วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๒๒ วันเสียงปืนแตก MO Memoir : Monday 6 August 2555


บ้านคุณตาคุณยายของผมนั้นตั้งอยู่ริมทางหลวงแผ่นดินสายหลักที่เชื่อมจังหวัดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ถนนเส้นนี้เดิมเป็นถนนลาดยางสองช่องจราจร ไหล่ทางยังเป็นหิน ตัดคดไปคดมาแวะเข้าไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าคนสมัยนั้นเวลาเขาอยากให้ถนนผ่านหน้าบ้านตัวเองเขาก็จะบริจาคที่ให้ทางการ ต่อมาภายหลังได้มีการเวนคืนที่วางแนวถนนใหม่เพื่อให้เส้นทางมันตรงมากขึ้น และยกฐานะขึ้นเป็นถนนสายเอเซียด้วย ถนนเส้นเดิมก็เลยกลายเป็นทางหลวงย่อย ๆ มีเลข ๔ ตัวกำกับแทน

ตอนเด็ก ๆ ปิดเทอมหน้าร้อนถึงจะมีโอกาสไปเยี่ยม นั่งรถไฟชั้น ๓ ไปถึงสถานีในตัวจังหวัด แล้วก็นั่งรถต่อไปยังบ้านคุณตาคุณยายที่อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปเพียงแค่ ๑๐ กิโลเมตรเท่านั้นเอง แต่สมัยนั้นระยะ ๑๐ กิโลเมตรจากตัวจังหวัดก็เรียกว่าห่างไกลความเจริญแล้ว ถนนตรงจุดผ่านเข้าออกตัวจังหวัดจะมีป้อมทหารตั้งอยู่ อาวุธพร้อมใช้

ตอนเช้าก็ช่วยคุณตาคุณยายเก็บไข่ไก่ไข่เป็ดในเล้า สนุกตอนที่ต้องไปรื้อกองฟางดูว่ามันไปออกไข่ซุกเอาไว้แถวไหน หรือไม่ก็ไปอาบน้ำให้หมูในคอก (อันที่จริงก็คือการฉีดน้ำให้หมูและล้างขี้หมูออกจากคอก) ตอนกลางวันก็วิ่งเล่นกันระหว่างหมู่ญาติ ๆ ที่เป็นเด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน ปั่นจักรยานสองล้อเป็นก็ที่นั่น พอตกกลางคืนหลังกินข้าวเย็นเสร็จก็ไม่มีอะไรทำ บางคืนคุณยายเก็บมะม่วงมาบ่มเพื่อจะเอาไปขายในตลาด ก็จะช่วยคุณยายเอามะม่วงไปวางเรียงเป็นวงในถัง โดยจะวางเอาไว้ริมขอบถัง เว้นตรงกลางไว้ พอใส่มะม่วงจนเต็มคุณยายก็จะปักธูปเอาไว้ตรงกลาง และก็ปิดฝาถัง ตอนเช้าคุณยายก็เอามะม่วงไปขายที่ตลาด (ตลาดไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน) 
 
โทรทัศน์ตอนนั้นก็มีอยู่ช่องเดียวคือช่อง ๘ หาดใหญ่ มีดูเฉพาะตอนกลางคืน บ้านใครจะดูได้ก็ต้องตั้งเสาอากาศซะสูง (ก็อยู่ห่างจากสถานีส่งกว่าร้อยกิโลเมตร) แล้วก็ต้องติดอุปกรณ์ที่เรียกว่า "บูสเตอร์" เป็นตัวเพิ่มความแรงสัญญาณ ซึ่งก็พอที่จะทำให้ดูโทรทัศน์ได้ แม้ว่าจะไม่คมชัดเท่ากับการดูในกรุงเทพ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรดู

สมัยนั้นหลังพระอาทิตย์ตกแล้ว ถนนหน้าบ้านแทบจะไม่มีรถวิ่งเลย นาน ๆ ทีจะมีวิ่งผ่านมาสักคัน ยิ่งคนเดินบนท้องถนนก็ยิ่งไม่มีใหญ่ ท้องฟ้าก็มืดมิดมาก มองเห็นทางช้างเผือกได้อย่างสบาย 
 
พื้นที่ในเขตจังหวัดที่บ้านคุณตาคุณยายผมอยู่นั้นถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตแทรกซึมของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ส่วนจะเป็นพื้นที่ "สีแดง (ความรุนแรงมาก)" หรือ "สีชมพู (ความรุนแรงรองลงมา)" นั้นผมก็ไม่รู้อะไร พึ่งจะมาเข้าใจกันตอนโตขึ้นว่าทำไมพอตกเย็นเขาถึงรีบให้กลับบ้านและปิดบ้านกัน แต่เด็ก ๆ เราก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะเห็นมันมืดไปหมดก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะออกไปเล่นอะไรอีก

ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านคุณตาคุณยายเป็นวัด และถัดจากวัดไปหน่อยถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่าเดิมจะเป็นสถานีตำรวจ มีอยู่คืนหนึ่งสถานีตำรวจดังกล่าวถูกปิดล้อมโจมตีด้วยกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) (ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่อยู่กรุงเทพ) ผู้ใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่าต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่กล้าออกมา พอยึดสถานีตำรวจได้ ทางกองกำลังฝ่ายพคท. ก็พาเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บออกมานอกสถานี ยึดอาวุธ และเผาสถานีตำรวจนั้นทิ้งก่อนจะถอนกำลังหายไป (น่าจะมีฐานอยู่ทางด้านเทือกเขาบรรทัด) ซึ่งหลังเหตุการณ์ในวันนั้นที่นั่นก็ไม่เคยมีสถานีตำรวจอีกเลย

นั่นเป็นเรื่องเกือบ ๔๐ ปีแล้ว

"วันเสียงปืนแตก" เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยเป็นการปะทะกันโดยใช้อาวุธเป็นครั้งแรกระหว่างกองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และเจ้าหน้าที่รัฐ (ตำรวจ) สถานที่เกิดเหตุคือ บ้านนาบัว ต.โคกหินแฮ่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม()

วันดังกล่าวส่วนใหญ่บอกว่าเป็นวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ แต่บางรายก็บอกว่าที่ถูกต้องคือวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ซึ่งตรงนี้คงต้องให้คนศึกษาประวัติศาสตร์ไปค้นรายละเอียดจากหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ว่ามีการปะทะกันจริงวันไหนกันแน่

เท่าที่เคยได้ฟังจากผู้ใหญ่ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์นั้นพอจะแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ พวกแรกคือผู้ที่เลื่อมใสในการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ และต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศให้เป็นระบอบคอมมิวนิสต์

พวกที่สองคือผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อหันไปพึ่งใครไม่ได้ก็เลยต้องหันไปพึ่ง พคท. ซึ่งจะว่าไปแล้วกลุ่มนี้ดูเหมือนเป็นคนกลุ่มใหญ่ด้วยซ้ำ

ในพื้นที่ที่บ้านคุณตาคุณยายของผมอยู่ เหตุการณ์ที่คิดว่าน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อชาวบ้านคือกรณี "ถังแดง" ซึ่งเป็นกรณีของการเผาผู้ต้องสงสัยโดยจับยัดใส่ถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ก่อนราดน้ำมันและจุดไฟเผา เรื่องนี้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ใครอยากรู้มากกว่านี้ก็ลองหาใน google ดูก็ได้ นอกจากนี้ที่เคยได้ยินก็ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการพาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ แล้วถีบให้ตกลงมา

ในช่วงแรกทางรัฐใช้แนวทางปฏิบัติการโดยใช้ "การทหารนำหน้าการเมือง" ซึ่งส่งผลให้เกิดการผลักดันมวลชนจำนวนมากไปเข้าร่วมกับพคท. ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยถูกประกาศเป็นเขตแทรกซึมของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ดูรูปที่ ๑) พื้นที่หลายแห่งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบัน (เช่นเขาค้อ ภูหินล่องกล้า ภูชีฟ้า) เมื่อราว ๆ ๓๐ ปีที่แล้วยังเป็นพื้นที่ที่มีการรบพุ่งกันอย่างดุเดือดระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและพคท. 
 
ต่อมาภายหลังเมื่อฝ่ายรัฐได้มีการทบทวนสิ่งที่ได้กระทำลงไป จึงได้มีการเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติการเป็น "การเมืองนำหน้าการทหาร" ด้วยนโยบาย 66/23 และ 66/25 (คำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับที่ ๖๖ ปีพ.ศ. ๒๕๒๓ และคำสั่งที่ ๖๖ ปีพ.ศ. ๒๕๒๕) ดึงมวลชนของพคท.กลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ทำให้ฐานกำลังของพคท.ลดลงเป็นอย่างมาก จนกระทั่งสามารถยุติสถานการณ์ความรุนแรงได้ในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๒๙-๒๕๓๐

หลังจากสถานการณ์สงบไปเกือบ ๒๐ ปี วันหนึ่งระหว่างที่นั่งรถกับคุณน้าคนหนึ่งที่เติบโตในพื้นที่จังหวัดนั้นมาตลอด ในระหว่างการพาผมเดินทางไปท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดซึ่งแต่เดิมพื้นที่นั้นเป็นเขตที่อำนาจรัฐเข้าไปไม่ถึง ท่านก็ได้เล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง ช่วงบทสนทนาหนึ่งท่านก็พูดว่า

"คอมมิวนิสต์มันไม่มีหรอก ไปรังแกพวกเขา พวกเขาจึงต้องหนึเข้าป่าไป"

หมายเหตุ
(๑) นำข้อมูลมาจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=302886 ในอินเทอร์เน็ตมีบอกตำบลและอำเภอที่แตกต่างกัน แต่เมื่อตรวจสอบจากการแบ่งเขตการปกครองแล้วคิดว่าข้อมูลจากบล็อคนี้น่าจะถูกต้อง

(๒) รูปจากหนังสือ "การใช้กฎหมายป้องกันคอมมิวนิสต์" เขียนโดย นายธานินทร์ กรัยวิเชียร พิมพ์ครั้งที่ ๔ โดยสำนักงานปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๖ หนังสือฉบับนี้พิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๐๔

รูปที่ ๑ พื้นที่ที่เคยถูกประกาศเป็นเขตแทรกซึมของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (จังหวัดที่แรเงาเอาไว้)()