ตอนที่เริ่มภาคการศึกษาใหม่เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ผมได้ตั้งคำถามถามนิสิตชั้นปีที่
๒ ในชั้นเรียน ๓ คำถามด้วยกัน
สองคำถามแรกเป็นคำถามที่ต้องการให้เขาเห็นว่าในบางกรณีนั้นคำตอบของคำถามมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
มันไม่มีคำตอบที่ตายตัว
ส่วนคำถามที่สามถามเพื่อต้องการตรวจสอบความรู้พื้นฐานบางเรื่องที่เขา
"ควรจะ"
ได้เรียนรู้มาตอนมัธยมปลายและปี
๑ คำถามนั้นก็คือ
"ถ้าเอาสารละลายกรด
H2SO4
0.1 mol/l ใส่ในบีกเกอร์
จากนั้นค่อย ๆ หยดสารละลาย
NaOH
0.1 mol/l ลงในบีกเกอร์
ค่า pH
ของสารละลายในบีกเกอร์จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ให้ร่างภาพการเปลี่ยนแปลงค่า
pH
ของสารละลายในบีกเกอร์กับปริมาตรสารละลาย
NaOH
ที่หยดลงไป"
คำตอบของคำถามข้อ
๓ ที่ได้รับมาก็อยู่ในรูปที่นำมาแสดงครับ
ลองพิจารณากันเอาเองก่อนก็แล้วครับนะครับ
อันที่จริงคำถามข้อ
๓ ก็เป็นคำถามเดียวกันที่ผมเคยใช้ตอนสัมภาษณ์นักเรียนผู้มี
"ความสามารถพิเศษ"
ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยด้วย
"ช่องทางพิเศษ"
และได้นำมาเล่าไว้ใน
Memoir
ปีที่
๗ ฉบับที่ ๙๕๐ วันอังคารที่
๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เรื่อง
"กราฟการไทเทรตกรดกำมะถัน(H2SO4)"
พร้อมทั้งได้เฉลยคำตอบไว้ในนั้นแล้ว
และคำตอบที่ผมได้มานั้นมันบ่งบอกอะไรก็ขอให้พิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน
ปัญหาหนึ่งของการศึกษาในบ้านเราที่พบก็คือมักจะยึด
"ตัวอย่างเฉพาะ"
หรือ
"วิธีการเฉพาะ"
ว่ามันเป็น
"กฎ"
แทนการทำความเข้าใจ
"หลักการพื้นฐาน"
แล้วนำหลักการพื้นฐานนั้นมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
พอถึงเวลาแก้ปัญหาก็ใช้วิธีการเทียบเคียงกับตัวอย่างที่เคยผ่านตามาว่า
"ใกล้เคียง"
กับตัวอย่างไหนมากที่สุด
แล้วก็นำเอาวิธีการแก้ปัญหาของตัวอย่างนั้นมาใช้แบบไม่มีการตั้งข้อสงสัยเลยว่ามันเหมาะสมหรือไม่
แต่ตรงนี้จะไปโทษผู้เรียนก็ไม่ได้เพราะจะว่าไปมันเป็นกันตั้งแต่ตัวอาจารย์
(ผมก็โตมาในระบบการศึกษาแบบนั้น
จนเมื่อออกไปทำงานภาคปฏิบัติจึงเจอข้อผิดพลาดของระบบการศึกษาที่ตัวเองเรียนมา)
เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ทำการทดลอง
กับผู้ที่ทำ simulation
ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็พบปัญหาแบบเดียวกัน
ผมเคยสอบถามนิสิตผู้ทำวิทยานิพนธ์ด้วยการทำ
simulation
ในระหว่างการสอบว่าคุณใช้เทคนิคไหนในการแก้ปัญหาระบบสมการอนุพันธ์ของคุณ
เขาก็ตอบว่าใช้ MATLAB
ผมก็ถามซ้ำใหม่ว่าแล้วในโปรแกรม
MATLAB
คุณใช้เทคนิคไหนในการแก้ปัญหาระบบสมการอนุพันธ์ของคุณ
เขาก็ตอบกลับมาว่าใช้ code
รหัส
xxxx
นี้ในการแก้ปัญหา
ผมก็ถามต่อไว่าแล้ว code
รหัส
xxxx
นี้แก้ปัญหาด้วยเทคนิคอะไร
เขาก็ตอบชื่อเทคนิคออกมา
พอถามต่อว่าแล้วเทคนิคดังกล่าวมันมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร
และมันเหมาะกับโจทย์ของคุณหรือไม่
เขาก็ตอบไม่ได้ ตอบแต่เพียงว่าเขาไปดู
paper
ว่าที่ผ่านมาเขาใช้
code
ตัวไหนของ
MATLAB
ในการแก้ปัญหา
แล้วก็เลือกเอา code
เดียวกันจาก
paper
ที่เห็นว่าใกล้เคียงกับงานของเขามากที่สุดมาใช้
ผมก็ตอบเขากลับไปว่าในงานนั้นเขาใช้
code
นั้นน่ะมันถูกต้องแล้ว
แต่ระบบสมการของคุณแม้ว่ามันจะคล้ายกับของเขา
แต่สำหรับโจทย์ของคุณนั้น
การนำ code
เดียวกันนั้นมาแก้ปัญหานั้นมันไม่เหมาะสม
มันมีความแตกต่างกันอยู่
โดยความเห็นส่วนตัวปัญหาหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยของบ้านเราคือเรานิยมไป
"ลอก"
วิธีการของมหาวิทยาลัยชั้นนำจากต่างประเทศ
