บางที
กฎเกณฑ์มันใช้ได้ก็ต่อเมื่อสภาพแวดล้อมนั้นเป็นไปตามเงื่อนไขบางอย่าง
ไม่ใช่สามารถนำมาบังคับใช้ได้กับทุกกรณี
อย่างเช่นกรณีระยะห่างไม่น้อยกว่า
๑๕ เมตร ระหว่างแหล่งที่อาจมีเชื้อเพลิงรั่วไหล
และบริเวณที่มีเปลวไฟหรือประกายไฟ
ณ
อุณหภูมิหนึ่ง
โมเลกุลที่อยู่บนพื้นผิวของเหลวจะมีพลังงานอยู่ระดับหนึ่ง
(ผลจากการสั่นและการชนกันระหว่างโมเลกุล)
ถ้าพลังงานของโมเลกุลนั้นสูงเกินกว่าพลังงานยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่อยู่ข้างเคียง
โมเลกุลนั้นก็จะหลุดออกจากผิวของเหลวไปอยู่ในเฟสแก๊สได้
นั่นคือปรากฏการณ์การระเหยของของเหลว
(evaporation)
ที่เกิดได้แม้ว่าของเหลวนั้นจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือด
(boiling
point) ของมัน
น้ำมัน
(ในที่นี้คือไฮโดรคาร์บอน)
เป็นโมเลกุลไม่มีขั้วและมีความหนาแน่นต่ำกว่าน้ำ
(ที่เป็นโมเลกุลที่มีขั้วที่แรง)
ดังนั้นเมื่อน้ำมันหยดลงไปในน้ำ
น้ำมันจะลอยอยู่บนผิวหน้าน้ำ
และถ้าผิวหน้าน้ำนั้นมีพื้นที่ให้มันแผ่กระจายที่กว้างมากพอ
ความหนาของชั้นน้ำมันบนผิวหน้าน้ำอาจถือได้ว่าหนาเพียงชั้นโมเลกุลเดียว
และด้วยการที่แรงยึดเหนี่ยวระหว่างน้ำมันและน้ำนั้นไม่ได้สูง
จึงทำให้แรงยึดเหนี่ยวที่จะดึงให้โมเลกุลน้ำมันนั้นไม่หลุดออกไปจากผิวหน้าน้ำลดต่ำลง
ทำให้น้ำมันนั้นระเหยกลายเป็นไอได้ง่ายขึ้น
เมื่อเทียบกับเวลาที่มันมีโมเลกุลพวกเดียวกันเองนั้นอยู่ข้างใต้ตัวมัน
และนี่ก็เป็นที่มาของหลายอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการแผ่กระจายของน้ำมันไปบนผิวน้ำ
ที่นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้คัดมาจาก
ICI
Safety Newsletter ๒
เรื่องด้วยกัน
ในเหตุการณ์แรก
(รูปที่
๑)
ช่างเชื่อมกำลังทำงานประกอบท่อใหม่เส้นใหม่
ในเวลาเดียวกันก็มีการถอด
slip
plate ออกจากท่ออีกเส้นหนึ่ง
สถานที่ทำงานทั้งสองนั้นอยู่ห่างกัน
๖๕ ฟุต (ก็ราว
ๆ ๒๐ เมตร)
ในการถอด
slip
plate นั้นมีการคาดว่าอาจมีเชื้อเพลิง
(ที่ค้างอยู่ในท่อ)
รั่วไหลออกมาได้
แต่เมื่อพิจารณาระยะห่างจากงานเชื่อมท่อที่ห่างกันถึง
๖๕ ฟุต ก็คงทำให้ผู้ที่ออกใบอนุญาตให้ทำงาน
(work
permit)
เชื่อว่าโอกาสที่ไอระเหยนั้นจะแพร่ไปถึงตำแหน่งที่ทำการเชื่อมต่อและเกิดการจุดระเบิดได้นั้นมีต่ำมาก
ดังนั้นงานทั้งสอง
(งานเชื่อมท่อและงานถอด
slip
plate) จึงได้รับอนุญาตให้ทำในเวลาเดียวกัน
รูปที่
๑ อุบัติเหตุเพลิงไหม้จากการเชื่อมโลหะเหนือผิวน้ำ
(ฉบับเดือนกรกฎาคม
ค.ศ.
