในทางปฏิบัติแล้วประเทศที่มีความมั่งคั่งทางอุตสาหกรรมมันจะสนับสนุนภาคการเกษตรให้ผลิตสินค้าในราคาต้นทุนที่สูง
แล้วชดเชยราคาขายที่ต่ำกว่าด้วยเงินภาษีจากแหล่งอื่น
เพื่อขายในประเทศหรือส่งออกไปกีดกันการขายจากประเทศที่ผลิตขายได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า
ผลิตภัณฑ์สินค้าทางการเกษตรหลายต่อหลายชนิดของประเทศไทยก็โดนด้วย
การส่งออกสินค้าส่วนที่ผลิตได้มากเกินพอต่อความต้องการภายในประเทศนั้นต้องคำนึงถึงราคาส่งออกด้วย
ในกรณีที่ราคาส่งออกสูงกว่าราคาจำหน่ายในประเทศมาก
จำเป็นต้องมีการกำหนดปริมาณขั้นต่ำที่ผู้ผลิตต้องผลิตก่อนเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ
จากนั้นจึงอนุญาตให้ส่งออกส่วนเกิน
หรือไม่ก็ต้องมีการควบคุมการส่งออกอย่างเคร่งครัด
ไม่ให้มีการลักลอบการส่งออกที่ไม่ได้รับอนุญาต
ตัวอย่างหนึ่งของกรณีหลังที่ไทยเจอก็คือแก๊สหุงต้มที่มีการลักลอบการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
เพราะลักษณะภูมิประเทศและพรมแดนของไทยนั้นยากต่อการตรวจตราได้ทุกจุดตลอดเวลา
สินค้าตัวหนึ่งที่คนไทยบริโภคกันมากและผลิตได้มากเกินพอต่อความต้องการภายในประเทศ
แต่ปริมาณที่มากเกินพอก็ไม่ได้มากเกินพอไปเท่าใดนักเมื่อเทียบกับการบริโภคในประเทศคือ
"น้ำตาลทราย"
ประเทศไทยก็เป็นประเทศ
"ผู้ส่งออก"
รายหนึ่งของโลก
แต่ก็ไม่ใช่ผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สามารถกำหนดหรือส่งผลกระทบต่อราคาตลาดโลกได้
ในประเทศไทยเองก็มีอยู่หลายหน่วยงานที่กำกับดูแลการผลิตน้ำตาลทราย
การกำหนดปริมาณน้ำตาลทรายที่ต้องสำรองไว้เพื่อการบริโภคในประเทศ
และกำหนดราคาน้ำตาลทรายที่ขายในประเทศ
รูปที่ ๑
ในหน้าถัดไปนั้นผมนำมาจากเว็บของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
กระทรวงอุตสาหกรรม
เมื่อวันพฤหัสบดีเมื่อวาน
ที่มีการกล่าวถึงราคาขายปลีกในประเทศและราคาตลาดโลก
ลองดูข้อมูลในรูปก่อนแล้วสังเกตเห็นอะไรไหมครับ
รูปที่ ๑ ข้อมูลจากเว็บสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล (http://www.ocsb.go.th) ผมคัดลอกไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา คอลัมน์ด้านซ้ายในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงเป็นราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำตาลทรายหรือจะเรียกว่าราคาตลาดโลกก็ได้ ซึ่งตอนนี้มีไปถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ หรืออีก ๑๒ เดือนข้างหน้า โดยมีราคา 462.00 USD ต่อตัน ถ้าคิดที่อัตราแลกเปลี่ยน 33 บาท/USD ก็จะตกกิโลกรัมละ 15.25 บาท และถ้าคิดที่อัตราแลกเปลี่ยน 33 บาท/USD ก็จะตกกิโลกรัมละ 18.48 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายปลีกในกรุงเทพกำหนดไว้ที่ 23.50 บาทต่อกิโลกรัม
รูปที่ ๑ ข้อมูลจากเว็บสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล (http://www.ocsb.go.th) ผมคัดลอกไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา คอลัมน์ด้านซ้ายในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงเป็นราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำตาลทรายหรือจะเรียกว่าราคาตลาดโลกก็ได้ ซึ่งตอนนี้มีไปถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ หรืออีก ๑๒ เดือนข้างหน้า โดยมีราคา 462.00 USD ต่อตัน ถ้าคิดที่อัตราแลกเปลี่ยน 33 บาท/USD ก็จะตกกิโลกรัมละ 15.25 บาท และถ้าคิดที่อัตราแลกเปลี่ยน 33 บาท/USD ก็จะตกกิโลกรัมละ 18.48 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายปลีกในกรุงเทพกำหนดไว้ที่ 23.50 บาทต่อกิโลกรัม
ราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ลอนดอนในเดือนมีนาคม
๒๕๕๗ (อีกไม่ถึง
๒ เดือน)
อยู่ที่
427.50
เหรียญสหรัฐ
(USD)
ต่อตัน
(1000
กิโลกรัม)
และราคามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ จนราคาซื้อขายในเดือนมีนาคม
๒๕๕๘ หรืออีกปีกว่านั้นอยู่ที่
462.00
เหรียญสหรัฐต่อตัน
ถ้าคิดที่อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่ประมาณ
33
บาท/USD
ราคาตลาดโลกเดือนมีนาคม
๒๕๕๗ ก็จะอยู่ที่ 14.11
บาทต่อกิโลกรัม
ราคาเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ จะอยู่ที่
15.25
บาทต่อกิโลกรัม
นั่นคือราคาน้ำตาลทรายที่ประเทศไทยขายได้จากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ
แต่ราคาขายปลีกน้ำตาลทราย
ณ กรุงเทพมหานครอยู่ที่
23.50
บาทต่อกิโลกรัม
หรือ "แพงกว่า"
ราคาตลาดโลก
8-9
บาทต่อกิโลกรัม
ตรงนี้ไม่ทราบว่ารู้กันมาก่อนไหมครับว่าทั้ง
ๆ ที่เราผลิตน้ำตาลทรายเองและเหลือส่งออก
แต่เราต้องกินน้ำตาลทรายในราคาที่แพงกว่าขายให้คนอื่น
แถมยังมีการรณรงค์ส่งเสริมให้ปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น
ในความเห็นผมสิ่งเหล่านี้มันเป็นประเด็นที่ควรต้องตั้งคำถามนะครับ
ถ้าพิจารณาจากราคานี้
แทนที่จะส่งเสริมให้ปลูกอ้อยมากขึ้น
เราควรเปลี่ยนมาเป็นลดพื้นที่การปลูกอ้อย
เหลือเพียงแค่ตอบสนองความต้องการในประเทศดีไหมครับ
แล้วเปลี่ยนพื้นที่ปลูกอ้อยส่วนเกินกลับมาเป็นป่าเหมือนเดิม
อ้อย
น้ำตาล มันสำปะหลัง เอทานอล
ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช
เครื่องจักรกลทางการเกษตร
น้ำมันปิโตรเลียม และเงินตราต่างประเทศ
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กัน
การเพิ่มการผลิตพืชผลทางการเกษตรเพื่อนำมาผลิตเป็นเอทานอลเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน
"เบนซิน"
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลดปริมาณการใช้น้ำมันหรือลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศเสมอไป
เรายังต้องนำเข้าปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืชจากต่างประเทศ
เรายังต้องนำเข้าน้ำมันปิโตรเลียมเพื่อผลิตเป็นน้ำมัน
"ดีเซล"
ให้กับเครื่องจักรกลที่ใช้ในการเกษตรและรถบรรทุกที่ใช้ในการขนส่งพืชผลทางการเกษตรเหล่านั้นไปยังโรงงาน
ยิ่งมีการผลิตพืชผลทางการเกษตรเพิ่มมากขึ้น
(ไม่ว่าพืชผลนั้นจะถูกนำมาเพื่อการบริโภคหรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงทดแทนก็ตาม)
เราก็ใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มมากขึ้น
แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่ควรรีบด่วนสรุป
เพราะมันมีหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกัน
ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ
สังคม และความมั่นคงของประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น