พืชมีความสามารถสูงในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนโมเลกุลที่มีพลังงานในตัวต่ำและมีโครงสร้างเรียบง่ายอันได้แก่
CO2
และ
H2O
ให้กลายเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่
มีโครงสร้างที่ซับซ้อน
และมีพลังงานในตัวสูงขึ้น
โมเลกุลหนึ่งที่มีการสังเคราะห์มากในพืชก็คือน้ำตาลกลูโคส
(glucose)
ที่จะถูกนำมาเชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่พอลิเมอร์ที่อาจอยู่ในรูปของเซลลูโลส
(cellulose)
หรือแป้ง
ทั้งเซลลูโลสและแป้งต่างก็เป็นพอลิเมอร์ของกลูโคส
ต่างกันที่วิธีการเชื่อมต่อโมเลกุลกลูโคสเข้าด้วยกัน
และในพืชบางชนิดนั้นก็มีการสังเคราะห์น้ำตาลฟรุกโตส
(fructose)
ที่อาจอยู่ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว
หรือเชื่อมต่อโมเลกุลเข้ากับกลูโคสกลายเป็นน้ำตาลซูโครส
(sucrose)
หรือน้ำตาลทรายที่เราบริโภคกันอยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง
รูปที่
๑ โครงสร้างโมเลกุลของน้ำตาลทราย
(sucrose)
และซูคราโลส
(sucralose)
ที่เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลทรายที่ผลิตจากการแทนที่อะตอม
H
หรือหมู่
-OH
บางหมู่ด้วยอะตอม
Cl
ในบรรดาน้ำตาลหลัก
๓ ชนิดที่ได้จากพืชคือกลูโคส
ฟรุกโตส และน้ำตาลทรายนั้น
ถ้าเรียงลำดับความหวานจากมากไปน้อยก็จะได้ว่า
ฟรุกโตส >
น้ำตาลทราย
>
กลูโคส
ดังนั้นถ้ามองในแง่ของการปรุงอาหารให้ได้ระดับความหวานเท่ากัน
ปริมาณน้ำตาลที่ต้องใช้ถ้าเรียงจากปริมาณน้อยไปมากก็จะได้แก่
ฟรุกโตส <
น้ำตาลทราย
<
กลูโคส
แต่ฟรุกโตสนั้นเป็นน้ำตาลที่จับความชื้นได้ดีมาก
(แม้ว่าจะเป็นความชื้นในอากาศ)
ทำให้การผลิตฟรุกโตสมักจะผลิตออกมาในรูปของน้ำเชื่อมที่เรียกว่า
fructose
syrup
เนื่องจากน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญและเป็นส่วนผสมหลักในอาหารต่าง
ๆ หลากหลายชนิด
อาหารที่มีน้ำตาลน้อยกว่าก็จะมีพลังงานต่ำกว่า
ดังนั้นการใช้น้ำตาลที่มีความหวานสูงจะช่วยลดพลังงานที่มีอยู่ในอาหารนั้นได้
ทำให้อาหารดังกล่าวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดปริมาณพลังงานจากอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการคิดค้นสารที่มีความหวานสูง
(อาจเป็นระดับ
หลายสิบ หลายร้อย
หรือพันเท่าของน้ำตาลทราย)
แต่ทั้งนี้ก็ยังมีเรื่องของความหวานที่แตกต่างไปจากน้ำตาลทรายอยู่
ที่ทำให้บ่อยครั้งที่อาหารที่ใช้สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลไม่ได้รับความนิยม
น้ำตาลทราย
(หรือน้ำตาลซูโครส)
เป็นผลิตผลที่ได้จากพืชที่มีการผลิตในปริมาณมากด้วยความบริสุทธิ์ที่สูง
ส่วนใหญ่ของน้ำตาลที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้ในการประกอบอาหาร
จะว่าไปแล้วความพยายามที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำตาลทรายนั้นก็มีมานานแล้ว
โดยมีการพิจารณาไปที่การทำปฏิกิริยาที่หมู่
-OH
และ/หรือการเปลี่ยนอะตอม
-H
ให้กลายเป็นหมู่อื่น
เช่นการนำเอาน้ำตาลทรายมาทำปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน
(esterification)
กับกรดอินทรีย์โซ่ตรงโมเลกุลเล็ก