๑๙๖๙
(พ.ศ.
๒๕๑๒))
เหตุการณ์นี้ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนักเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ
แต่ใช้คำว่า "pipe
duct" ที่คงหมายถึงร่องหรือรางที่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้น
เพื่อใช้สำหรับวางท่อ
(เช่นให้ลอดผ่านพื้นถนนได้)
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็สามารถมีน้ำขังได้
และในเหตุการณ์นี้ pipe
duct ดังกล่าวก็มีน้ำท่วมขัง
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเชื้อเพลิงที่รั่วออกมาขณะถอด
slip
plate นั้นแผ่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังตำแหน่งที่ช่างเชื่อมทำงานอยู่
เกิดไฟลุกขึ้น
ทำให้ผู้ช่วยช่างเชื่อมเสียชีวิต
บทเรียนหนึ่งที่ได้จากเหตุการณ์นี้ก็คือการออกใบอนุญาตให้ปฏิบัติงานนั้น
ผู้ที่ออกใบอนุญาตควรต้องลงไปตรวจสอบสถานที่ทำงานจริง
และไม่ควรให้การทำงานที่มีการใช้เปลวไฟ
(เช่นการเชื่อมหรือตัดโลหะ)
ทำอยู่เหนือแอ่งน้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเชื้อเพลิงที่จะรั่วไหลออกมานั้นเป็นของเหลว
เพราะถ้าเป็นแก๊ส
เหตุการณ์นี้คงจะไม่เกิด
ข้อสังเกตข้อหนึ่งที่เห็นได้จากรายงานดังกล่าวคือ
ปรกติเมื่อไฟลุกติดไอน้ำมันที่อยู่บนผิวหน้าน้ำ
เปลวไฟจะวิ่งกลับมายังจุดที่น้ำมันรั่วออกมา
(คือจุดที่ทำการถอด
slip
plate) แต่ในกรณีนี้ผู้เสียชีวิตนั้นกลับเป็นผู้ที่อยู่ทางด้าน
downstream
ของการไหล
(จุดที่ทำการเชื่อมต่อท่อ)
ซึ่งบ่งบอกว่าจุดที่ทำการเชื่อมท่อนั้นอยู่ที่ระดับต่ำกว่าจุดที่ทำการถอด
slip
plate และ/หรือการรั่วไหลนั้นคงต้องมากอยู่เหมือนกัน
จนทำให้ทำการเตือนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ทัน
ในเหตุการณ์ที่
๒ (รูปที่
๒)
เป็นการรั่วไหลของน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมันขณะขนถ่าย
ทำให้น้ำมันจำนวนมากถึง
๓๕ ตันรั่วไหลลงไปในคลอง
เกิดเป็นไอหมอกปกคลุมเรือโดยสารที่แล่นอยู่ในคลองดังกล่าวก่อนจะเกิดการระเบิด
ส่งผลให้ผู้โดยสารอยู่ในเรือลำนั้นและลำอื่นที่อยู่ในคลองนั้นเสียชีวิต
๖ ราย (Manchester
ship canal เป็นคลองขนาดใหญ่สำหรับให้เรือใหญ่ขนาดเรือเดินสมุทรเดินได้)
รูปที่ ๒ อุบัติเหตุจากน้ำมันรั่วไหลคงคลองและไหม้คลอกเรือโดยสาร (ฉบับเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๗๓ (พ.ศ. ๒๕๑๖))
เคยเห็นป้าย
"ไม่นำเปลวไฟเข้าใกล้ในระยะ
๑๕ เมตร"
ไหมครับ
เรามีโอกาสที่จะเห็นป้ายแบบนี้ตามสถานที่เก็บเชื้อเพลิง
(เช่นถังน้ำมัน
ถังแก๊ส หรือรถบรรทุกน้ำมัน/แก๊ส)
