"แอร์"
ในที่นี้คือภาษาพูดของบ้านเรา
จะเรียกให้เป็นทางการก็คือเครื่องปรับอากาศ
และถ้าจะระบุให้เจาะจงชัดเจนก็ต้องเป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้ทำความเย็น
ส่วนคำถามที่ว่า
"รถไฟฟ้าติดแอร์หรือเปล่า"
ที่เคยเห็นก็มีทั้งแบบที่ติดแอร์และไม่ติดแอร์
และถ้าเป็นรถที่ติดแอร์
ก็จะมีคำถามตามมาอีกก็คือ
"เอาพลังงานจากที่ไหนมาใช้เดินเครื่องปรับอากาศ"
เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ตอนที่ทางมหาวิทยาลัยจัดงาน
ก็มีบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้านำรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมาแสดง
โดยอ้างว่าชาร์ทไฟหนึ่งครั้งวิ่งได้
๒๐๐ กิโลเมตร (ไม่มีการเปิดแอร์)
ถ้าคิดเป็นเวลาใช้งานก็น่าจะอยู่ที่ราว
ๆ ๒ -
๓
ชั่วโมง
ผมเองก็แวะเข้าไปดูเพราะอยากรู้ว่ารถยนต์คันนี้มันติดแอร์หรือเปล่า
ก็เห็นว่ามันติดแอร์
ก็เลยถามเขาว่าแล้วแอร์ใช้พลังงานจากไหน
เขาก็บอกว่าแบตเตอรี่
ผมจึงถามต่อไปว่าแอร์มันกินกำลังแบตเท่าไร
เขาก็ตอบว่าประมาณ 40%
นั่นก็แสดงว่าถ้าขับไปและเปิดแอร์ไปด้วย
ระยะทางที่รถวิ่งได้ก็เหลือเพียงแค่
๑๒๐ กิโลเมตร
แต่นี่เป็นกรณีที่วิ่งโดยไม่มีการหยุดนะครับ
ในสภาพความเป็นจริงนั้นสำหรับการเดินทางในเมือง
โดยเฉพาะอากาศร้อนแบบบ้านเรา
การเปิดแอร์ในรถคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
และในสภาพการจราจรที่ติดขัด
แม้ว่ารถจะไม่วิ่ง
แต่แอร์ก็ยังต้องดึงกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่อยู่
คำถามที่น่าสนใจหาคำตอบก็คือ
ถ้าเปิดแอร์เพียงอย่างเดียว
(คือจำลองสภาพรถติดมาก
ๆ ที่เป็นเรื่องปรกติในกรุงเทพ)
จะอยู่ได้กี่ชั่วโมง
(หรือนาที)
ก่อนที่แบตจะหมด
แต่ประเด็นนี้ดูเหมือนว่าทางผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่อยากจะกล่าวถึงเท่าไรนัก
(และคงไม่อยากให้มีใครถามถึงด้วย)
รถโดยสารไฟฟ้าที่วิ่งภายในมหาวิทยาลัย
รายแรกที่นำมาวิ่งนั้นใช้แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดเป็นแหล่งพลังงาน
แต่เขาใช้ไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว
ส่วนเครื่องปรับอากาศนั้นเขาใช้เครื่องยนต์เบนซินที่ใช้แก๊สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิง
ในตอนนั้น
รถที่ต้องวิ่งออกไปนอกมหาวิทยาลัยไปทางสยามสแควร์
จะใช้รถที่มีเครื่องปรับอากาศ
เพราะมันต้องไปติดอยู่ท่ามกลางควันไอเสียรถ
แต่ถ้าเป็นรถที่วิ่งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเป็นหลัก
(สายที่ข้ามฟากไปมาระหว่างสองฝั่งถนนพญาไท)
ก็จะมีการนำเอารถที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศที่เป็นแบบตัวถังเปิดโล่งมาวิ่ง
รถที่มีเครื่องปรับอากาศนั้นเวลาที่แก๊สหมดทีก็ต้องแวะเข้าไปเปลี่ยนถังแก๊สที่อู่
ส่วนแบตเตอรี่นั้นเห็นมีทั้งเอาเข้าไปจอดชาร์ทไฟ
และแบบที่ยกเปลี่ยนโดยถอดเอาแบตเตอรี่ที่หมดไฟแล้วออก
แล้วใส่ชุดใหม่ที่ชาร์ทไฟไว้เต็มแล้วเข้าไปแทน
ส่วนรถรุ่นปัจจุบันที่เป็นของรายใหม่นั้นเห็นตอนโฆษณาบอกว่าจะใช้แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมฟอสเฟต
รถรุ่นนี้ต้องยอมรับว่าอัตราเร่งออกตัวดีกว่าของรายแรก
เสียตรงที่ว่าโช็คหลังนั้นส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดดีเหลือเกิน
เสียงดังอย่างกับใช้ระบบฝูงหนูถีบจักรในการขับเคลื่อนล้อหลัง
รถที่มาใหม่นั้นติดแอร์ทุกคัน
โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในการเดินเครื่องแอร์
มีวันหนึ่งผมโบกรถคันหนึ่งที่เขากำลังจะกลับไปที่อู่
ทั้งคันมีผมเป็นผู้โดยสารอยู่คนเดียว
ก็เลยได้คุยกับคนขับรถ
ผมถามเขาว่าชาร์ทไฟแต่ละครั้งวิ่งได้กี่รอบ
เขาก็บอกว่า ๓ -
๕
รอบ ขึ้นอยู่กับว่าต้องจอดรอนานเท่าใด
ถ้าเข้าถึงท่าแล้วได้ออกรถเลยก็วิ่งได้ถึง
๕ รอบ แต่ถ้าเป็นช่วงกลางวันที่
๑๕ นาทีออกคันนึง ก็วิ่งได้เพียงแค่
๓ รอบ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไปพอรถต้องจอดรอแล้ววิ่งได้น้อยรอบลง