(โดยเฉพาะจากชาติตะวันตก)
มาใช้แบบดื้อ
ๆ โดยไม่มีการปรับแต่งให้สอดรับกับ
"วัตถุดิบ
(ก็คือผู้เรียน)"
ว่ามีพื้นฐานเดิมมาอย่างไร
เห็นเป็นประจำเวลาที่มีการนำเสนอว่าหลักสูตรการศึกษาของบ้านเราควรจะมีการปรับปรุงอย่างไร
ก็ใช้วิธีเพียงแค่ไปดูว่าสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลกในประเทศต่าง
ๆ นั้นเขาทำอะไรกันบ้าง
แล้วก็นำมาบอกทำนองว่าที่เราล้าหลังเขาก็เพราะเราไม่มีการปรับปรุงให้เหมือนเขา
ไม่เห็นมีการกล่าวถึงเลยว่าตัวผู้เรียนเองที่เข้าสู่ระบบการศึกษาที่ไปดูเป็นตัวอย่างมานั้น
เขามีคุณสมบัติอย่างไร
เขาผ่านการพัฒนาด้วยกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียนมาอย่างไร
แล้วตัวนักเรียนของเราเองมีคุณสมบัติแบบนั้นหรือไม่
ก็ในเมื่อกระบวนการและวัตถุดิบมันไม่สอดรับกัน
แล้วจะหวังให้ผลลัพธ์ออกมาดีได้อย่างไร
พื้นฐานเดิมของผู้เรียนตรงนี้มันขึ้นอยู่กับระบบการศึกษาของโรงเรียน
วิธีการประเมินโรงเรียน
(ดูเหมือนว่าเราจะใช้วิธีการประเมินผู้บริหารโรงเรียนโดยดูที่จำนวนนักเรียนสอบเข้าคณะดัง
ๆ ในมหาวิทยาลัยได้เป็นหลัก
แทนที่จะประเมินที่การสร้าง
"มูลค่าเพิ่ม"
ให้กับผู้เรียน
ผลที่ตามมาก็คือนักเรียนที่เรียนไม่เก่งจะถูกเฉดหัวออกจากโรงเรียนดัง
ๆ ไม่ให้เข้าเรียนต่อมัธยมปลาย)
และวิธีการที่ทางสถาบันอุดมศึกษาใช้ในการคัดเลือก
(มีอย่างที่ไหน
บอกว่ารับเด็กจบ ม.
๖
แต่ทำการสอบคัดเลือกกันก่อนที่เด็กจะเรียนจบ
ม.
๖
กลายเป็นว่าหลักสูตรมัธยมปลายที่ทางโรงเรียนวางไว้
๓ ปี ต้องมาอัดให้เด็กเรียนกันในสองปีหรือสองปีครึ่ง
ทำเอาระบบมัธยมปลายในโรงเรียนรวนไปหมด)
ส่วนตัวเนื้อหาหลักสูตรเองพักหลัง
ๆ
เห็นเริ่มมีแบบไม่สนใจว่าผู้ที่เรียนจบแล้วจะมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะออกไปทำงานในตลาดแรงได้หรือไม่
เริ่มมีการใส่ความต้องการของอาจารย์ในการต้องการลูกมือทำวิจัยให้อาจารย์เข้าไปในเนื้อหาหลักสูตร
(เรียกว่าถ้าจบป.ตรี
แล้วมาทำวิจัยกับฉัน
ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาสอน
งานวิจัยฉันจะได้เดินหน้าไปได้เร็ว
ๆ)
การออกแบบกระบวนการผลิตในทางวิศวกรรมเคมีเราดูผลลัพธ์เป็นหลักว่าเราต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติอย่างไร
จากนั้นจึงมาพิจารณาว่าเรามีวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติอย่างไร
และเพื่อเปลี่ยนวัตถุดิบให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดได้นั้นจะต้องผ่านกระบวนการใดบ้าง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือโรงกลั่นน้ำมัน
คุณสมบัติผลิตภัณฑ์สำหรับจำหน่ายในท้องตลาดมันมีข้อกำหนดเอาไว้แล้ว
และมีเพียงไม่กี่ชนิดเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของน้ำมันดิบที่มีให้เลือกซื้อมากลั่น
โรงกลั่นที่มีความยืดหยุ่นสูงก็สามารถเลือกใชัวัตถุดิบที่แตกต่างกันมากลั่นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเดียวกันได้
โดยกระบวนการผลิตสำหรับวัตถุดิบที่แตกต่างกันนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางเดียวกัน
การออกแบบระบบการศึกษาก็ควรจะต้องเป็นแบบเดียวกัน
มันไม่ควรที่จะใช้วิธีการลอกคนอื่นเขามาแบบดื้อ
ๆ
พักหลัง
ๆ นี้มีอาจารย์บางรายมาเปรย
ๆ
กับผมบ่อยครั้งแล้วเรื่องความรู้พื้นฐานของนิสิตบัณฑิตศึกษาในการทำวิจัยว่าอ่อนลงไปมาก
จะทำอย่างไรดี
เริ่มมีคนรู้สึกเสียดายวิชาที่มีการลงมติยกเลิกไปเมื่อหลายปีก่อนทั้ง
ๆ ที่ผมได้เตือนเอาไว้แล้วด้วยว่าให้พิจารณาให้รอบคอบ
แต่เมื่อมันเป็นฉันทามติของที่ประชุม
ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น