ในกรณีที่ของเชื้อเพลิงเหลวที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง
ถ้าไม่ได้เกิดการรั่วไหลขนาดใหญ่และเป็นการรั่วไหลบนพื้นราบที่แห้ง
(คือไม่มีน้ำท่วมขัง)
ระยะ
๑๕ เมตร (ก็ราว
ๆ ๕๐ ฟุต)
นี้ก็ลดโอกาสที่ไอระเหยเชื้อเพลิงที่รั่วไหลออกมาจะมีความเข้มข้นสูงพบที่จะเกิดการจุดระเบิดได้ลงไปได้เยอะ
แต่ในกรณีของการรั่วไหลลงแอ่งน้ำนั้น
น้ำมันที่ลอยบนผิวหน้าน้ำจะแผ่กระจายไปได้ไกลและรวดเร็วมาก
แม้ว่าจะเป็นการรั่วไหลที่ไม่มากก็ตาม
ตรงนี้อาจทดลองดูง่าย ๆ
ด้วยการหยดน้ำมันพืชลงบนพื้นคอนกรีตและบนผิวหน้าน้ำ
และดูการแผ่กระจายของน้ำมันพืช
เราจะเห็นชัดว่าน้ำมันพืชที่หยดลงบนพื้นคอนกรีตนั้นก็จะกองอยู่ตรงนั้น
แผ่กระจายออกไปด้านข้างไม่มาก
แต่บนผิวหน้าน้ำจะแผ่นกระจายออกไปด้านข้างได้อย่างรวดเร็ว
และด้วยพฤติกรรมเช่นนี้จึงทำให้น้ำมันที่ปรกติมีอุณหภูมิจุดวาบไฟสูงกว่าอุณหภูมิห้อง
สามารถจุดติดไฟได้ที่อุณหภูมิห้องได้
ในเหตุการณ์แรกนั้นอาจเป็นเพราะว่าผู้ออกใบอนุญาตให้ทำงานนั้นเห็นว่าสถานที่ทำงานทั้งสองอยู่ห่างกันถึง
๖๕ ฟุต ซึ่งมากกว่าระยะห่างขั้นต่ำ
(คือระยะ
๕๐ ฟุต)
ก็เลยออกใบอนุญาตให้ทำงาน
แต่ระยะนี้มันใช้ไม่ได้กับการรั่วไหลของของเหลว
(ที่ไม่ละลายน้ำและลอยอยู่บนผิวหน้าหน้า)
ลงผิวน้ำ
นั่นแสดงว่ากฎระเบียบที่ออกมานั้นมันก็มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน
คือมันอิงอยู่กับสภาพแวดล้อมเฉพาะบางอย่าง
(เช่นการรั่วไหลลงบนพื้นแห้งที่ราบ)
โดยไม่สามารถนำไปบังคับใช้ได้กับทุกสภาพการณ์
(เช่นการรั่วไหลลงผิวน้ำ)
ส่วนในกรณีของเหตุการณ์ที่สอง
เรื่องน่าเศร้าของเหตุการณ์อยู่ตรงข้อความที่เขาขีดเส้นใต้
คือนับตั้งแต่เกิดการรั่วไหลจนเกิดระเบิดนั้นเป็นเวลานานถึงสองชั่วโมงครึ่ง
แต่กลับไม่มีการเตือนภัย
สิ่งที่ต้องพึงระวังในการถอดหน้าแปลน
(ไม่ว่าจะเป็นการถอด
slip
plate หรืออุปกรณ์
piping
ต่าง
)
คืออาจมี
process
fluid ตกค้างอยู่ในท่อได้
ในกรณีที่ process
fluid
เป็นแก๊สนั้นคงต้องปล่อยให้แก๊สที่ค้างอยู่นั้นรั่วออกมาและฟุ้งกระจายออกไป
แต่ในกรณีที่ process
fluid เป็นของเหลวนั้นอาจต้องหาอุปกรณ์มารองรับของเหลวที่จะรั่วไหลออกมา
และระบายต่อไปยังจุดรองรับที่ปลอดภัย
กรณีของการถอด slip
plate
แล้วมีของเหลวที่ค้างอยู่ในท่อรั่วไหลออกมาจนทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักนักได้เคยเล่าไว้แล้วในบทความชุด
"เพลิงไหม้และการระเบิดที่
BP
Oil (Grangemouth) Refinery 2530(1987) Case 1 เพลิงไหม้ที่ระบบ
Flare"
ที่มีอยู่ด้วยกัน
๔ ตอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น