เขาอธิบายว่าเป็นเพราะต้องเปิดรถให้คนไปนั่งรอบนรถ
ทำให้ต้องเดินเครื่องปรับอากาศตามไปด้วย
นั่นก็คือแม้ว่ารถจะไม่วิ่ง
แต่แบตเตอรี่ก็ยังคงต้องจ่ายไฟให้กับเครื่องปรับอากาศอยู่
และไฟที่แบตเตอรี่ใช้นั้นก็มีปริมาณที่มากเสียด้วย
ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาของวันนั้นไม่เท่ากัน
ช่วงหัวค่ำจะมีความต้องการไฟฟ้ามากที่สุดและต้นทุนการผลิตจะสูงที่สุด
ทำให้ค่าไฟฟ้าในช่วงนี้แพงที่สุด
(เป็นเพราะความต้องการไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอยู่รวดเร็ว)
รองลงไปก็จะเป็นช่วงกลางวัน
(สำนักงานเปิดทำงาน
มีการใช้เครื่องปรับอากาศและไฟแสงสว่างในอาคารกันมาก)
กับรุ่งเช้า
(ที่คนตื่นนอนมาทำกิจวัตรประจำวัน)
โดยช่วงที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่ำที่สุดคือช่วงดึกไปจนถึงย่ำรุ่ง
(คือคนเข้านอนกันหมด
ร้านค้าและสำนักงานต่าง ๆ
ปิดทำการ
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะมีปัญหาได้ถ้าหากความต้องการใช้ไฟฟ้านั้นต่ำเกินไป
เพราะมันไม่สามารถเบาเครื่องหรือหยุดการทำงานเพื่อรอเริ่มต้นเดินเครื่องใหม่ได้อย่างรวดเร็ว)
โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่
(ที่มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำ)
นั้นเหมาะสำหรับการเดินเครื่องด้วยโหลดคงที่
ไม่แกว่งไปมามากอย่างรวดเร็ว
แต่ความต้องการไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาของวันนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในวิธีการรองรับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าดังกล่าวคือพยายามให้โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เดินเครื่องคงที่ตลอดทั้งวัน
ในช่วงที่ความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ให้โรงขนาดเล็กที่แม้ว่าต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูงแต่สามารถเดินเครื่องเสริมได้อย่างรวดเร็ว
เดินเครื่องเสริม
และเมื่อความรต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง
ก็ค่อย ๆ หยุดการจ่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก
ด้วยเหตุนี้การไฟฟ้าจึงมีการคิดค่าไฟฟ้าตามเวลาใช้งานจริง
(สำหรับการใช้ในเชิงพาณิชย์)
เพื่อจูงใจให้ลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงหัวค่ำ
และไปใช้ในช่วงดึกแทน
รถไฟฟ้านั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า
ควรต้องพิจารณาประเด็นเรื่องจะทำอย่างไรก็แบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน
(เพราะมันเป็นขยะพิษ
และอายุการใช้งานคงอยู่ได้ไม่เกิน
๑๐ ปีดังเช่นเครื่องยนต์อายุการใช้งานนานกว่านั้นมาก)
และจะเอาไฟฟ้าจากแหล่งใดมาชาร์ทไฟ
ในประเทศที่มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำที่สูง
และความสามารถในการผลิตไฟฟ้านั้นเกินกว่าความต้องการใช้ในประเทศ
เมื่อไม่มีตลาดให้ส่งไฟฟ้าออกขาย
ก็จำเป็นต้องกระตุ้นการใช้งานในประเทศ
และวิธีการหนึ่งที่ทำได้ก็คือให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้า
แต่ในประเทศที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลักในการผลิตไฟฟ้า
การใช้รถไฟฟ้าก็เป็นเพียงแค่การย้ายแหล่งผลิตมลพิษทางอากาศจากแหล่งเล็ก
ๆ จำนวนมากในตัวเมืองไปเป็นแหล่งใหญ่ที่อยู่นอกตัวเมือง
(จะเรียกว่าให้คนอยู่นอกเมืองรับเคราะห์แทนคนอยู่ในเมืองก็ไม่น่าจะผิด)
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ตอนนี้มักจะแทบไม่มีใครเอ่ยถึงก็คือ
การชาร์ทไฟนั้นควรไปชาร์ทในช่วงดึกไปถึงย่ำรุ่ง
(หรือช่วง
off
peak) เพราะเป็นช่วงที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่ำสุด
ไม่ใช่นึกอยากจะชาร์ทไฟเมื่อไรก็ได้
และเมื่อชาร์ทไฟแต่ละครั้งแล้วก็ควรที่จะใช้ได้ทั้งวัน
ไม่ใช่ว่าต้องคอยชาร์ททุก
ๆ ที่ที่ขับไปจอด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น