BOD
ในที่นี้ย่อมาจาก
biological
oxygen demand แปลเป็นไทยก็คือความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี
หมายถึงปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ต้องใช้ในการย่อยสลายสารเคมีในน้ำ
DO
ในที่นี้ย่อมาจาก
dissolved
oxygen หมายถึงปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำ
ผมเคยเล่าถึงค่า
BOD
ไว้ครั้งหนึ่งใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๘๙ วันพุธที่ ๑๖
ธันวาคม ๒๕๕๒ เรื่อง "BOD
และ
COD"
ซึ่งนับถึงวันนี้ก็
๒ ปีแล้ว
แต่คราวนี้เป็นการจับคู่ระหว่าง
BOD
กับ
DO
กล่าวคือเมื่อปลายเดือนที่ได้แล้วผมได้มีโอกาสนั่งคุยกับอาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
และได้มีการพูดคุยกันเรื่อง
EM
(ไม่ว่าจะเป็นน้ำหรือลูกบอล)
ที่มีการนำเอาไปใส่ในบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง
(และบริเวณที่มีน้ำไหล)
ตามสถานที่ต่าง
ๆ ในระหว่างวิกฤษการณ์น้ำท่วมกำลังรุนแรง
ความเห็นของผมที่บอกกับอาจารย์ท่านนั้นก็คือต่างฝ่ายต่างพูดถึงพารามิเตอร์คนละตัวกัน
คือทางฝ่ายที่สนับสนุนการใช้
EM
บอกว่ามันสามารถลดค่า
BOD
ในน้ำได้
ส่วนอีกฝ่ายที่เตือนให้ระมัดระวังในการใช้งานบอกว่ามันจะไปทำให้ค่า
DO
ในน้ำลดลง
ตามความรู้ที่ผมมีก็คือทั้งสองฝ่ายต่างให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
คำถามที่เราน่าจะถามก็คือการที่จะบอกว่าน้ำใดเป็นน้ำเสียนั้น
เราใช้อะไรเป็นตัวตัดสิน
ถ้าเราไปดูมาตรฐานน้ำทิ้งจากแหล่งต่าง
ๆ ที่มีการกำหนดไว้
จะเห็นว่ามีการกำหนดค่า
BOD
สูงสุดเอาไว้
(ส่วนใหญ่จะไม่เกิน
20
mg/l) แต่ไม่มีการกำหนดค่า
DO
(ดูตัวอย่างในรูปที่
๑)
ถ้าไปดูเกณฑ์คุณภาพน้ำที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ
จะเห็นว่ามีการกำหนดค่า
DO
ต่ำสุดเอาไว้
แต่ไม่มีการกำหนดค่า BOD
(ดูรูปที่
๒)
รูปที่
๑ มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน
(ถ้าเป็นน้ำทิ้งจากแหล่งอื่นก็จะมีมาตรฐานที่แตกต่างกันไป)
รูปที่
๒ เกณฑ์คุณภาพน้ำที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ
(หมายเหตุ
มาตรฐานน้ำทิ้งจากแหล่งต่าง
ๆ และเกณฑ์คุณภาพน้ำที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ
ดูได้จากเว็บของกรมควบคุมมลพิษ
http://www.pcd.go.th/info_serv/reg_std_water.html)
ดังนั้นถ้ามองจากแง่
BOD
การใส่
EM
ลงไปในน้ำ
เชื้อ EM
จะเข้าไปย่อยสลายสารอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำ
โดยการย่อยสลายนั้นอาจ
(ก)
เป็นการเปลี่ยนสารอินทรีย์ตัวเดิมให้กลายเป็นสารอินทรีย์ตัวอื่นที่มีสัดส่วนอะตอมออกซิเจนในโมเลกุลเพิ่มมากขึ้น
หรือ
(ข)
ทำให้สารอินทรีย์ตัวเดิมนั้นสลายตัวกลายเป็น
CO2
และน้ำไป
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม
ค่า DO
จะลดลงด้วย
เพราะเชื้อ EM
ต้องการใช้ออกซิเจนในการดำรงชีวิต
แต่ค่า BOD
ของน้ำจะลดลง
ดังนั้นถ้าเอามาตรฐานน้ำทิ้งมาใช้ก็จะบอกว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น
ประเด็นที่เราน่าจะลองพิจารณากันก็คือ
การที่ค่า BOD
ลดลงนั้น
"ปริมาณ"
สารอินทรีย์ในน้ำลดลงไปด้วยหรือไม่
ถ้าหากสารอินทรีย์ในน้ำถูกย่อยสลายกลายเป็น