กลายเป็นสารประกอบที่มีชื่อทางการค้าว่า
"Olestra"
ที่ถูกนำมาใช้แทนน้ำมันปรุงอาหาร
ด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่ถูกดูดซึมโดยร่างกาย
ทำให้ผู้บริโภคสามารถลดปริมาณไขมันที่ได้รับจากอาหารลงไปได้
รูปที่
๒ สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
4,612,373
วันที่
๑๖ กันยายน ๑๙๘๖ โดยบริษัท
Tate
&
Lyle Limited ประเทศอังกฤษ
Lyle Limited ประเทศอังกฤษ
รูปที่
๓ สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
4,380,476
วันที่
๑๙ เมษายน ๑๙๘๓
สำหรับคนที่เรียนเคมีอินทรีย์มา
จะพบว่าเราสามารถเปลี่ยนหมู่
-OH
ให้กลายเป็นอะตอมฮาโลเจนได้
ด้วยเหตุนี้จึงมีการทดลองแทนที่หมู่
-OH
ของน้ำตาลทรายด้วยอะตอมฮาโลเจนเช่น
Cl
เพื่อที่จะหาประโยชน์การใช้งานจากสารประกอบใหม่ที่เตรียมได้
แต่เนื่องจากน้ำตาลทรายมีหมู่
-OH
อยู่หลายหมู่
การที่จะเลือกแทนที่หมู่
-OH
เฉพาะเจาะจงที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
และการกำหนดจำนวนหมู่ -OH
ที่จะถูกแทนที่นั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
หมายเหตุ
:
ในทางเคมีอินทรีย์นั้นเราสามารถแทนที่อะตอมฮาโลเจนที่เกาะกับอะตอม
C
(ที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวงแหวนเบนซีน)
ด้วยหมู่อื่นได้ง่าย
ในหลายกรณีที่เราไม่สามารถเปลี่ยนหมู่
A
ให้กลายเป็นหมู่
B
ได้โดยตรง
แต่เราสามารถแทนที่หมู่ A
ด้วยอะตอมฮาโลเจน
X
ก่อน
จากนั้นจึงค่อยนำหมู่ B
มาแทนที่อะตอมฮาโลเจน
X
อีกที
ซูคราโรส
(sucralose)
เป็นสารให้ความหวานตัวหนึ่งที่เตรียมได้จากการแทนที่หมู่
-OH
และอะตอม
H
บางตำแหน่งของน้ำตาลทรายด้วยอะตอมคลอรีน
(Cl)
(ดูรูปที่
๑)
ที่มีการค้นพบมาราว
ๆ ๔๐ ปีแล้ว
ซูคราโลสเป็นสารที่มีความหวานที่สูงกว่าน้ำตาลประมาณ
๖๐๐ เท่า
ที่มาที่ไปของสารนี้ผู้ที่สนใจสามารถไปหาอ่านได้ใน
wikipedia
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ
การแทนที่หมู่ -OH
หรืออะตอม
H
บางอะตอมของน้ำตาลทราย
(หรือน้ำตาลกลูโคส
หรือน้ำตาลฟรุกโตส)
นั้นบางครั้งก็ทำให้ได้สารที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายที่น่าสนใจ
ตัวอย่างเช่นสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
4,225,590
ลงวันที่
๓๐ กันยายน ๑๙๘๐ (รูปที่
๔ ข้างล่างที่ยื่นจดไว้ก่อนการจดสิทธิบัตรซูคราโลสอีก)
ที่อ้างถึงสารประกอบที่ได้จากการเปลี่ยนหมู่
-OH
เพียงหมู่เดียวของโมเลกุลน้ำตาลให้กลายเป็นอะตอม
Cl
ส่งผลให้สารดังกล่าวมีฤทธิ์ในการลดความสามารถในการสืบพันธุ์ของสัตว์เพศผู้ด้วยการไปลดการผลิตสเปิร์ม
รูปที่
๔ สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่
4,225,590
วันที่
๓๐ กันยายน ๑๙๘๐ โดยบริษัท
Tate
& Lyle Limited ประเทศอังกฤษ
ที่กล่าวถึงการแทนที่หมู่
-OH
หนึ่งหมู่ของน้ำตาลกลูโคส
ฟรุกโตส หรือซูโครส (น้ำตาลทราย)
ด้วยอะตอม
Cl
(เช่นหมู่
-OH
ตัวสีน้ำเงินที่อยู่บนสุดของโมเลกุลซูโครสในรูปที่
๑)
ส่งผลให้ได้สารประกอบที่ออกฤทธิ์ในการลดความสามารถในการสืบพันธุ์ของสัตว์เพศผู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น