CO2
และน้ำ
อันนี้แน่นอนว่าปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำลดลงแน่
ๆ
แต่ถ้าสารอินทรีย์เดิมถูกเปลี่ยนไปเป็นสารอินทรีย์ตัวอื่นที่มีสัดส่วนอะตอมออกซิเจนในโมเลกุลเพิ่มมากขึ้น
อันนี้ถ้าพิจารณาในแง่ปริมาณคาร์บอนในน้ำ
อันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำจะลดลง
สมมุติว่าเริ่มต้นเรามีเอทานอลหรือ
CH3CH2-OH
จำนวน
0.1
โมลละลายอยู่ในน้ำ
การย่อยสลายเอทานอลจำนวนนี้ให้กลายเป็น
CO2
และน้ำจะต้องใช้ออกซิเจน
(O2)
0.3 โมล
แต่ถ้าเอทานอลจำนวน
0.1
โมลนี้ถูกแบคทีเรียย่อยสลายกลายไปเป็นอะเซทัลดีไฮด์หรือ
CH3CO-H
จำนวน
0.1
โมล
การย่อยสลายอะเซทัลดีไฮด์จำนวนนี้ให้กลายเป็น
CO2
และน้ำจะต้องใช้ออกซิเจน
(O2)
0.25 โมล
ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณออกซิเจนที่ต้องใช้ในการทำลายนั้นลดลง
แต่ปริมาณสารอินทรีย์เมื่อคิดในแง่ของจำนวนอะตอมคาร์บอนที่อยู่ในน้ำนั้นยังคงเท่าเดิม
และถ้าอะเซทัลดีไฮด์จำนวน
0.1
โมลนี้ถูกออกซิไดซ์ต่อกลายไปเป็นกรดอะซีติกหรือ
CH3COOH
จำนวน
0.1
โมล
การย่อยสลายกรดอะซีติกจำนวนนี้ให้กลายเป็น
CO2
และน้ำจะต้องใช้ออกซิเจน
(O2)
0.2 โมล
ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณออกซิเจนที่ต้องใช้นั้นลดลงไปอีก
แต่ปริมาณสารอินทรีย์เมื่อคิดในแง่ของจำนวนอะตอมคาร์บอนที่อยู่ในน้ำนั้นก็ยังคงเท่าเดิมอยู่
ถ้ามองแบบนี้ก็จะเห็นได้ว่าการที่ค่า
BOD
ลดลงนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำต้องลดลง
โดยปรกตินั้นเวลาที่ออกซิเจนในน้ำหมดไป
เชื้อจุลินทรีย์ที่เติมโตได้ในภาวะที่ไม่มีออกซิเจน
(anaerobic
bacteria) ก็จะขยายพันธ์เพิ่มจำนวนขึ้นและแบคมีเรียพวกนี้สามารถใช้
S
แทน
O
ทำให้เกิดแก๊ส
H2S
ที่มีกลิ่นเหม็นเกิดขึ้นได้
ดังนั้นถ้าเราเอามาตรฐานน้ำที่สิ่งมีชีวิตพวกสัตว์น้ำต่าง
ๆ (เช่น
ปลา ปู กุ้ง หอย)
สามารถดำรงอยู่ได้
ก็จะบอกว่าคุณภาพน้ำเลวลง
ถ้าเราเอาน้ำกลั่น
(ซึ่งไม่มีแร่ธาตุและสารอินทรย์อะไรเลยละลายอยู่)
ไปทำการต้มเพื่อไล่ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำกลั่นนั้นให้หมดไป
ถ้าเอา BOD
มาจับก็จะบอกว่าน้ำกลั่นนี้เป็นน้ำสะอาด
แต่ถ้าเอา DO
มาจับก็จะบอกว่าน้ำกลั่นนี้เป็นน้ำที่ไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ
ผมรู้สึกว่าการเรียนรู้ในสังคมไทยเป็นแบบสูตรสำเร็จ
จำเอาไปใช้โดยไม่เข้าใจว่ามันทำงานได้อย่างไร
คิดว่าเมื่อมันใช้ได้ผลดีกับกรณีหนึ่ง
มันก็ต้องใช้ได้ผลดีกับกรณีอื่นที่คล้ายคลึงกันด้วย
ซึ่งก็ไม่จริงเสมอไป
อยู่กันด้วยความเชื่อและทำตาม
ๆ
กันโดยไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองนำมาใช้นั้นมีข้อจำกัดอย่างไร
พอมีคนทักท้วงก็โวยวายโดยไม่สามารถให้เหตุผลได้ว่าข้อทักท้วงนั้นผิดตรงไหน
แต่ทำโดยการเอาเหตุผลอื่น
(ซึ่งบางทีมันก็ดูแปลก
ๆ)
มาประกอบสิ่งที่ตนเองเชื่อโดยไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่โดนทักท้วงถูกหรือผิด
พฤติกรรมทำนองนี้ไม่ได้มีเฉพาะกับชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น
แม้แต่ในระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เรียกตัวเองว่าเป็นปัญญาชนก็มีให้เห็นอยู่บ่อย
ๆ